Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1511 ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
- Home
- Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ
- ตอนที่ 1511 ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
“ขอโทษด้วยจริงๆ ผมไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องมันออกมาเป็นแบบนี้เลย”
“ผม…ผมไม่ได้วางแผนว่าจะตีพิมพ์งานวิจัยเรื่องนั้น แต่ผมก็ไม่คิดว่าลูกศิษย์ผมจะดำเนินการไวเกินไป ผมติดต่อสถาบันฟิสิกส์ตะวันตกเฉียงใต้เมื่อวานและให้เขายุติการตีพิมพ์งานวิจัยแล้ว แต่ก็เหมือนมันจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย”
นักวิชาการชิวหมิงรุ่ยโทรมา
เสียงของเขาฟังดูเหนื่อยล้าและโทษตัวเองอย่างเต็มพิกัด
ลู่โจวฟังเข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องมันออกมาเป็นแบบนี้ เขาไม่คิดว่าการโต้เถียงกันทางวิชาการจะถูกนำไปใช้เครื่องมือในเกมการเมืองจากคนที่สนใจในเรื่องนี้แทน
ลู่โจวมองชายสูงวัยผ่านหน้าต่างวิดีโอ ขณะที่พยายามพูดปลอบอีกฝ่าย
“คุณอย่าโทษตัวเองเลยครับ ต่อให้คุณไม่ได้ตีพิมพ์งานวิจัยเรื่องนั้น เรื่องมันก็คงไม่ได้ต่างออกไปหรอก”
เหมือนกับที่ว่าต่อให้ไม่มีกระสุนปืนจากซาราเยโว มันก็จะยังมีสงครามเกิดขึ้นอยู่ดี ลู่โจวไม่คิดว่าองค์กรที่หลบซ่อนอยู่ในความมืดจะปล่อยให้ตัวเขาตั้งโปรเจกต์ฟิวชั่นที่ควบคุมได้ขึ้นมาอยู่แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความไม่พอใจจากเมื่อศตวรรษก่อน หรือจะเป็นเรื่องความขัดแย้งในศตวรรษใหม่ พวกเขาก็ไม่พอใจกับการกระทำของลู่โจวอยู่ดี
“ขอบคุณที่เข้าใจสถานการณ์ของผมนะ…”
ชิวหมิงรุ่ยมองลู่โจวอย่างขอบคุณ เขาลังเลว่าควรจะบอกข้อมูลมากกว่านี้ให้อีกฝ่ายไหม แต่พอเขาคิดไปถึงคำเตือนของคนคนนั้น เขาก็รีบหยุดตัวเองไว้
เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็เป็นแค่นักวิชาการคนหนึ่ง และถึงจะเป็นนักวิชาการ สิ่งที่เขามีก็แต่ออร่าความเป็นนักวิชาการเท่านั้น เอาไปเทียบกับอำนาจที่แท้จริงหรือคำขู่ฆ่าคนอื่นไม่ติดเลย
เขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับที่จะเอาตัวเองไปยุ่งกับความขัดแย้งใหญ่โตนี้
“โอเค เดี๋ยวผมต้องไปเข้าประชุมสำคัญอีกงานแล้ว…ถ้าคุณมีเบาะแสอะไรใหม่ๆ ก็โทรหาผมอีกรอบนะ”
ลู่โจวมองเวลาบนหน้าต่างโฮโลแกรม เขาเดาว่าหลี่กวงหยาที่นั่งอยู่อีกฟากของโต๊ะประชุมน่าจะทนไม่ไหวแล้ว เขาเลยรีบตัดบทสนทนาแล้ววางสายไป
ถึงเขาจะมีลางสังหรณ์ว่าชายสูงวัยจะยังเล่าให้เขาฟังไม่ครบทุกเรื่อง แต่มันก็ไม่ได้สำคัญอะไรอีกต่อไป
ตั้งแต่ที่ความวุ่นวายเกิดขึ้นในเมืองก่วงฮั่นรอบแรก เขาก็บอกเสี่ยวไอให้ตามติดนักวิชาการชิวหมิงรุ่ยแล้ว ถึงเขาจะไม่ได้คิดว่าเรื่องการจลาจลนี้จะเกี่ยวข้องกับนักวิชาการชิว แต่อีกฝ่ายเองก็ยืนอยู่จุดศูนย์กลางของพายุกลุ่มต่อต้าน มันก็ไม่แปลกถ้าคนจากองค์กรจะติดต่อไปหาเขา
หากมองอีกมุม พฤติกรรมของอีกฝ่ายก็อาจจะถือเป็นการแอบป้องกันตัวเองก็เป็นได้
ถ้าทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี ปลาที่แอบซ่อนอยู่ในเงามืดก็จะเริ่มกินเบ็ดแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นปลาเล็กหรือปลาใหญ่ เขาก็ต้องอดทนรอให้ผลลัพธ์ออกมา…
หลังจากวางสายลู่โจวก็เลื่อนนิ้วชี้ออกไปปาดบนอากาศปิดหน้าต่างโฮโลแกรมทิ้งไป
พอเห็นว่าลู่โจวคุยเสร็จแล้ว หลี่กวงหยาที่นั่งอยู่ตรงข้ามโต๊ะประชุมก็ถามด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ ว่า “เมื่อกี้คุยกับใครเหรอ?”
“นักวิชาการชิวน่ะครับ”
“ชิวหมิงรุ่ยเหรอ?”
“คนนั้นแหละ”
บทสนทนาของทั้งสองคนหยุดในทันที
พวกเขาทำตาเบิกกว้างใส่กันและกัน หลี่กวงหยามีสีหน้านิ่งๆ แต่ในใจก็คือปวดหัวเรียบร้อย
ไม่ว่าจะทำเพื่อลดกระแสต่อต้านของชาวเมืองก่วงฮั่น หรือทำเพื่อปรับทัศนคติพวกเขา ในฐานะประธานของสหการพาน-เอเชียนแล้ว หลี่กวงหยาคนนี้ก็ต้องมาคุยกับอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้
แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกับลู่โจวดี
ถ้าให้พูดตรงๆ ก็คือ เขาไม่มีอะไรจะคุยกับอีกฝ่าย
คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาคือนักวิชาการที่เก่งที่สุดจากเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน ถ้าเขามีความสามารถในการสอบถามลู่โจวในเรื่องวิชาการแล้วล่ะก็ เขาคงไม่ได้เป็นแค่ประธานเฉยๆ แล้ว
หลี่กวงหยาถอนหายใจ เขาเอ่ยด้วยคำที่พยายามลดทอนความหมายให้สุภาพว่า “ในเมื่อมีหลายคนที่เป็นศัตรูกับคุณเหลือเกิน พวกเราโฟกัสเรื่องลิฟต์อวกาศก่อนดีไหม?”
ลู่โจวอึ้งไปเล็กน้อย เขาดูสับสน
แล้วเขาก็ตอบกลับมา
“ลิฟต์อวกาศ…ประเด็นนี้มีเรื่องอื่นมาเกี่ยวข้องมากเกินไป ผมมั่นใจมากสุดก็แค่ 30% แต่หลังจากที่วิจัยเรื่องฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นที่สองกันมาหนึ่งร้อยปีแล้ว เวลาที่ใช่ก็คือตอนนี้นี่แหละ”
“เวลาที่ใช่ก็คือตอนนี้ แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าคุณต้องคิดก่อนนะว่าคนอื่นต้องการอะไรแบบไหน” หลี่กวงหยาเอ่ยพร้อมกับความรู้สึกปวดหัวตุบๆ “อย่างน้อยในความคิดของผมน่ะนะ เทคโนโลยีฟิวชั่นรุ่นแรกมันก็พอแล้ว ต่อให้เป็นอีกห้าสิบปีข้างหน้า มันก็ยังใช้ได้ไม่มีปัญหา พวกเราควรจะแก้ปัญหาในปัจจุบันก่อน”
“ผมว่านี่แหละคือปัญหาในปัจจุบัน” ลู่โจวพูดต่อหลังจากเงียบไปพักหนึ่ง “เทคโนโลยีฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นที่สองเป็นจุดเริ่มต้นของการนำทางอินเตอร์สเตลลาร์ ถ้ามีแค่เทคโนโลยีฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นแรก พวกเราเดินทางไปได้อย่างไกลสุดก็ระบบสุริยะ แต่ถ้าพวกเรามีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นที่สองแล้วล่ะก็ พวกเราสามารถเดินทางไปเหยียบโลกในปีแสงอื่นได้เลยนะ”
หลี่กวงหยา “คุณจะไม่ยอมประนีประนอมอย่างนั้นเหรอ?”
ลู่โจวส่ายหัว
“ถ้ามันไม่ได้ผลจริงๆ แล้วล่ะก็ ผมจะลองคิดหาทางอื่นดู อย่างการไปทำการทดลองนี้ที่สถานีอวกาศเลอเกรนจ์บนดาวอังคาร”
ถึงนี่จะไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสมนัก มันก็เป็นแผนสำรองที่ลู่โจวคิดมาดีแล้ว แต่ทางเลือกสำรองอีกสองทางอาจจะสร้างปัญหาขึ้นได้
การย้ายเครื่องปฏิกรณ์ไปที่สถานีอวกาศนั้นไม่น่าจะทำให้เกิดความขัดแย้งอะไรมาก แต่มันจะเพิ่มค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและเพิ่มความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของเครื่องปฏิกรณ์ ระบบการจัดการแบบเน้นอำนาจส่วนกลางของเมืองเทียนกงอาจจะสะดวกมากกว่าเขตเศรษฐกิจพิเศษก่วงฮั่น แต่ปัญหาอาวุธล้นของดาวอังคารจะทำให้เกิดผลกระทบที่คาดการณ์ไม่ได้กับความคืบหน้าในการทดลองนี้
แล้วยังมีความเสี่ยงเรื่องโจรสลัดอวกาศอีก…
ถ้าหากยังมีทางเลือกอื่นอยู่ เขาก็ไม่อยากส่งนักวิจัยของเขาไปพื้นที่อันตรายแบบนั้นเลย
“แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ค่าใช้จ่ายจะสูงมากๆ เลยนะ” หลี่กวงหยาลูบคางตัวเองแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงครุ่นคิด “ได้ยินมาว่าเชื้อเพลิงของฟิวชั่นรุ่นที่สองคือฮีเลียมกับดิวเทอเรียมสินะ ทั้งสองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีอยู่บนดาวโลกกับดวงจันทร์”
พอมองหลี่กวงหยา จู่ๆ ลู่โจวก็ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร
“…ใช่ แล้วความต้องการพลังงานของดาวอังคารก็ไม่ได้มากเท่าระบบโลก-ดวงจันทร์ด้วย ไอเดียแรกของผมคือสร้างเครื่องปฏิกรณ์ฟิวชั่นรุ่นที่สองที่เน้นให้ทำงานได้บนดวงจันทร์ ซึ่งก็ต้องสร้างไว้บนดวงจันทร์เนี่ยแหละ จากนั้นก็ใช้เทคโนโลยีการส่งพลังงานเลเซอร์พลังงานสูงเพื่อส่งพลังงานไฟฟ้าไปวงโคจรพ้องคาบโลก นี่จะทำให้เกิดเป็นสะพานพลังงานโลก-ดวงจันทร์”
ลู่โจวเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง เขายักไหล่แล้วก็ว่าต่อ “แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าผมจะละเลยความรู้สึกของชาวเมืองก่วงฮั่นไป”
หลี่กวงหยาเห็นด้วย “คุณละเลยความรู้สึกพวกเขาจริงๆ คุณสนใจแต่เรื่องการทดลองกับงานวิจัยของคุณ คุณลืมไปแล้วว่าพวกเขาเองก็มีชีวิต แน่นอนว่าคนพวกนั้นจะต้องกลัวอยู่แล้ว และพวกเขาก็จะต้องลุกขึ้นมาต่อต้านก็เพราะว่าความกลัวเนี่ยแหละ! ถ้าเป็นผมนะ ผมจะไม่มีทางทำอะไรที่คุกคามขนาดนี้แน่ๆ อย่างเรื่องลิฟต์อวกาศ ผมต้องหาเหตุผลที่ฟังดูเข้าท่าขึ้นมาก่อน หลังจากนั้นก็หามาสคอตที่จะทำให้คนเชื่อในตัวผมหรือไม่ก็เชื่อในตัวเอง”
“มันก็เหมือนสงครามนั่นแหละ คุณต้องใช้ความกล้ากับเกียรติยศในการฟันฝ่ากับความตายให้กับพวกเขาเพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่กลัวความตาย หรือไม่คุณก็ใช้แส้เฆี่ยนพวกเขา บังคับให้พวกเขาเปลี่ยนให้ได้ แต่ลองคิดดูสิ นี่ศตวรรษที่ 22 แล้วนะ วิธีนั้นมันใช้ได้เหรอ?!”
ลู่โจวขมวดคิ้ว
“มาสคอตเหรอ?”
“อะแฮ่ม…ช่วยโฟกัสกับประเด็นหลักหน่อยสิ” หลี่กวงหยากระแอมแห้งๆ เขาบังคับเปลี่ยนประเด็นแล้วพูดต่อ “เรามาทำข้อตกลงกันดีกว่า เดี๋ยวผมช่วยคุณเอง แล้วคุณก็ต้องช่วยผมด้วย ถ้าพวกเราช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้มันก็จะดีกับทั้งสองฝ่าย และยังสามารถสลักชื่อพวกเราทั้งคู่ลงไปในประวัติศาสตร์ได้ด้วย”
สลักชื่อของพวกเราทั้งคู่ลงไปในประวัติศาสตร์…
มันช่างฟังดูเป็นเป้าหมายที่ห่างไกลเสียเหลือเกิน
ถึงลู่โจวจะไม่ได้สนใจในการทิ้งชื่อตัวเองไว้ในประวัติศาสตร์ เขาก็ยังสนใจข้อเสนอของหลี่กวงหยา
“คุณจะให้ผมช่วยคุณอย่างไรล่ะ?”
“ลิฟต์อวกาศ” หลี่กวงหยาเสนอ “ผมจะช่วยให้คุณจัดการเรื่องในเมืองก่วงฮั่น เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ผมก็หวังว่าคุณจะดำรงตำแหน่งหัวหน้าที่ปรึกษาของการพัฒนาวิทยาศาสตร์ในสหการพาน-เอเชียน รวมถึงเป็นหัวหน้านักออกแบบลิฟต์อวกาศด้วย!”
หรือพูดง่ายๆ ก็คือ คุณอยากให้ผมวางแผนทำลิฟต์อวกาศอย่างนั้นเหรอ?
ลู่โจวใช้เวลาไม่กี่วินาทีคิดทบทวนข้อเสนอนี้ สุดท้ายเขาก็พูดขึ้นมา
“ผมทำได้อยู่แล้ว แต่ผมเกรงว่าผมจะต้องรอจนกว่าเทคโนโลยีฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นที่สองจะสำเร็จก่อน ผมถึงจะมีเวลาว่าง”
หลี่กวงหยาขมวดคิ้วแล้วถามว่า “นานแค่ไหนกว่าเครื่องปฏิกรณ์ฟิวชั่นรุ่นที่สองจะสำเร็จล่ะ?”
ลู่โจวคิดอยู่พักหนึ่งก็ให้คำตอบ “หนึ่งปี หรืออาจจะสองปี สัญชาตญาณผมบอกว่าผลสรุปสุดท้ายของโปรเจกต์จะไม่ใช้เวลานานเกินกว่านั้น”
“ถ้าอย่างนั้นก็ตั้งเวลาไว้ล่วงหน้าเลยหนึ่งปี” หลี่กวงหยาว่าต่อ “หลังจากหนึ่งปี คุณจะต้องดำรงตำแหน่งหัวหน้าที่ปรึกษาการพัฒนาวิทยาศาสตร์ของสหการพาน-เอเชียน! ไม่ว่าคุณจะเข้าร่วมหรือไม่ก็ตาม ผมก็ต้องการให้ชื่อคุณเป็นผู้ดำรงตำแหน่ง!”
“ได้เลย”
ถึงลู่โจวจะมองออกว่าดวงตาเจ้าเล่ห์ของชายสูงวัยคิดอะไรอยู่ เขาก็ยังตอบตกลง
ไม่ว่าจะเพื่อผลประโยชน์หรือเพื่อชื่อเสียงก็ตาม ผลลัพธ์จะออกมาในแง่บวกเสมอ
แม้ว่าคนทุกคนล้วนเห็นแก่ตัว รวมถึงตัวเขาเองก็ตาม
มีแต่เด็กเท่านั้นที่จะสนเรื่องไม่สำคัญพวกนั้น
นาฬิกาบนข้อมือซ้ายของลู่โจวกะพริบเล็กๆ หน้าไอคอนแจ้งเตือนโผล่ขึ้นมา
ใบหน้าของหลี่กวงหยาแสดงสีหน้าของคนที่สุดจะบรรยายออกมา เขาถอนหายใจแล้วถามออกมา “ทำไมคุณมีคนโทรหาเยอะจริง?”
“เพราะผมเป็นคนยุ่งน่ะสิ…ผมจะออกไปคุยข้างนอกนะ”
“นี่คุณจะกดรับสายที่นี่ไม่ได้หรือไง?”
“ไม่ มันไม่เหมาะสมน่ะ”
ลู่โจวลึกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องประชุม
หลี่กวงหยาเอนตัวกลับไปพิงพนักเก้าอี้ แล้วรออยู่สองนาทีด้วยท่าทางไม่ค่อยจะอดทน
ในที่สุดประตูก็เปิดออกอีกครั้ง
ลู่โจวเดินกลับเข้ามาในห้อง
พอเห็นสีหน้าแปลกๆ ของลู่โจว หลี่กวงหยาก็เลิกคิ้วแล้วถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ ว่า “เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
ลู่โจวเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้แล้วก็นั่งลง เขาตอบคำถามด้วยสีหน้าที่แปลกไปจากปกติ “เปล่าหรอก ผมแค่จับปลาตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง”
เป็นปลาที่ตัวใหญ่เกินคาดเสียด้วย…