Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1519 เดจาวูกับวิธีถอดรหัส
- Home
- Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ
- ตอนที่ 1519 เดจาวูกับวิธีถอดรหัส
บางทีลู่โจวก็หวนคิดถึงสมัยที่ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไร ต่อให้คำพูดของเขาไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่มีใครกล้าตั้งคำถามกับเขา
ในขณะที่เขามองขวดไวน์บนโต๊ะ เขาก็เผลอคิดไปไกล นึกถึงวัยเยาว์และความรักที่เขาเสียไป
“เมื่อไหร่เราจะเข้าประเด็นกันได้เสียที?” ซิงเปียนกำลังจะอาเจียนแล้ว เขาใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งหยิกกลางหน้า พยายามทำให้ตัวเองตื่นอยู่จนถึงที่สุด
เขาว่าเขาเป็นคนคอแข็งแล้วนะ แต่เขาไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งจะมีศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยที่คอแข็งกว่าเขาได้
ลู่โจวชะงักไปเล็กน้อย แล้วเขาก็เอ่ยขึ้นมาด้วยรอยยิ้มเขินอาย “ขอโทษทีครับ ผมดันไปนึกเรื่องสมัยก่อนขึ้นมาได้…เมื่อกี้ผมพูดถึงไหนนะ?”
ถึงคอของสือจินจะเปลี่ยนไปเป็นสีแดงจากการดื่มแอลกอฮอล์ เขาก็ยังสามารถควบคุมให้ตัวเองยังตื่นอยู่ได้ ซึ่งก็เกือบๆ จะไม่ได้น่ะนะ สือจินเตือนความจำลู่โจวด้วยสีหน้าจริงจัง “…คุณพูดถึงเรื่องเรือสำราญแสงเหนือ แล้วก็…เรื่องที่เจ้าหญิงสวีเดนติดค้างการเต้นรำกับคุณ”
“อะแฮ่ม ผมจำได้ว่า…ขอแก้นะ ผมเป็นฝ่ายที่ติดค้าง ไม่ใช่…”
แล้วลู่โจวก็รู้สึกได้ว่าคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะนี้เริ่มจะไม่พอใจแล้ว เขาจึงค่อยๆ เปลี่ยนประเด็นเรื่องที่คุย
“สรุปสั้นๆ ก็คือ ผมไปดาวอังคาร แล้วก็อย่างที่พวกคุณรู้ดี ผมถูกฝังอยู่ใต้ประตูนรก…ใช้เวลา 100 ปีกว่าจะหนีมาจากตรงนั้นได้ ถึงผมจะนอนอยู่ในตู้สำหรับหลับชั่วคราวมา 100 ปี เรื่องที่แปลกก็คือ สมองของผมไม่เคยหยุดคิดเลย”
หลังจากได้ยินคำพวกนั้น ทั้งสองคนที่ฟังอยู่ก็แทบจะอาเจียนเป็นเลือด
ให้ตายสิ!
ทำไมไม่พูดให้เร็วกว่านี้เนี่ย?
ใครจะไปอยากรู้ว่าใครส่งคุณมาอนาคต ใครที่คุณติดหนี้หรือติดค้างเต้นรำอะไรก็ช่างเถอะ…
“ไม่เคยหยุดคิดเลยเหรอ?” สือจินเอ่ยด้วยท่าทางปวดหัว “เป็นไปไม่ได้! คนที่หลับชั่วคราวต่างก็สลบไสลไม่ได้สติกันทั้งนั้น! ผมเคยรับมือกับคนที่หลับไปชั่วคราวมาหลายคนแล้ว พวกเขารู้สึกเหมือนพวกเขาเดินทางข้ามเวลามาแค่ชั่วพริบตาเดียว”
ลู่โจว “ในทางทฤษฎีแล้ว แน่นอนว่าต้องเป็นอย่างนั้น แต่บางทีเทคโนโลยีจำศีลของอารยธรรมดาวอังคารอาจจะก้าวหน้ามากกว่าของพวกเราก็ได้ จึงทำให้คนสามารถตื่นอยู่ได้ในขณะที่หลับอยู่”
อันที่จริงมันก็ยังมีอีกความเป็นไปได้หนึ่งว่าคนที่หลับไปชั่วคราวจะได้รับสติกลับมาในรูปแบบของความฝัน แต่พวกเขาก็ลืมความฝันพวกนั้นไปหมดแล้วตอนตื่น
ร้อยเอกซิงพยายามอย่างหนักที่จะทำให้สมองของตัวเองทำงาน เขาพยายามจะจับประเด็นให้ได้
“…หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ไวรัสอัลฟ่าอาจจะเกี่ยวข้องกับเศษซากจากอารยธรรมนอกโลกใช่ไหม?”
“มันคืออารยธรรมของดาวอังคารน่ะ…ถึงอารยธรรมชาวดาวอังคารจะเรียกว่าเป็นอารยธรรมนอกโลกก็เถอะ แต่ผมก็ต้องเน้นย้ำเรื่องนี้ไว้ก่อน” ลู่โจวว่าต่อในขณะที่มองชายอีกสองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา “ผมโชคดีมากพอที่จะได้ไปเจอกับสิ่งแปลกๆ ในขณะที่หลับอยู่นั่นเอง ซึ่งมันก็เกี่ยวกับความรู้เรื่องปัญญาประดิษฐ์”
สือจินตกตะลึง “อารยธรรมบนดาวอังคาร…ก็มีปัญญาประดิษฐ์ด้วยเหรอ?”
“แน่นอน แถมปัญญาประดิษฐ์ของพวกเขายังก้าวหน้ามากกว่าของพวกเราอีกด้วย…แต่ให้อธิบายลงลึกก็จะยุ่งยากเปล่าๆ เพราะอย่างนั้น ผมเล่าสรุปประเด็นหลักๆ ก็แล้วกัน”
ซิงเปียนเอ่ยอย่างรวดเร็ว “ว่ามาเลย!”
“อย่าขัดผมสิ” ลู่โจวอธิบายต่อ “สรุปสั้นๆ ก็คือ พวกเขาแบ่งปัญญาประดิษฐ์ออกเป็นสามประเภทตามตรรกะพฤติกรรมของปัญญาประดิษฐ์ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ แบ่งตามว่าพวกเขามีความสามารถในการคิดและรู้สึกหรือเปล่า และอื่นๆ อีกมากมาย ปัญญาประดิษฐ์ระดับต่ำสุดเป็นการจำลองพฤติกรรมมนุษย์ผ่านอัลกอริทึมและแมชชีนเลิร์นนิง แรงขับเคลื่อนของพฤติกรรมทั้งหมดของปัญญาประดิษฐ์ระดับนี้จะอิงไปตามการตั้งค่าโปรแกรม”
อันที่จริงแล้ววิธีการแบ่งกลุ่มนี้ก็ไม่ได้เป็นผลงานชิ้นเอกของชาวดาวอังคารแต่อย่างใด มันเป็นคำจำกัดความของปัญญาประดิษฐ์ของคาลานเอ็มไพร์ อารยธรรมก้าวหน้าในจักรวาลเก่าต่างหาก
แต่พอมาคิดว่าอาณาจักรคาลานในโลกนี้เป็นเพียงแค่เกมออนไลน์ที่เปิดมาหลายปีแล้ว ลู่โจวก็ไม่อยากให้คนหลายคนมากเกินไปรู้เรื่องความลับของจักรวาลเก่า เขาจึงผสมผสานเรื่องของคาลานเอ็มไพร์กับอารยธรรมดาวอังคารเข้าด้วยกัน
จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครสามารถพิสูจน์หรือหักล้างได้ว่าอารยธรรมก่อนประวัติศาสตร์อันรุ่งเรืองบนดาวอังคารนั้นมีอยู่จริง
เขาอาจจะเป็นคนเดียวที่ได้มีโอกาสเห็นพวกแมลงสาบนั่นมาก่อน
ซิงเปียนเอ่ย “ผมก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจอยู่ดี…แล้วปัญญาประดิษฐ์บนดาวอังคารมันไปมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับไวรัสอัลฟ่ากัน?”
“ไวรัสคอมพิวเตอร์อันแปลกประหลาดหลุดมาจากอารยธรรมดาวอังคารทำให้เกิดการล่มสลายของปัญญาประดิษฐ์ในสเกลใหญ่ และแทบจะทำให้สังคมชาวดาวอังคารถดถอยจากยุคสารสนเทศกลับไปเป็นยุคหินในชั่วข้ามคืน…มีคำคำเดียวที่สามารถอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นได้ คำว่า ‘มหันตภัย’ นั่นแหละ”
สือจินอดถามขึ้นมาไม่ได้ “แล้วเกิดอะไรขึ้นต่อครับ? อารยธรรมดาวอังคารสูญสลายเพราะเหตุการณ์นี้เหรอ?”
“ไม่ใช่เลย” ลู่โจวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ถึงชาวดาวอังคารจะล้มไปช่วงหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงที่สังคมทั้งหมดเข้าสู่ช่วงถดถอยอย่างยาวนาน ช่วงเวลาถดถอยนี้ก็เป็นแค่ยอดภูเขาน้ำแข็งของประวัติศาสตร์อารยธรรมของพวกเขาเท่านั้น หลังจากนั้นด้วยความบังเอิญ พวกเขาได้พัฒนาปัญญาประดิษฐ์ระดับกลางที่มีความสามารถในการวิวัฒนาการตัวเองขึ้นมา และทำให้ปัญญาประดิษฐ์ที่อัปเดตกลายเป็นที่นิยมในสเกลใหญ่ จนสุดท้ายก็สามารถกำจัดวิกฤตไวรัสอัจฉริยะไปได้”
“แล้วด้วยความที่ผมเบื่อ ผมก็เลยสืบสวนข้อมูลเรื่องไวรัสอย่างละเอียด โดยเฉพาะเรื่องซอร์สโค้ด มันมีส่วนที่เหมือนกับของไวรัสอัลฟ่าในหลายๆ ที่ แน่นอน ไวรัสนี้ผมไม่ใช่คนปล่อยอยู่แล้ว…แต่โค้ดนั่นสำหรับผมแล้วมันก็ไม่ได้ใช้ยากอะไรมากเลย”
พอถึงตอนนี้ พลังของแอลกอฮอล์ก็เริ่มหมดแล้ว
ร้อยเอกซิงขมวดคิ้วแล้วถามขึ้นมาอย่างจริงจัง “หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ปัญญาประดิษฐ์ระดับกลางที่คุณพูดถึงสามารถต้านทานไวรัสอัลฟ่าได้เหรอ?”
“ตามนั้นครับ” ลู่โจวพยักหน้า “น่าเสียดายที่ไม่มีวัคซีน แล้วก็ไม่มีอัปเดตแพตช์อะไรเป็นพิเศษ มีเพียงแค่การเปลี่ยนตรรกะในพฤติกรรมแค่นั้นที่สามารถทำให้ปัญญาประดิษฐ์ต้านทานไวรัสได้”
ร้อยเอกซิงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มแห้งๆ “สหการพาน-เอเชียนมีหุ่นยนต์มากกว่าหนึ่งพันล้านตัว ยังไม่นับเรื่องว่ามันทำได้จริงยากแค่ไหนอีก ถ้าให้หุ่นยนต์มากขนาดนั้นมีความสามารถในการคิด…ใครจะรับรองได้ล่ะว่ามันจะไม่ก่อปัญหาเพิ่ม…”
ลู่โจว “เรื่องที่คุณกังวลนั้นปกติมากเลย แต่ผมก็ไม่คิดว่าการอนุญาตให้หุ่นยนต์คิดได้เองจะเป็นเรื่องแย่อะไรหรอกนะ อันตรายที่แท้จริงอยู่ในระยะที่สามต่างหาก”
ถ้าอยากจะแก้ปัญหาไวรัสได้อย่างเต็มรูปแบบ วิธีที่ดีที่สุดอย่างปฏิเสธไม่ได้คือการอัปเกรดหุ่นยนต์และโปรแกรมอัจฉริยะทั่วโลก
แต่อย่างไรก็ตาม…
ไม่มีใครรู้ว่านี่จะส่งผลกระทบอย่างไร และไม่มีใครรู้ว่ามันจะกลายเป็นสิ่งที่อันตรายยิ่งกว่าตัวไวรัสเองหรือไม่
ทั้งโต๊ะอาหารตกอยู่ในความเงียบ
นาฬิกาบนข้อมือซ้ายของซิงเปียนเปล่งแสงขึ้นมา
“มีคนโทรมาเหรอ?”
“อ่าฮะ ผมขอรับสายก่อน”
ซิงเปียนผลักเก้าอี้ถอยออกจากโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน จากนั้นเขาก็เดินออกไปที่เลาจ์ แต่ก็ไม่ได้ออกไปนานนัก ไม่นานนักเขาก็กลับมานั่งที่โต๊ะ สีหน้าของเขาดูจริงจัง
พอเห็นสีหน้าจริงจังของซิงเปียน ลู่โจวก็ถามด้วยท่าทางสบายๆ ว่า “เกิดอะไรขึ้นเหรอ…? พอจะเล่าได้ไหม?”
“เกี่ยวกับคุณนั่นแหละ…” หลังจากเว้นจังหวะไปพักหนึ่ง ซิงเปียนก็พูดต่อ “สรุปสั้นๆ ก็คือ หลังจากที่พวกเราสอบสวนโมรินากะเรื่องที่มาของไวรัสอัลฟ่า พวกเราก็ตั้งเป้าหมายไปที่สถานีอวกาศที่ยังเปิดอยู่ในพิกัดทางดาราศาสตร์ 0.3 หน่วยจากดาวซีรีส….แล้วก็เป็นไปตามคาด พวกเราพบสถานีอวกาศร้างที่นั่น”
“สถานีอวกาศเหรอ?” ลู่โจวขมวดคิ้วแล้วพูดต่อด้วยความงุนงง “แล้วก็ร้างด้วย?”
ซิงเปียนพยักหน้าแล้วตอบรับ “ใช่ ดูจากเบาะแสแล้ว มันน่าจะร้างมานานแล้ว ถึงจะมีของเพียงพอต่อการอยู่อาศัย แต่กลับไม่มีคนที่นั่นเลย แล้วก็มีเบาะแสแปลกๆ อยู่ พวกเราถามผู้เชี่ยวชาญมาหลายคนแล้ว แต่ยังหาคำตอบไม่ได้เลย”
ลู่โจวทัก “…ผมรู้สึกว่าคุณกำลังจะขอให้ผมช่วยเลย”
ซิงเปียนได้แต่ส่งรอยยิ้มแห้งๆ ให้เขา จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ก้มหัวขอร้อง “ขอเถอะครับ…นอกจากคุณ พวกเราก็ไม่มีคนอื่นที่จะช่วยได้แล้ว”
สุดท้ายลู่โจวก็ถอนหายใจออกมา
“เล่าให้ผมฟังสิ”
ซิงเปียนเล่า “พวกเราเจอข้อความที่เป็นสูตรแปลกๆ ในไดอารี่ของลูกเรือ อย่างไรก็ตามพวกเราได้ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านฟิสิกส์กับคณิตศาสตร์ที่ทำงานร่วมกับกองความมั่นคง ไม่มีใครคิดออกเลยว่าสูตรนั้นหมายความว่าอย่างไร”
ลู่โจวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“แล้วสูตรที่ว่านี่ตอนนี้อยู่ไหนครับ?”
“อยู่นี่นี่แหละ”
การ์ดโฮโลแกรมสีฟ้าปรากฏขึ้นบนมือซิงเปียน เขาผลักมันเบาๆ เพื่อส่งไปให้ลู่โจว
หลังจากที่ได้รับข้อมูลที่ส่งต่อมา ลู่โจวก็จ้องเขม็งไปที่สูตรพวกนั้น ม่านตาของเขาเบิกกว้างขึ้นมาเล็กน้อย
พอซิงเปียนเห็นว่าท่าทีอีกฝ่ายเปลี่ยนไป เขาก็ถามขึ้นมาทันที “คุณเจออะไรเหรอ?”
“พูดให้ชัดเลยก็คือ นี่ไม่ใช่ปัญหาคณิตศาสตร์ล้วนๆ หรอกนะ แล้วก็ไม่ใช่ปัญหาฟิสิกส์ด้วย…มันคือวิทยาการเข้ารหัสลับ”
“…วิทยาการเข้ารหัสลับ?”
ซิงเปียนมองลู่โจวด้วยความงุนงง ถึงเขาจะได้ยินมาว่าลู่โจวมีความสามารถทางด้านวิชาการมากแค่ไหน เขาก็คิดไม่ออกว่าอีกฝ่ายสามารถไขปริศนาในสูตรนี้ได้ในทันทีได้อย่างไร
“เพราะผมเคยเห็นวิธีการเข้ารหัสที่คล้ายๆ กันมาแล้ว ครั้งนั้นเป็นการบีบอัดข้อมูลที่ต้องบรรยายออกมาโดยใช้จำนวนอตรรกยะหนึ่งย่อหน้า แต่ข้อความไม่กี่บรรทัดในสูตรพวกนี้ไม่ได้ล้ำหน้าขนาดนั้น มีข้อมูลที่ถูกบีบอัดแค่ไม่กี่ไบต์”
ซิงเปียนขมวดคิ้วแล้วถามขึ้นมา “แล้วข้อมูลที่อยู่ข้างในคืออะไรกัน?”
“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน มันอาจจะเป็นรหัสของอะไรสักอย่างล่ะมั้ง?” ลู่โจวลุกขึ้นยืนจากโต๊ะอาหาร เขาหันมองชายสองคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม “ผมต้องการเวลาสักหน่อย น่าจะให้คำตอบพวกคุณได้ในวันพรุ่งนี้”
ซิงเปียนเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางรู้สึกผิด “ขออภัยด้วยนะครับที่นำเรื่องมาให้คุณ…”
ลู่โจวยิ้มจางๆ แล้วพูดออกมาอย่างไม่แคร์อะไรว่า “ถ้าคุณรู้สึกผิด คุณจะเลี้ยงผมไถ่โทษก็ได้นะ”