Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1515 ก่อนจะกลายเป็นประวัติศาสตร์ บุคคลสำคัญก็เคยเป็นมนุษย์เหมือนกัน
- Home
- Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ
- ตอนที่ 1515 ก่อนจะกลายเป็นประวัติศาสตร์ บุคคลสำคัญก็เคยเป็นมนุษย์เหมือนกัน
“ทำไมมันขาดรุ่งริ่งอีกแล้วล่ะ?”
ในห้องเล็กๆ แห่งหนึ่ง หานหมิงมองหุ่นยนต์ที่ผิวหนังถูกทำลายไปหมดโดยสิ้นเชิง รอยยิ้มขมขื่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
เขาอยากจะบ่นเรื่องนี้ตั้งแต่ครั้งที่แล้ว แต่ในเมื่อลูกค้าคือพระเจ้า เขาเลยต้องฝืนห้ามตัวเองไว้ แต่คราวนี้ในเวลาไม่ถึงครึ่งเดือน ผิวหนังหุ่นยนต์ที่เขาอุตส่าห์ลงทุนลงแรงตั้งใจทำกลับได้รับความเสียหายจนพังพินาศอีกแล้ว
ถ้าเขาไม่อยากได้เงินจากเรื่องนี้ เขาก็แค่พูดว่า “เดี๋ยวสุดท้ายผิวมันก็พังอยู่ดี คุณจะเอาชุดของเล่นไปสวมทับก็ได้”
ลู่โจวมองเขาด้วยสีหน้าแปลกๆ
“ผมก็มาหาคุณบ่อยๆ คุณควรจะดีใจไม่ใช่เหรอครับ?”
“ทางเทคนิคแล้วก็ใช่ แต่ผมรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่เห็นผลงานชิ้นเอกของผมเละตุ้มเป๊ะแบบนี้” หานหมิงถอนหายใจ “มากับผมสิ”
หลิงเหลือบมองลู่โจว พอผู้บัญชาการของเขาพยักหน้าอนุญาต เขาก็เดินตามหานหมิงเข้าไปในห้อง
ลู่โจวนั่งรออยู่ที่เก้าอี้เงียบๆ เขาสังเกตเห็นเด็กสาวตัวน้อยที่อายุราวสิบหกสิบเจ็ดปี กำลังนั่งมองเขาด้วยความสงสัยอยู่ในทิศตรงกันข้าม ถ้าเขาจำไม่ผิดล่ะก็ เด็กคนนี้น่าจะเป็นผู้ช่วยของหานหมิง
แต่พอเขาสบตากับเธอ เธอก็กลับหลบตาเขาเสียอย่างนั้น
“เธอมาจ้องผมทำไมกัน?”
เด็กสาวตัวน้อยหน้าแดงด้วยความเขินอาย เธอรีบส่ายหัวแล้วบอกว่า “เปล่าค่ะ เปล่า…ฉันแค่สงสัยนิดหน่อย”
“สงสัยอะไรเหรอ?”
เด็กสาวตัวน้อยกระซิบว่า “หัวหน้าไม่ยอมให้ฉันถามคำถามเรื่องแขกน่ะค่ะ”
“จะถามอะไรก็ถามมาเถอะ”
“ถ้าอย่างนั้นจะถามแล้วนะคะ คุณอย่าโกรธนะ” เด็กสาวกะพริบตาแล้วถามอย่างสงสัยว่า “คุณ…คุณคือนักวิชาการลู่จริงๆ เหรอคะ?”
นี่ยังมีคนสงสัยอีกเหรอว่าฉันเป็นใคร
ลู่โจวยิ้ม ในใจของเขา เขากำลังสั่นหัวอยู่ แต่เขาก็ตอบเธอไปว่า “ใช่แล้ว”
“เฮ้อ…”
“อะไรเหรอ?”
“ไม่มีอะไรค่ะ” เด็กสาวตัวน้อยส่ายหัวแล้วกระซิบว่า “ฉันคิดมาตลอดว่าบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ต่างก็เป็นคนจริงจังกันทุกคน…”
ลู่โจวคิดไปคิดมาแล้วตอบว่า
“ก่อนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ บุคคลสำคัญก็เคยเป็นมนุษย์มาก่อนเหมือนกันนะ”
“ก่อนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์…”
“อะไรเหรอ?”
“ฉันได้ยินคนพูดเรื่องยุคนั้นมาตลอดเลยค่ะ แต่ก็ยังนึกภาพมันไม่ออกจริงๆ ยุคที่ไม่มีหุ่นยนต์กับเทคโนโลยีโลกเสมือนน่ะ” เด็กสาวแตะท้ายทอยหัวตัวเองด้วยความประหม่า แล้วเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มอายๆ “บางทีอาจจะเพราะงานของฉันคือการเปลี่ยนแปลงหุ่นยนต์ก็ได้”
“ในยุคนั้นงานส่วนใหญ่ที่ตอนนี้เอไอเป็นผู้ทำก็มีมนุษย์นี่แหละเป็นคนทำ แต่ก็ไม่ได้มีความแตกต่างอะไรในเนื้องานหรอกนะ”
“งานที่คนทำ…รวมถึงพวกงานบริกรกับคนขับรถบรรทุกด้วยเหรอคะ?”
“แน่นอน”
ในศตวรรษที่ 21 รถยนต์จะต้องมีใครสักคนเป็นคนขับ และมีอัตราการเกิดอุบัติเหตุสูง
แต่ในยุคนี้เมื่อปัญญาประดิษฐ์รับผิดชอบการวางแผนการจราจร และถึงแม้รถสมัยใหม่จะมีความเร็วมากกว่าสมัยก่อน พวกเขาก็กำจัดปัญหาอย่างอุบัติเหตุทางรถยนต์ไปได้
“มันนึกภาพยากจริงๆ นะคะ…” เด็กสาวตัวน้อยถอนหายใจแล้วเอ่ยต่อ “ถ้าสักวันหนึ่งเราใช้งานหุ่นยนต์ไม่ได้ขึ้นมา ฉันก็รู้สึกว่า…ผลที่ตามมาจะต้องรุนแรงมากแน่ๆ ค่ะ”
ลู่โจว “เรื่องแบบนั้นจะไม่เกิดขึ้นหรอก”
“ทำไมล่ะคะ?” เด็กสาวตัวน้อยกะพริบตาแล้วบอกว่า “ฉันเห็นข่าวบนอินเทอร์เน็ตเมื่อวาน มีคนบอกว่ามันมีไวรัสที่เปลี่ยนหุ่นยนต์ให้กลายเป็นอาชญากรได้ด้วย”
“เพราะมีคนคอยดูแลความสงบและความรุ่งเรืองอยู่น่ะสิ”
ลู่โจวลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ เขาขยับแขนไปมาแล้วเอ่ยด้วยท่าทีสบายๆ “เดี๋ยวผมจะเข้าไปดูว่าหัวหน้าคุณเป็นไงบ้าง”
…
สภาพบรรยากาศในเมืองก่วงฮั่นอยู่ในช่วงหดหู่
วิศวกรของอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้ยังติดค้างอยู่ที่สถานีอวกาศ อุปกรณ์วิศวกรรมบนยานขนส่งนั้นก็ถูกแพ็คใส่กระเป๋า ถูกเอาออกมา ถูกแพ็คใส่กระเป๋า แล้วก็ถูกเอาออกมาอีกครั้ง เพราะว่ามีการประท้วงเกิดขึ้นทำให้โปรเจกต์ต้องหยุดชะงัก
ณ ปราสาทจันทรา
หลี่กวงหยาเดินออกมาจากสะพานลงเรือ เขาจับมือกับเทศมนตรีเหย่ หลังจากนั้นเขาก็เดินไปพร้อมกับคนทั้งกลุ่ม ตรงไปที่สะพานของกระสวยอวกาศที่ที่เขาสามารถมองเห็นกลุ่มผู้ประท้วงได้
“ดูเหมือนปัญหาที่นี่จะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นะครับ”
เหย่เหอถอนหายใจแล้วตอบรับ “ก็อย่างที่คุณเห็น…ผมไม่ได้หลับสนิทมาหลายวันแล้วช่วงนี้”
หลี่กวงหยาถาม “คุณลองคุยกับพวกตัวแทนของกลุ่มผู้ประท้วงแล้วหรือยัง?”
“ผมลองแล้ว แต่ผลลัพธ์ก็ยังไม่เป็นที่น่าพอใจเลย” เหย่เหอเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวล “พวกเขาไม่มีทีท่าว่าจะยอมเจรจาเลย ความต้องการเดียวของพวกเขาก็คือให้ถอนกลุ่มอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้ออกไปจากดวงจันทร์”
หลี่กวงหยาเสนอ “อันที่จริงผมก็มีข้อประนีประนอมอยู่นะ”
เหย่เหอถาม “ข้อประนีประนอมอะไรเหรอ?”
หลี่กวงหยายิ้มแล้วอธิบาย “สหการพาน-เอเชียนจะเซ็นข้อตกลงการพัฒนากับอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้ในเรื่องเครื่องปฏิกรณ์ทดลองของฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นที่สอง หลังจากนั้นสหการพาน-เอเชียนก็จะเซ็นข้อตกลงร่วมการพัฒนาเรื่องพลังงานใหม่กับเมืองก่วงฮั่น”
พอเหย่เหอได้ยินคำนี้เข้า สีหน้าของเขาก็ดูแปลกใจ ไม่ใช่ว่าไอเดียนี้มันคาดไม่ถึงแต่อย่างใด แต่เพราะเขาไม่คิดว่าสหการพาน-เอเชียนจะเต็มใจรับปัญหาใหญ่ขนาดนี้ไปจากพวกเขา
“แต่…นี่จะช่วยแก้ปัญหาอะไรได้จริงเหรอครับ?”
“ทำไมจะช่วยไม่ได้ล่ะ?” หลี่กวงหยาถามกลับ “ผมคิดทบทวนเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว พันธมิตรของพวกเรานั้นอ่อนแอเกินไป และแทบจะไม่มีข้อจำกัดอะไรเรื่องรัฐสมาชิกเลย ใครจะเป็นศัตรูกับพวกเราก็ได้ อันที่จริงหากต้องการจะทำเป้าหมายให้สำเร็จ พวกเราควรจะใช้วิธีที่แรงกว่าที่เคยทำด้วยซ้ำ วิธีที่พวกเราสามารถทำได้อย่างเต็มที่”
เหย่เหอสงสัย “อย่างเช่น?”
“ก็อย่างการสร้างเมืองอีกเมืองหนึ่งขึ้นมา” หลี่กวงหยาเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ ในขณะที่เขาเหลือบมองดินแดนสีเทานอกกระจกหน้าต่างทรงกลม “ถัดจากเมืองก่วงฮั่นก็สร้างเมืองที่มีขนาดเท่าเครื่องปฏิกรณ์…เรียกเมืองนั้นว่าเมืองผานกู่…หรือเมืองหนี่วา ผมว่าพื้นที่ใกล้ๆ นี้ก็ค่อนข้างเหมาะสมทีเดียว ไม่น่าจะแบ่งที่ว่างยากอะไร”
เหย่เหอตะลึงไปชั่วขณะ แต่เขารีบดึงตัวเองกลับมาอย่างรวดเร็ว เหงื่อของเขาเย็นเฉียบ
สร้างเมืองขึ้นมาอีกเมืองเหรอ?
ตลกสิ้นดี!
จากมุมมองทางกฎหมายแล้ว นี่ไม่อยู่ในข้อยินยอมเลยแม้แต่น้อย
เหย่เหอ “เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย! เขตเศรษฐกิจพิเศษก่วงฮั่นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับพื้นที่ตรงนั้น ต่อให้มันเป็นพื้นที่ที่ไม่ได้รับการพัฒนา…”
“ตอนนี้มีแล้ว”
เหย่เหอมองหลี่กวงหยาอยู่นาน เขาไม่กล้าพูดอะไร
“อะไรเหรอ?”
“ไม่มีอะไรครับ…แค่แววตาคุณทำให้ผมรู้สึกกลัวนิดหน่อย” เหย่เหอพูดอย่างระมัดระวัง หลังจากสังเกตประธานบอร์ดมาสักพัก “ผมหวังว่าคุณจะไม่ได้คิดอะไรอันตรายๆ อยู่นะ”
หลี่กวงหยาเลิกคิ้วด้วยความสนใจ
“อย่างอะไรล่ะ?”
เหย่เหอไม่ได้พูดอะไรออกมา เขามองอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ
“พวกเราเป็นพันธมิตรกันนะ ไม่ใช่จักรวรรดิ”
หลี่กวงหยารู้สึกเหมือนกับได้ฟังเรื่องตลกอะไรสักอย่าง เขากลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้อีกต่อไป จึงปล่อยขำออกมาเสียงดังลั่น
“ขอโทษที ผมอดไม่ไหวจริงๆ …คุณคิดมากไปแล้ว ผมก็แค่อยากสร้างเครื่องปฏิกรณ์เฉยๆ ”
เหย่เหออยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ตอนนั้นเอง เลขาฯที่ยืนอยู่ข้างหลี่กวงหยาก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้าแล้วเตือนเขาเบาๆ “ท่านประธานครับ มีโทรศัพท์มา”
หลี่กวงหยากระแอมในคอแล้วถามว่า “ใครโทรมากัน?”
“เป็นสายจากกองความมั่นคงครับ เห็นได้ชัดว่ามันเกี่ยวข้องกับการสืบสวนเรื่ององค์กร” เลขาฯกระซิบจนเสียงอยู่ในระดับที่มีแค่พวกเขาได้ยิน “เบาะแสหลักที่พาไปหาฐานโจรสลัดที่ซ่อนอยู่ในแถบดาวเคราะห์น้อย…พวกเขาหวังว่าจะสามารถสมัครเป็นกำลังเสริมที่สถานีอวกาศเลอเกรนจ์ได้”
หลี่กวงหยาเลิกคิ้วเล็กๆ เขาดูแสดงท่าทีสนใจ
“เข้าใจแล้ว”
เขามองเทศมนตรีเหย่ที่อยู่ข้างๆ
“ขอเวลาสักครู่ ผมต้องไปติดต่อเรื่องงานนิดหน่อย”
เหย่เหอขมวดคิ้วแล้วถาม “ผมขอถามได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“ไม่มีอะไร แค่ว่าเพื่อนผมเอาของขวัญที่ผมคิดไม่ถึงมาให้”
หลี่กวงหยาล้อมรอบไปด้วยบอดี้การ์ด เขาเดินตรงไปที่ทางวีไอพีที่อยู่ถัดจากจุดจอดยานอวกาศ
ในตอนนั้นเองกองทัพชุดแรกที่ประจำการอยู่ที่สถานีอวกาศเลอเกรนจ์ก็เริ่มรวมตัวกัน และกองพลอากาศวงโคจรที่สามก็กำลังออกเดินทาง
ในขณะที่บรรยากาศแห่งการรบราฆ่าฟันแพร่กระจายไปทั่วท้องฟ้าอันลึกล้ำ ยานลำสีดำก็เปรียบเสมือนคมมีด เปล่งลำแสงอันเยือกเย็นภายใต้แสงอาทิตย์
ยานลาดตระเวนได้ออกเดินทางไปแล้ว
เป้าหมาย: ดาวซีรีส
ศึกการต่อสู้กำลังใกล้เข้ามา!