Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1510 ปลาตัวใหญ่โผล่มาแล้ว
- Home
- Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ
- ตอนที่ 1510 ปลาตัวใหญ่โผล่มาแล้ว
ช่วงนี้ชิวหมิงรุ่ยปวดหัวบ่อย
เขาไม่คิดเลยว่าเขา ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญแห่งวิศวกรรมนิวเคลียร์จะกลายมาเป็นผู้นำที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวเมืองก่วงฮั่น
ถึงเขาจะมีความสุขมากที่งานวิจัยของเขาจะมีอิทธิพลมากขนาดนั้น แต่เขาก็ไม่คิดว่างานวิจัยของเขาจะกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘วิทยาศาสตร์ป็อป’
และเขาก็ยังไม่ได้คาดคิดอีกด้วยว่างานวิจัยของเขาจะสร้างกระแสใหญ่โตกับสาธารณชนมากขนาดนี้
และประเด็นก็คือ ชื่อของผู้ประพันธ์คนแรกของงานวิจัยนั้นไม่ใช่ชื่อเขาด้วยซ้ำ เขาใส่ชื่อตัวเองลงไปเป็นผู้ประพันธ์บรรณกิจเพื่อกะว่าจะไม่เปิดเผยตัวมาก
การกระทำดังกล่าวส่งผลให้สื่อท้องถิ่นในเมืองก่วงฮั่นหลายสื่อไม่เพียงแต่จะบังคับให้เขาต้องเป็นศัตรูกับลู่โจวเท่านั้น แต่พวกเขายังอวยยศเขาให้เป็นผู้กอบกู้แห่งเมืองก่วงฮั่น เป็นอัศวินที่อุทิศตัวเองให้ประชาชนและกล้าพูดความจริงอย่างถ่องแท้
ถึงเรื่องการตั้งฉายาให้คนอื่นจะมีมานานนมแล้ว แต่ชิวหมิงรุ่ยก็ยังรู้สึกว่าฉายานี้มันมากเกินไปอยู่ดี ตัวเขารับฉายานี้ไว้ไม่ไหว
ต่อให้เขาต้องคัดค้านความเห็นของลู่โจว เขาก็ไม่คิดว่าผลงานทางวิชาการของเขาจะอยู่ในระดับที่เทียบกันได้กับนักวิชาการลู่ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เขากับลู่โจวยืนอยู่คนละฝั่งกัน ซึ่งเป็นสองฝั่งที่ทั้งความสามารถและอิทธิพลต่างก็ไม่เท่ากันโดยสิ้นเชิง
ลู่โจวเคยพูดไว้ครั้งหนึ่งว่าเขาไม่เชื่อในเรื่องอำนาจ และคนอื่นๆ ก็ไม่ควรจะเชื่อเขาแบบไม่ลืมหูลืมตาเช่นกัน ชิวหมิงรุ่ยเองก็ไม่ได้มองสนามแม่เหล็กพัลส์ในแง่บวกแต่อย่างใด
ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาเชื่อว่านี่เป็นการโต้วาทีทางวิชาการ แต่เสียงของพวกคนโง่ที่ไม่มีใครหยุดได้จะเป็นเสียงที่ดังที่สุดเสมอ และพวกเขาก็ตั้งใจจะคุยเรื่องการเมืองในทุกโอกาส
ตราบใดที่ยังมีคนประเภทนี้อยู่ งานวิจัยของเขาก็จะกลายเป็นอาวุธทางการเมืองไปโดยปริยาย
เมื่อชิวหมิงรุ่ยรู้ว่าเรื่องมันชักจะไปกันใหญ่และรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์เสียๆ หายๆ เขาจึงรีบติดต่อสำนักพิมพ์สถาบันฟิสิกส์ตะวันตกเฉียงใต้ในทันทีและขอยกเลิกการตีพิมพ์งานวิจัยนั้น
สถาบันฟิสิกส์ตะวันตกเฉียงใต้ก็ร่วมมือกับเขาเป็นอย่างดี เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็รู้ตัวว่างานวิจัยที่ทำให้สังคมตั้งข้อถกเถียงอาจจะสร้างปัญหากับตัวหน่วยงานได้ พอได้รับคำขอยกเลิกมาจากผู้ประพันธ์บรรณกิจ พวกเขาจึงรีบยกเลิกการตีพิมพ์งานวิจัยนั้นทันที
ชิวหมิงรุ่ยเองพอเห็นว่างานวิจัยไม่ได้ตีพิมพ์แล้วก็รู้สึกโล่งอก หลังจากที่เขาออกแถลงการณ์อธิบายสถานการณ์ลงไปในโฮมเพจส่วนตัว เขาก็รู้สึกว่าเหตุการณ์นี้มันจบเสียที
แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะยังไร้เดียงสาเกินไป
ตั้งแต่ที่งานวิจัยของเขากลายเป็นตัวจุดชนวน ปัญหานี้ก็ขยับไปในทิศทางที่เขาไม่สามารถควบคุมได้แล้ว
จะเรียกว่าการที่งานวิจัยนั้นถูกยกเลิกการตีพิมพ์ก็ไม่ได้ช่วยให้ชาวเมืองก่วงฮั่นหายโกรธแต่อย่างใด แต่มันกลับสุมไฟความขัดแย้งไปให้รุนแรงขึ้นแทน
ในช่วงเกือบจะวันที่สองหลังจากที่ ‘ความคืบหน้าในการวิจัยฟิวชั่นที่ควบคุมได้’ ออกแถลงการณ์ยกเลิกการตีพิมพ์ กระแสสังคมก็ตีกลับไปทางพวกเขาแทน
ชิวหมิงรุ่ยไม่คิดเลยว่าชาวเมืองก่วงฮั่นที่ยังบูชาเขาเมื่อไม่กี่วันก่อน พอมาวันนี้ก็หันมาเริ่มวิพากษ์วิจารณ์เขาแทนแล้ว
บางทีกลุ่มคนที่ด่าเขาอาจจะไม่ใช่กลุ่มเดียวกับที่ชมเขาก็ได้ อย่างไรก็ตามพฤติกรรมของพวกสุดโต่งมักจะเป็นพฤติกรรมที่เห็นได้ชัดที่สุด
ชิวหมิงรุ่ยอ่านพาดหัวข่าวรอง เขามองพวกคนที่เคยพาเขาไปยืนจุดสูงสุดในตอนแรก แต่ตอนนี้คนพวกนั้นกลับเขวี้ยงเขาลงมากองกับพื้นแทน
คอมเมนต์ใต้ข่าวบอกว่าเขาเป็น ‘นักวิชาการไม่มีจรรยาบรรณ’ ‘ไม่มีศีลธรรม’ ‘กระหายอำนาจ’ และ ‘ถูกอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้เอาเงินซื้อไปแล้ว’ เขารู้สึกอึ้งสนิท
ถึงเขาจะเชื่อว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในระดับเท่ากับนักวิชาการลู่ เขาก็ไม่ได้เลวขนาดที่จะถูกนักวิชาการลู่เอาเงินซื้อไปนะ
เขาไม่ใช่พวกคนเสาะหาผลประโยชน์แบบนี้
แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้เลย
คนส่วนใหญ่ก็ไม่มีเหตุผล หลักตรรกะที่พวกเขามีส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องที่ว่าพวกเขาต้องการคำอธิบายที่มีเหตุผลที่ทำไมสมองของพวกเขาถึงได้รับความเสียหาย ซึ่งพวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวิทยาศาสตร์คืออะไร หรือการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์คืออะไร พวกเขาไม่เข้าใจคำพูดของคนอื่นเลย พวกเขาก็เป็นแค่คนแบบ ‘พวกมากลากไป’ เสียส่วนใหญ่
แต่ถ้ามีใครอยากจะหาข้อโต้แย้งกับมนุษย์พวกนี้ ไม่ว่าเขาจะมีความเห็นที่มีเหตุผลมากแค่ไหนก็ไม่มีทางเอาชนะคนไร้เหตุผลพวกนี้ได้
มีข่าวลือว่าชิวหมิงรุ่ยไปเจอกับลู่โจวบนดวงจันทร์ และทีมวิจัยของเขาก็ได้รับ ‘เงินบริจาค’ จำนวนสิบล้านเครดิตมา
พอได้ยินข่าวลือพวกนี้ ชิวหมิงรุ่ยก็ไม่รู้จะขำหรือจะร้องไห้ดี
ถ้าเขารับเงินมาจริงมันก็คงจะดี มันจะได้ช่วยเยียวยาจิตใจที่เจ็บปวดของเขาได้
แต่ปัญหาคือไม่มีใครให้เงินเขามาเลยสักคนน่ะสิ!
ในขณะที่เขากำลังมืดแปดด้านไม่รู้จะทำอย่างไรต่อดีอยู่นั้นเอง จู่ๆ เขาก็ได้รับการแจ้งเตือนจากธนาคารว่ามีคนโอนเงินมาก้อนโตถึงหนึ่งล้านเครดิต
หลังจากได้รู้เรื่อง ชิวหมิงรุ่ยแทบจะหัวใจวาย เขารีบเช็กบัญชีผู้โอนและกำลังวางแผนว่าจะโอนเงินคืนไป แต่ธนาคารกลับบอกเขาว่า บัญชีธนาคารนี้เป็นบัญชีธนาคารบนดาวอังคารซึ่งไม่สามารถโอนคืนได้
ชิวหมิงรุ่ยรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเดินอยู่บนเส้นทางอันตราย
หลังจากที่เขาใช้เวลาทั้งวัน จมอยู่กับความกังวลและหวาดระแวง เขาก็ได้รับโทรศัพท์จากบุคคลนิรนามในวันถัดมา
“สวัสดี นักวิชาการชิวหมิงรุ่ย ไม่ทราบว่าวันนี้คุณอารมณ์ดีหรือเปล่า”
ชิวหมิงรุ่ยมองหน้าต่างวิดีโอที่เบลอไปหมด เขาขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ผมรู้สึกแย่มากๆ …คุณเป็นใครกัน? ไม่เคยได้ยินเสียงคุณมาก่อนเลย ไปเอาเบอร์ผมมาได้อย่างไร?”
“ไม่มีกำแพงใดที่ทลายไม่ได้อยู่แล้วในโลกนี้ โดยเฉพาะในยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร พวกเราไม่เพียงแต่จะรู้เบอร์โทรศัพท์ของคุณเท่านั้น แต่ยังมีเลขบัญชีธนาคารและที่อยู่บ้านของคุณอีกด้วย”
ชิวหมิงรุ่ยสัมผัสได้ถึงเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผาก เขาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงใจเย็นว่า “พวกคุณเป็นใครกัน ต้องการให้ผมทำอะไรกันแน่! เงินหนึ่งล้านเครดิตพวกนี้…”
“นั่นคือค่ามัดจำ” เสียงนั้นขัดคำพูดของชิวหมิงรุ่ย แล้วพูดต่อ “ส่วนเรื่องพวกเราเป็นใครนั้น มันไม่สำคัญหรอก ตราบใดที่คุณเต็มใจจะทำบางสิ่งให้กับผม ก็จะมีเงินอีกเก้าล้านเครดิตเข้าเลขบัญชีธนาคารคุณแน่นอน”
ชิวหมิงรุ่ยกลืนน้ำลาย เขาเค้นเสียงออกมาอย่างยากลำบากมา “บางสิ่งที่ว่าคือ…”
“ทำสิ่งที่คุณทำมาตั้งแต่แรกต่อสิ” เสียงนั้นพูดต่ออย่างช้าๆ “ไม่ใช่ว่าคุณต่อต้านเทคโนโลยีฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นที่สองเหรอ? ถ้าอย่างนั้นก็ต่อต้านต่อไปสิ ไม่ว่าจะทำเพื่อเงินหรือเพื่อชาวเมืองก่วงฮั่น พวกเราก็หวังว่าคุณจะยังยืนหยัดอยู่จุดยืนเดิม”
แววตาของชิวหมิงรุ่ยมีแววลังเลเข้ามา แต่สุดท้ายมันก็หายไป
เขาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วตอบไปว่า “ขอโทษด้วย แต่ผมก็แค่นักวิชาการคนหนึ่ง คำขอขอคุณนั้นเกินกว่าความสามารถที่ผมจะทำได้ ผมไม่ว่าอะไรถ้าจะได้คุยเรื่องวิชาการกับคุณ แต่อย่าให้ผมต้องมีส่วนร่วมในเรื่องแบบนี้เลย บอกเลขบัญชีธนาคารบัญชีที่สองของคุณมาเถอะ ผมจะโอนเงินคืนคุณไปเดี๋ยวนี้นี่แหละ ผมไม่อยากมีส่วนในเรื่องนี้เลย…”
พอเขาพูดมาถึงตรงนี้ เสียงของชิวหมิงรุ่ยก็เริ่มออกแนวอ้อนวอนแล้ว
แต่พอได้ยินเขาพูดแบบนั้น คนที่อยู่ปลายสายก็ยิ้มจางๆ แล้วพูดอย่างช้าๆ ว่า “ไม่เป็นไร ถ้าคุณไม่อยากร่วมด้วยก็ไม่เป็นไร”
“คุณไม่ต้องโอนเงินนั้นมาคืนผมหรอก คิดเสียว่าเป็นของขวัญก็แล้วกัน”
“แต่ผมหวังว่าคุณจะมีสติดี และรู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควรพูด ถ้าผมได้ยินบทสนทนานี้ของพวกเราจากที่อื่นแล้วล่ะก็ คุณจะรู้ซึ้งถึงสิ่งที่ต้องจ่ายจากการผิดสัญญาอย่างแน่นอน”
นี่พวกเขา…
จ่ายเงินเพื่อให้ฉันยอมปิดปากเหรอ?
ชิวหมิงรุ่ยอ้าปากขึ้นมา เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง
แต่สายก็วางไปแล้ว
…
ข้างในอพาร์ตเมนต์เล็กๆ ในย่านชานเมืองเซี่ยงไฮ้
ชายคนหนึ่งถอดหมวก VR ออกแล้ววางมันลงบนโต๊ะข้างๆ เขา
หากมองที่ใบหน้าของเขาอย่างเดียว ก็ไม่มีอะไรน่าบรรยายเท่าไร แต่ถ้ามีพนักงานของอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้หรือคนจากอุตสาหกรรมการเงินยืนอยู่ตรงนี้แล้วล่ะก็ พวกเขาจะต้องตกใจเป็นอย่างมากแน่ๆ
มันมีเหตุผลเพียงแค่ข้อเดียวเท่านั้น
เพราะภาพที่โมรินากะ ผู้จัดการซอฟต์แบงก์และหนึ่งในผู้อำนวยการจัดการของอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้จะมาอาศัยอยู่ในสถานที่ที่ไม่ต่างอะไรกับบ้านราคาถูกนั้น เป็นภาพที่ใครๆ ก็ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น
แต่จริงๆ โมรินากะก็ไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่ มันเป็นแค่ฐานปฏิบัติการของเขาเท่านั้น
ทุกครั้งที่เขาต้องการจะรับบทเป็นหัวหน้าองค์กร เขาก็จะมาที่นี่และเริ่มทำตามแผนในบทบาทของตัวตนนิรนามและที่อยู่ปริศนา
นอกจากนี้ยังมีฐานสำหรับปฏิบัติอื่นๆ อีกหลายแห่งมากมาย
ตั้งแต่เริ่มจนถึงปัจจุบันนั้น แผนของเขาเป็นไปได้อย่างราบรื่นเอามากๆ ทุกสิ่งทุกอย่างขยับไปในทางที่เขาคาดคิดไว้
ถึงเขาจะไม่ประสบความสำเร็จในการเดินหมากที่มีชื่อว่านักวิชาการชิว แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรแล้ว เพราะตอนนี้ไฟแห่งความโกรธของชาวเมืองก่วงฮั่นได้ถูกจุดติดโดยสมบูรณ์แล้ว ถ้ากระแสยังเป็นอย่างนี้ต่อไป เมืองก่วงฮั่นอาจจะแยกตัวออกมาจากโลกเลยก็ได้
คนที่อยู่ระหว่างสองฝั่งก็อยู่ในสถานะแยกกันในระยะยาวอยู่แล้ว แม้แต่ในยุคนี้ที่การเดินทางอินเตอร์สเตลลาร์เป็นเรื่องปกติทั่วไป ชาวเมืองพาน-เอเชียที่อาศัยอยู่บนดาวโลกก็ยังไม่เคยทิ้งดาวบ้านเกิดของตัวเองมาก่อน ส่วนพวกคนที่เกิดบนดวงจันทร์ก็ไม่ต่างกัน พ่อแม่ของพวกเขาอยู่ที่ดาวดวงนั้นมาตั้งแต่ที่พวกเขาเกิดแล้ว
การเสียสละตัวเองเพื่อความรุ่งเรืองของดาวโลกเป็นสิ่งที่ชาวดวงจันทร์ส่วนใหญ่รับไม่ได้
“ดูเหมือนว่าผู้ชายในตำนานที่ยืนอยู่จุดสูงสุดของมวลมนุษยชาติ จริงๆ แล้วก็ไม่ได้มีของอะไรเลย
น่าสมเพชชะมัด”
โมรินากะลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินตรงไปที่ราวแขวนเสื้อข้างๆ เขาหยิบเสื้อโค้ตของเขามา เดินออกจากอพาร์ตเมนต์ แล้วล็อกประตู
วินาทีที่เขาออกจากฐานปฏิบัติการ เขาก็ได้สลับบทบาทโดยสมบูรณ์ เปลี่ยนกลับมาเป็นโมรินากะ ผู้จัดการซอฟต์แบงก์และผู้อำนวยการจัดการของอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้อีกครั้ง
แต่พอเขาเดินไปที่จอดรถแล้วลงไปนั่งตรงเบาะคนขับ หัวใจของเขาก็เต้นแรงขึ้นมา
“หลอนไปเองเหรอเรา?”
ทำไมรู้สึกเหมือนว่า…
มีใครบางคนกำลังมองเราอยู่เลย…
ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า
โมรินากะรีบสตาร์ตรถ พอเขาเลือกจุดหมายปลายทางบนแผนที่นำทางอัจฉริยะ เขาก็เลือกทางอ้อมแทน
แต่เขาไม่รู้เลยว่าลางสังหรณ์เมื่อกี้ของเขานั้นถูกต้องแล้ว
ซึ่งนั่นก็สายไปเรียบร้อย