Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1518 ลูกเรือที่หายไป
ณ สถานีอวกาศ
ยานขนส่งลำเล็กๆ ค่อยๆ เคลื่อนมาจอดเทียบท่า
สะพานเชื่อมๆ ค่อยปล่อยลงมา จากนั้นกลุ่มทหารหลายคนในชุดเครื่องแบบก็ใช้สะพานนั้นเดินจากยานเข้าไปในสถานี และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเดินนำพวกเขาอีกที
หลี่เกาเหลียงมองกลุ่มเจ้าหน้าที่ที่กำลังเดินมาหาเขา เขาส่งงานให้ลูกน้องของเขา แล้วค่อยก้าวมาข้างหน้าเพื่อทำความเคารพ
พอเห็นว่าอีกฝ่ายทำความเคารพให้ หยางอู๋ หัวหน้าที่ปรึกษาของกองทัพชุดแรกของพาน-เอเชีย ก็มองไปรอบๆ พื้นที่แล้วถามว่า “สถานการณ์ที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ผมให้คนเข้าไปตรวจเช็กข้างในและข้างนอกแล้วครับ แต่ยังหาร่องรอยของพวกโจรสลัดไม่ได้เลย” หลี่เกาเหลียงรายงาน หลี่เกาเหลียงทำสีหน้าเหมือนมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล “แต่ที่แปลกก็คือ ผมมั่นใจว่าก่อนหน้านี้ เคยมีคนพักอาศัยอยู่ที่นี่มาก่อนครับ พวกเราพบของใช้ส่วนตัวหลายอย่างที่ถูกทิ้งไว้ในพื้นที่หอพักของสถานีอวกาศแห่งนี้”
หยางอู๋ขมวดคิ้ว
“ของใช้ส่วนตัวเหรอ?”
หลี่เกาเหลียงพยักหน้าแล้วพูดต่อ “ใช่ครับ…ถึงผมจะไม่มั่นใจว่าเป็นของโจรสลัดอวกาศหรือเปล่า แต่ก็มีคนอาศัยอยู่ที่นี่อย่างแน่นอนครับ”
หยางอู๋เอ่ยขึ้นมาทันที
“พาผมไปดูที่นั่นที”
หลี่เกาเหลียงตอบอย่างตั้งใจ
“ครับท่าน”
…
เขตหอพักอยู่ถัดจากห้องไฟฟ้าของสถานีอวกาศ มันประกอบไปด้วยห้องเดี่ยว 8 ห้อง และเตียงอีก 64 เตียง มีระเบียงทางเดินยาวๆ แคบๆ ที่เชื่อมต่อโดยตรงกับห้องสังเกตการณ์
เป็นดีไซน์สถานีอวกาศรูปแบบเก่า
สถานีอวกาศในสมัยปัจจุบันไม่ได้มีเจ้าหน้าที่ที่พักอยู่ประจำมากมายเหมือนเมื่อก่อน เจ้าหน้าที่ที่พักอาศัยอยู่ประจำทุกคนจึงได้มีห้องพักเป็นของตัวเอง
หยางอู๋ยังจำได้ว่าในสมัยช่วงปี 2050 ก่อนที่เขาจะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแผนกำลังเสริมเพื่ออนาคต แม้ว่าสถานีอวกาศในตอนนั้นจะยังมีรูปแบบแตกต่างกัน แต่ส่วนใหญ่ก็มีดีไซน์คล้ายๆ กันกับสถานีอวกาศแห่งนี้
ส่วนสาเหตุที่ทำไมดีไซน์นี้ถึงเปลี่ยนไป เขาก็จำไม่ได้ชัดเหมือนกัน เพราะสุดท้าย ก็มีหลายสิ่งหลายอย่างเหมือนกันที่เกิดขึ้นในระหว่างที่เขาหลับไปชั่วคราว
ในขณะที่หยางอู๋มองทหารที่กำลังถ่ายรูปอยู่ใกล้ๆ เขาก็ถามขึ้นว่า “แถวนี้มีอะไรที่สามารถใช้ยืนยันตัวตนของคนพวกนี้บ้างได้ไหม…หรือพอจะพิสูจน์ได้บ้างว่าพวกเขาหายไปไหนกัน?”
หลี่เกาเหลียงส่ายหัวและตอบคำถาม
“ผมก็ยังไม่เจออะไรเลยครับ”
“ท่านครับ!” ทหารคนหนึ่งที่มาพร้อบกับเอ็กโซสเกลเลตันก้าวขึ้นมาข้างหน้า เขายื่นสมุดโน้ตในมือให้พวกเขาดูอย่างตื่นเต้น “ท่านครับ ผมพบสิ่งนี้ในหอ 07!”
หลี่เกาเหลียงมีท่าทางอายเล็กน้อย
เขาส่งสายตาโกรธเคืองไปทางทหารคนนั้น
“แล้วทำไมไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้?!”
หลังจากโดนสวดไป ทหารคนนั้นก็ดูทำอะไรไม่ถูก เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดีอยู่พักหนึ่ง
หยางอู๋เผยยิ้มออกมาแล้วก็ส่ายหัวให้กับเรื่องที่เกิดขึ้น เขาไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร ได้แต่เอื้อมมือขวาไปรับสมุดโน้ตมา
“ไหนดูหน่อยซิ”
เขาหยิบสมุดโน้ตมาจากมือทหาร แล้วพลิกหน้าไปมา
ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ สมุดโน้ตเล่มนี้เป็นไดอารี่ และมันก็ถูกเขียนด้วยหมึกพิเศษ วิธีการเขียนลงในกระดาษทำให้หยางอู๋รู้สึกสงสัยเล็กน้อย เพราะในยุคนี้คนส่วนมากจะไม่เขียนไดอารี่โดยใช้ลายมือของตัวเอง
วันที่ซึ่งปรากฏอยู่ในไดอารี่ก็ดูไม่สม่ำเสมอ บางทีก็เว้นไปเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือนก็มี ถ้าดูจากวันที่ที่ปรากฏอยู่ที่หน้าสุดท้าย วันสุดท้ายของไดอารี่เล่มนี้คือเมื่อยี่สิบปีก่อน ราวปี 2095
แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้หยางอู๋แปลกใจไม่ใช่เวลาที่ปรากฏอยู่ในไดอารี่ แต่เป็นตัวเจ้าของไดอารี่กับประสบการณ์โชคร้ายของเขาต่างหาก
เจ้าของไดอารี่คนนี้ชื่อตงปิน และเขาก็ไม่ได้เป็นโจรสลัดอวกาศด้วย เขาเป็นคนขุดเหมืองต่างหาก
50 ปีก่อน ในเหตุการณ์โจรสลัดอวกาศบุกที่เกิดขึ้นที่สถานีขุดเหมืองในแถบดาวเคราะห์น้อย เขาโชคร้ายบังเอิญถูกพวกโจรสลัดจับเป็นเชลยในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ประจำสถานีเหมือง
ตอนแรกเขาก็ไม่ได้กังวลอะไรมาก สุดท้ายโจรสลัดส่วนใหญ่ก็แค่ต้องการหาเงินอย่างเดียว ตราบใดที่เขาไม่ได้ทำอะไรให้พวกโจรสลัดโมโห และเขาสามารถจ่ายเงินค่าไถ่ให้พวกเขาได้ เขาก็ไม่เป็นอะไร
ในฐานะที่เป็นคนปกติ เขาไม่มีทางยอมตายเพื่อทรัพย์สินของบริษัทแน่ๆ เขาจึงยอมก้มหน้าก้มตาฟังโจรสลัดอวกาศบนยานลำนี้แต่โดยดี
แต่ที่เขาไม่ได้คิดว่าจะเกิดขึ้นก็คือ หลังจากที่โจรสลัดอวกาศพาเขามาที่ฐาน พวกเขาไม่ได้ขอให้เขาอัดวิดีโอเรียกค่าไถ่แต่อย่างใด แต่พวกโจรสลัดกลับจับเขาเข้าไปอยู่ในตู้สำหรับหลับชั่วคราวแทน
พอเขาตื่นขึ้นมาอีกทีมันก็เป็นเวลา 30 ปีต่อมาแล้ว ตอนนั้นเองเป็นตอนที่เขาเริ่มเขียนไดอารี่
[คนในสถานีอวกาศนี้เป็นมิตรเอามากๆ คนส่วนใหญ่ก็ตกเป็นเหยื่อของพวกโจรสลัดอวกาศนั่น…ในหมู่พวกเรามีวิศวกร หมอ ทหาร และศาสตราจารย์ด้านคณิตศาสตร์ ทุกคนดูจะมีความชำนาญในด้านที่ต่างกัน ผมได้รู้ว่าบางคนมาที่นี่เพราะเหตุผลต่างกันออกไป บางคนก็คิดว่าตัวเองมาเที่ยวที่นี่ บางคนถึงขนาดความจำเสื่อมว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาก่อนที่จะมาหาสถานีอวกาศแห่งนี้…ผมเป็นคนเดียวที่มาที่นี่จากเมื่อ 30 ปีก่อน
ไม่มีใครรู้ว่าทำไมพวกเราถึงมาอยู่ที่นี่กัน…ถึงผมจะรู้สึกว่าพวกเขาบางคนอาจจะไม่ได้เล่าความจริงทั้งหมดออกมาก็เถอะ แต่คิดเรื่องนั้นไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์
ถ้าพูดตรงๆ เลยก็คือ ตอนนี้พวกเราติดอยู่ที่นี่ ถึงสถานีอวกาศจะมีสิ่งของที่เหมาะกับการใช้ชีวิตและแหล่งพลังงานสำคัญเพียงพอก็ตาม แต่พวกเราก็ติดต่อกับโลกภายนอกไม่ได้เลย คน 64 คนที่อยู่ในสถานีอวกาศนี้ก็เป็นเสมือนสังคมเล็กๆ ที่ต้องพึ่งพาตัวเอง พวกเราถูกสังคมมนุษย์ทอดทิ้งและเริ่มจะสงสัยแล้วว่ายังมีดาวโลกอยู่หรือเปล่า…แต่ในขณะที่พวกเรากำลังจะยอมรับสถานการณ์ปัจจุบันได้แล้วนั่นเอง ก็มีใครบางคนแอบบอกผมว่าในหมู่พวกเรามีหุ่นยนต์แอบซ่อนอยู่
เป็นใครกัน? ผมประหลาดใจ ผมมั่นใจได้แค่อย่างเดียว คือหุ่นยนต์ที่ว่านั่นต้องไม่ใช่ผมแน่ๆ ผมตื่นมาจากตู้สำหรับหลับชั่วคราว ผมมีครอบครัวที่สมบูรณ์ ไม่ว่าพวกเขาจะยังจำผมได้หรือไม่ก็เถอะ]
“…ฟังไปฟังมาก็เหมือนเรื่องสยองขวัญเหมือนกันนะ” ข้างๆ หยางอู๋นั้น หลี่เกาเหลียงกำลังเอามือจับคางของเขาแล้วเอ่ยว่า “หุ่นยนต์ที่ปลอมตัวเป็นมนุษย์…แล้วสถานีอวกาศนี่มีขึ้นมาเพื่อเอาไว้ใช้ทำอะไรกันแน่ล่ะ?”
“บางทีอาจจะเพื่อการทดลองชั่วร้ายอะไรสักอย่าง ของแบบนั้นมันหายาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเสียเลยทีเดียว” หยางอู๋พลิกไดอารี่ไปจนถึงสองสามหน้าสุดท้าย ใบหน้าของเขาฉายแววสุขุมและน่าเคารพขึ้นมา “อย่างไรก็แล้วแต่ ตงปินคงนี้อาจจะเป็นการค้นพบครั้งใหม่ก็ได้…ถ้าพวกคุณสืบหาตัวตนของเขาได้ ขั้นตอนถัดไปก็น่าจะง่ายขึ้น”
หยางอู๋พลิกไปจนถึงหน้าสุดท้าย คราวนี้เขาชะงักไปครู่หนึ่ง
ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้สังเกตมาก่อน
ตรงมุมเล็กๆ ข้างล่างหน้ากระดาษ มีสูตรของอะไรสักอย่างถูกเขียนไว้หวัดๆ อยู่
ถ้าเขาไม่ได้ตั้งใจอ่าน เขาก็คงคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เจ้าของไดอารี่แค่เขียนไปเรื่อยเฉยๆ
และเพราะอะไรสักอย่าง วินาทีที่หยางอู๋เห็นสูตรที่เขียนหวัดๆ นั้น เขาก็มีลางสังหรณ์ขึ้นมาว่าเขากำลังเข้าใกล้ความจริงมากขึ้นทุกทีๆ
หลี่เกาเหลียงแตะคางของตัวเอง ในแววตาของเขาฉายความรู้สึกสงสัยอยู่เล็กๆ
“สูตรพวกนี้มัน…”
“ผมก็ไม่รู้” หยางอู๋ส่ายหัวแล้วพูดขึ้นว่า “มันดูเหมือนพวกสูตรฟิสิกส์…หรือบางทีอาจจะเป็นคณิตศาสตร์ก็ได้”
หลี่เกาเหลียงขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถาม “แล้วทำไมมันมาโผล่อยู่ในนี้ล่ะครับ? ในไดอารี่ของคนขุดเหมืองธรรมดาๆ คนหนึ่ง”
“บางทีเจ้าของไดอารี่คนนี้อาจจะเป็นผู้คลั่งไคล้คณิตศาสตร์ก็ได้…หรืออย่างน้อย เขาก็คิดว่าตัวเองเป็นคนแบบนั้น” หลังจากถ่ายภาพบันทึกไปบ้างแล้ว หยางอู๋ก็ยื่นสมุดโน้ตคืนให้กับทหาร แล้วหันไปมองหลี่เกาเหลียงพร้อมกับพูดว่า “ผมจะไปถามผู้เชี่ยวชาญว่าสูตรพวกนี้มันความว่าอะไร”
หลี่เกาเหลียงคิดแล้วก็เอ่ยขึ้นมาทันที “ผมบังเอิญรู้จักผู้เชี่ยวชาญอยู่คนหนึ่งครับ คุณอยากให้ผมแนะนำไหม?”
“ใครกัน?”
“นักวิชาการลู่ครับ!” หลี่เกาเหลียงเอ่ยด้วยรอยยิ้มจริงใจ “จากที่ผมทราบมา เขาเป็นคนที่กระตือรือร้นและช่วยได้มากครับ!”
ช่วยได้มากเหรอ?
ชื่อของผู้ชายที่พลิกสถานการณ์เที่ยวบิน N-117 โผล่ขึ้นมาในหัวของเขาทันที
“ผมรู้ดีว่าคุณหมายถึงใคร ไว้ถ้าผมมีโอกาสผมจะไปหาเขาดู”
จู่ๆ ข้อความสีฟ้าเป็นบรรทัดก็โผล่ขึ้นมาบนหน้าจอในหมวกของหยางอู๋
พอเขาเห็นข้อความนั้น เขาก็ตกตะลึงไป
เมื่อหลี่เกาเหลียงสังเกตว่าหยางอู๋มีท่าทางแปลกไป เขาก็ถามขึ้นมาทันที “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?”
“มีข่าวมาจากหอคอยบัญชาการ” หยางอู๋ยังคงมีแววตาแปลกๆ ในขณะที่พูดต่อไป “พบร่องรอยการส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าบนดาวซีรีส
และถ้าดูจากคลื่นความถี่และรูปทรงของคลื่นนั้นแล้ว…
มันเป็นคลื่นที่เกิดจากฝีมือของมนุษย์”