Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1517 เรื่องมันยาว
ณ เมืองก่วงฮั่น
หลังจากลงจากกระสวยอวกาศ หลี่กวงหยาก็ไปโรงแรมที่เขาเข้าพัก จากนั้นก็โทรหาเพื่อนร่วมงานของเขาที่อยู่บนดาวโลก
ทันทีที่โทรติด เสียงเร่งรีบก็ดังมาจากปลายสาย
“นี่คุณวางแผนจะสร้างเมืองที่อยู่ถัดจากเมืองก่วงฮั่นจริงๆ เหรอ?”
หลี่กวงหยามองเลขาฯอู๋ในหน้าวิดีโอ เขาพยักหน้ารับแล้วตอบว่า “ใช่”
อู๋ชูฮวาไม่คิดว่าผู้ชายคนนี้จะยอมรับได้ง่ายขนาดนี้ เขาจึงตกตะลึงไปเล็กๆ แล้วเขาก็ขมวดคิ้ว
“แล้วปฏิกิริยาของฝั่งเมืองก่วงฮั่นเป็นอย่างไรบ้าง?”
“อารมณ์ของนายกเทศมนตรีก็นับว่ามั่นคงดี อย่างน้อยก็อยู่ในระดับที่ค่อนข้างมั่นคงน่ะนะ”
อู๋ชูฮวาถาม “คุณหมายความว่าอะไร?”
หลี่กวงหยายิ้มแล้วเอ่ยว่า “หมายความว่าคุณต้องทำงานให้หนักขึ้นอย่างไรล่ะ ถ้าพูดง่ายๆ แล้วก็คือ เทศมนตรีเหย่เป็นคนฉลาด เขารู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องดีกับเมืองก่วงฮั่นอยู่แล้ว แถมยังเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่เขามีด้วย ชาวเมืองก่วงฮั่นก็ไม่ได้โกรธที่พวกผู้มีอำนาจไปร่วมมือกับอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้แล้ว แต่พวกเขาก็ยังไม่ชอบความร่วมมือของอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้กับสหการพาน-เอเชียนอยู่”
อู๋ชูฮวาขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้น “ทำไมผมรู้สึกว่าเรื่องมันจะแย่ลงล่ะ?”
“จะแก้ปัญหาของการเข้าใจผิดได้ก็ต้องแก้หลังจากที่มันบานปลายไปแล้ว” หลี่กวงหยายิ้มเล็กๆ แล้วพูดต่อ “ต่อจากนั้นเราก็แค่ต้องหาตัวละครที่ชาวดวงจันทร์กับพวกเรามองว่าเป็นศัตรูร่วมกัน พวกเขาจะได้ย้ายไปเกลียดคนคนนั้น ดาวโลกไม่มีศัตรูที่คนอื่นเกลียดร่วมกันอีกแล้ว พวกมนุษย์ต่างดาวก็ฟังดูเป็นนิยาย แถมยังอยู่ไกลออกไปเกินอีก โจรสลัดอวกาศในแถบดาวเคราะห์น้อยก็เลยกลายเป็นตัวเลือกที่ดี ยิ่งเพราะพวกมีองค์กรที่เกลียดชังมนุษย์ช่วยเหลืออยู่เบื้องหลังด้วย”
อู๋ชูฮวาขมวดคิ้ว
“คุณหมายถึง…องค์กรนั้นน่ะเหรอ? นี่คุณเชื่อเรื่องพวกนั้นจริงๆ เหรอ?”
หลี่กวงหยาอธิบาย “ตราบใดที่พวกเราสามารถหาหลักฐานได้ว่าองค์กรนั้นมีอยู่จริง มันก็ไม่เป็นไรหรอก ถ้าหาหลักฐานไม่ได้ เราก็สร้างหลักฐานขึ้นมาเองเลย ไหนขอนับสิว่ามีคนเสียชีวิตไปกี่คนแล้ว…เอ่อ ผมนับไม่ได้แฮะ แต่อย่างน้อยก็มีสองคนแล้วที่ผมรู้จัก”
หลิวเจิ้งซิงกับซงหยางเหว่ยต่างก็เป็นผู้บริหารตำแหน่งสูงของอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้ ถึงหลี่กวงหยาจะไม่ได้สนิทกับพวกเขา แต่ในงานที่จัดขึ้นให้พวกระดับสูงมาร่วมงาน เขาก็เห็นคนสองคนนั้นบ่อยๆ
“บางทีการตัดสินใจเชิงรุกเรื่องแผนฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นที่สองอาจจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดก็ได้ ชาวดวงจันทร์ยังไม่พร้อมจะยอมรับเทคโนโลยีนี้ และพวกเราก็ไม่ได้รีบต้องการพลังงานจนต้องไปแยกฮีเลียม 3 เลย” ในแววตาของเขามีความกังวลเจืออยู่ อู๋ชูฮวาเว้นจังหวะไปเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “คุณคิดว่ามันคุ้มแล้วเหรอ?”
“ถ้าพวกเราไม่เตรียมตัวตั้งแต่วันนี้ พวกเราจะไม่มีวันพร้อมอีกเลย ส่วนที่ถามว่ามันคุ้มไหม เดี๋ยวคุณก็จะรู้เอง” หลี่กวงหยายิ้มเล็กๆ แล้วบอกต่อ “อย่างไรก็ตามผมก็หวังมาตั้งนานแล้วให้เรื่องนี้มันเกิดขึ้นเสียที สังคมบนดวงจันทร์ถูกแยกจากพวกเรามานานเกินไปแล้ว มันก็ไม่แปลกถ้าวัฒนธรรมจะไม่เหมือนกัน”
ยิ่งหลังจากยุครุ่งเรืองของการขุดดาวเคราะห์ในช่วงหลังปี 2040 บวกกับการที่อุตสาหกรรมที่ไม่ใช้พนักงานมนุษย์และมีอัตราการปล่อยแก๊สขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศสูงและอุตสาหกรรมอื่นๆ ย้ายถิ่นฐานจากดาวโลกไปอยู่บนดาวอังคาร ทำให้สังคมบนโลกเปลี่ยนจากสังคมที่เน้นไปทางการผลิตเป็นสังคมที่เน้นไปทางผู้บริโภคแทน แร่หายากบนดวงจันทร์ไม่ได้อยู่ในจุดที่คนต้องการมากอีกต่อไป
สุดท้ายแล้วการขุดเหมืองในพื้นที่ที่มีแรงโน้มถ่วงต่ำก็สะดวกกว่า
บวกกับเรื่องที่ว่าการเดินทางไปกลับระหว่างดาวอังคารกับระบบโลก-ดวงจันทร์มันสะดวกน้อยกว่าการเดินทางไปกลับระหว่างดาวอังคารกับแถวดาวเคราะห์น้อยเป็นอย่างมาก แถมค่าแรงขั้นต่ำของดาวอังคารก็อยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างต่ำ และผู้ใช้แรงงานยังได้ประโยชน์จากความปลอดภัย ทำให้อุตสาหกรรมเหมืองบนดวงจันทร์เข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างแทบจะหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ถ้าอย่างนั้นคุณคิดว่าคุณแค่ต้องการศัตรูที่ทุกคนมีร่วมกันสักคน ก็เลยส่งกองทัพชุดแรกไปที่แถบดาวเคราะห์น้อยเพื่อไปจัดการเรื่องนิดๆ หน่อย แก้ไขปัญหาช่องว่างระหว่างพวกเรากับดวงจันทร์อย่างเหรอ?”
“ก็ต้องไม่ใช่อยู่แล้วไหมล่ะ ผมไม่ได้ไร้เดียงสาเสียขนาดที่คิดว่าการจัดการเป้าหมายแค่อย่างเดียวจะช่วยแก้ปัญหาทุกอย่างได้หรอกนะ พวกเราต้องยอมรับว่าความแตกต่างทางวัฒนธรรมอันนี้ได้ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว และมันก็สะสมมาทุกๆ วันมาเป็นเวลาตลอด 50 ปี ถ้าจะแก้ปัญหามันให้หายไปเลยนั้น ผมเกรงว่ามันจะต้องใช้เวลานานกว่านี้ อาจจะสัก 100 หรือ 200 ปี”
“ไม่มีประโยชน์ที่จะไปเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้ว การได้รับบทเรียนจากมันต่างหาก ที่เป็นสิ่งล้ำค่าต่ออารยธรรมของเรา” หลี่กวงหยาเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ แล้วก็พูดต่อ “ถ้าช่องว่างมันขยายใหญ่ขึ้นเป็นสเกลระดับปีแสงแล้วล่ะก็ คุณคิดว่าพวกเราจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไรดี? หรือพวกเราควรจะจัดการเรื่องความขัดแย้งระหว่างดาวแม่กับดาวอาณานิคมอย่างไรดี…ผมคิดว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องเปิดโลกทางความคิดที่ใหญ่ที่สุดที่เหตุการณ์นี้พาพวกเรามาถึงจุดที่ยืนกันอยู่ในปัจจุบัน”
อู๋ชูฮวาขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า “นี่ใช่เรื่องที่ต้องมาคิดกันด้วยเหรอ?”
“ไม่ใช่เลย” หลี่กวงหยาส่ายหัวเล็กๆ แล้วว่าต่อ “แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องนี้เป็นคำถามที่ควรค่าแก่การลองคิดดู”
สีหน้าของเขาดูครุ่นคิดเล็กๆ
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ผมกลับสามารถเข้าใจได้ในทันทีว่าทำไมผู้คนเมื่อร้อยปีก่อนถึงมุ่งไปทางแผน ‘โง่ๆ ‘ เพื่อทำให้อนาคตแข็งแกร่งขึ้น”
อู๋ชูฮวา “ทำไมกัน?”
หลี่กวงหยาเผยยิ้มแล้วอธิบาย “คุณไม่ได้สังเกตเลยเหรอ? ประสบการณ์ในอดีตไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาเรื่องอนาคตเลย แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ปัญหาส่วนใหญ่ที่พวกเราเจอกันนั้นไม่สามารถถูกแก้ไขได้จากการใช้บทเรียนที่ได้รับมาจากประวัติศาสตร์…ดังนั้นมันก็คงจะดีถ้าพวกเราสามารถมองเห็นอนาคตได้ ผมพนันได้ว่าโลกในอีกร้อยปีข้างหน้าจะต้องน่าสนใจกว่าปัจจุบันที่เป็นอยู่แน่นอน”
อู๋ชูฮวาว่า “งั้นคุณก็ไปหลับชั่วคราวในเครื่องเถอะ”
“ผมก็แค่พูดเฉยๆ ไม่ได้จะไปจริงๆ เสียหน่อย” หลี่กวงหยาส่ายหัวแล้วเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “มันจะต้องน่าตื่นตาตื่นใจอย่างแน่นอน แต่ถ้าพลาดเรื่องราวในปัจจุบันไปก็คงน่าเสียดายแย่”
“อีกอย่างนะ ถ้าผมไปยุคอนาคต”
“แล้วใครจะเป็นคนทำปัจจุบันให้ดีกันล่ะ?”
…
ณ มหาวิทยาลัยจินหลิง
ลู่โจวที่เพิ่งเลิกเรียนคลาสเตรียมความพร้อมก็ถูกอาจารย์ซุนเชิญไปทานอาหารด้วยกันที่โรงอาหาร แต่ทันทีที่เขาเดินออกจากห้องเรียน เขาก็เห็นซิงเปียนกับสือจินยืนรอเขาอยู่นอกห้อง
ลู่โจวเอนคอเล็กๆ ถามพวกเขาเบาๆ ว่า “ขอโทษนะครับ เกรงว่าผมจะติดธุระไม่ได้ไปทานอาหารมื้อนี้เสียแล้ว”
ใบหน้าของซุนหลานมีแต่ความผิดหวัง
“เพื่อนคุณเหรอคะ?”
ลู่โจวคิดอยู่แป๊บหนึ่ง ก่อนจะให้คำตอบที่ฟังดูคลุมเครือไป
“ทำนองนั้น”
หลังจากที่คุยกับนักเรียนหญิงปริญญาโทที่อยากจะคุยกับเขาเรื่องสถานการณ์สังคมของเมื่อหนึ่งน้อยปีก่อนจนจบ ลู่โจวก็เดินหน้าไปหาเจ้าหน้าที่กองความมั่นคงทั้งสองคนแล้วก็หยุดลง
“มองหาผมอยู่เหรอครับ?”
“ทำนองนั้น” ซิงเปียนยิ้มแล้วทัก “ผมคิดว่าคุณจะยุ่งมากๆ เสียอีก”
“ต่อให้ผมจะยุ่งแค่ไหน ผมก็ยังต้องเรียนรู้อยู่ดี ยังไม่นับว่าการทดลองเครื่องปฏิกรณ์ฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นที่สองในตอนนี้ยังหยุดชะงักอยู่ด้วย”
ยิ่งลู่โจวได้รู้เรื่องราวของโลกนี้มากขึ้นเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองยังรู้น้อยไปมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นนอกจากคลาสเตรียมความพร้อมที่มหาวิทยาลัยจินหลิงแล้ว เขายังลงเรียนคลาสประวัติศาสตร์สมัยใหม่เพิ่มอีกด้วย
แต่เพราะอะไรสักอย่างศาสตราจารย์วิชาประวัติศาสตร์สมัยใหม่ดูจะไม่อยากคุยกับเขาในคลาสทุกที ทุกครั้งที่ลู่โจวกดปุ่มถามคำถาม ศาสตราจารย์ก็ดูมีทีท่ากังวลเอามากๆ อยู่ร่ำไป
ซิงเปียนกับสือจินมองหน้ากันและกัน สายตาของพวกเขาบ่งบอกอะไรสักอย่าง
ในขณะที่อีกสองคนสบตากัน ลู่โจวก็มองทั้งสองคนแล้วถามว่า “แล้วพวกคุณเป็นไงบ้าง? เหมือนพวกคุณจะมีเวลาว่างเยอะเลยนะเนี่ย”
“ก็ไม่เชิงว่าเป็นเวลาว่างหรอก แต่การสืบสวนคดีกำลังเป็นไปอย่างช้าๆ น่ะ” ซิงเปียนว่าต่อหลังจากเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “ยิ่งไปกว่านั้นแล้วเรื่องโมรินากะ ผมยังมีเรื่องไม่เข้าใจอยู่นิดหน่อย…ไม่รู้ว่าคุณสะดวกจะให้คำตอบไหม”
ลู่โจวเอ่ยอย่างสบายๆ “ว่ามาเลย”
“คุณจับโมรินากะได้อย่างไรกัน?” ซิงเปียนมองลู่โจวอย่างตั้งใจ เขาพยายามอ่านแววตาของอีกฝ่าย “หลังจากที่หน่วยคอมมานโดเข้าไปในบ้านของโมรินากะ พวกเขาก็พบอาวุธมากมาย…”
ลู่โจวชะงักไปเล็กน้อย แล้วเขาก็พูดไปหัวเราะไป “นี่คุณคิดว่าผมจะมีอาวุธที่…คล้ายๆ กับพวกนั้นเหรอ?”
“โปรดอย่าเพิ่งเข้าใจผมผิด ผมไม่ได้จะหมายความอย่างนั้นอยู่แล้ว” ซิงเปียนยิ้มแห้งๆ แล้วพูดต่อ “มันไม่มีร่องรอยการขัดขืนแม้แต่น้อย ความเสียหายจากกระสุนทั้งหมดในบ้านมาจากอาวุธอัตโนมัติของโมรินากะนั่นแหละ”
หลังจากนิ่งไปซิงเปียนก็ถามต่อ “แต่สิ่งที่ทำให้ผมไม่เข้าใจเลยก็คือ…คุณพาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้อย่างไร ถ้าต้องเผชิญกับมหกรรมสงครามปืนขนาดนั้น?”
ซิงเปียนก็สงสัยแบบเดียวกันกับเหตุการณ์เที่ยวบิน N-177 เมื่อตอนนั้น
แล้วก็ยังมีเคสวางระเบิดและหุ่นยนต์ในเขตชานเมืองจินหลิงอีก ถ้าใครเจอเข้าไปนี่ป่านนี้ลงไปนอนคุยกับรากมะม่วงแล้ว ต่อให้เป็นเขาก็เอาชีวิตรอดจากการโจมตีระดับนั้นยาก
แต่ลู่โจวกลับไม่เป็นอะไรเลย นอกจากเขาจะไม่ได้เป็นกังวลอะไรเลยแล้ว เขายังไม่ได้ระมัดระวังตัวในการเดินทางไปไหนมาไหนในทุกๆ วันของเขาเลยแม้แต่น้อย ราวกับไม่ได้กลัวเลยว่าเหตุการณ์คล้ายๆ กันจะเกิดขึ้นกับตัวอีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่าพฤติกรรมของลู่โจวไม่ได้สิ่งที่อธิบายได้ด้วยคำว่า ‘ความกล้าหาญ’ เพียงอย่างเดียว
ลางส่วนตัวบอกซิงเปียนว่าลู่โจวอาจจะพัฒนา ‘ยาพิเศษ’ ที่ช่วยควบคุมไวรัสอัลฟ่าขึ้นมาก็ได้ หรือไม่เขาก็อาจจะพัฒนาเทคโนโลยีพิเศษบางอย่างที่ช่วยควบคุมหุ่นยนต์ได้
และเทคโนโลยีที่ว่านี่ก็น่าจะกลายเป็นกุญแจสำคัญของไวรัสอัลฟ่า…
สีหน้าของลู่โจวเริ่มดูแปลกๆ แล้ว
จะว่าไปพอคุณพูดแบบนี้แล้ว…
มันก็ดูแปลกจริงๆ
พอพวกหุ่นยนต์ที่ติดเชื้อไวรัสอัลฟ่ามาสู้กับหลิง ก็เหมือนลูกแกะรอวันสังเวยแค่นั้นแหละ พวกนั้นไม่มีพลังสู้กลับเลย
ย้อนกลับไปตอนวันนั้น เขากังวลอยู่แค่เรื่องการต่อสู้ก็เลยรีบตัดสินใจแบบฉับพลัน เขาลืมนึกถึงปัญหาข้อนึงไป ก็คือเขาชนะมาได้อย่างง่ายเกินไป ง่ายมากเสียจนมันน่าแปลกใจมากกว่าการที่สามารถชนะการต่อสู้ยากๆ ได้เสียอีก…
จะให้อธิบายอย่างไรดีล่ะ?
ลู่โจวอดกังวลไม่ได้
เขาถอนหายใจแล้วพูดขึ้นว่า
“เรื่องมันยาวน่ะครับ”
แต่พอได้ยินคำว่า ‘เรื่องมันยาว’ ซิงเปียนก็รู้สึกพอใจขึ้นมาทันที เขาตอบกลับไปว่า “ไม่เป็นไรครับ เล่ามาได้ตามสบายเลย!”
“ผมเล่าแน่ แต่คงเล่าที่นี่ไม่ได้หรอก ใช่ไหม?” ลู่โจวมองไปรอบๆ ตัวแล้วเอ่ยว่า “แถวนี้คนเยอะเกินไป ใครจะไปรู้ล่ะว่ามีคนแอบฟังไหม”
สือจินรีบพูดขึ้นว่า “เรื่องนั้นสบายใจได้ครับ…แถวนี้มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่ใกล้ๆ หรือถ้าคุณกังวลจริงๆ รถพวกเราก็จอดอยู่ใกล้ๆ เหมือนกัน พวกเราไปคุยกันในรถก็ได้”
ตอนแรกเขาไม่ได้เสนอเรื่องจะไปคุยกันในรถ หลักๆ เพราะว่าเขาห่วงว่าลู่โจวจะไม่พอใจไอเดียนี้ แต่ตอนนี้พอลู่โจวเป็นฝ่ายเริ่มระแวง ก็เห็นได้ชัดว่าการเข้าไปคุยในรถเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
แต่ลู่โจวก็ไม่เลือกข้อเสนอของเขาอยู่ดี
“เราคุยในรถกันไม่ได้ครับ ในนั้นมันแออัดเกินไป”
เขามองไปรอบๆ ตัว แล้วพูดต่อ “ผมหิวมากๆ เลย พวกเราไปหาที่กินข้าวแล้วคุยกันที่นั่นดีกว่า”
ซิงเปียนพยักหน้าทันที
“ไม่มีปัญหา ผมรู้จักร้านอาหารดีๆ แถวนี้ เดี๋ยวผมจองห้องส่วนตัวตอนนี้เลย จะได้ไปกินแล้วก็ไปคุยเรื่องนี้ด้วย…ผมเลี้ยงเอง!”
“ใครจะเลี้ยงก็ไม่สำคัญหรอกครับ” ลู่โจวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดื่มกับผมหน่อยก็แล้วกัน”
พอพวกเราเริ่มกินอาหารกัน…
ฉันคงจะแต่งเรื่องตัวเองเสร็จแล้วล่ะ