Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1523 การประชุมฉุกเฉิน
- Home
- Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ
- ตอนที่ 1523 การประชุมฉุกเฉิน
นี่ก็ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์แล้วตั้งแต่ที่เขาเอารหัสผ่านให้ร้อยเอกซิงไป
ทุกวันนี้ลู่โจวยังรอให้ซิงเปียนส่งข่าวกลับมาหาเขาอยู่ โดยเฉพาะข่าวว่ารหัสผ่านที่เขาให้ไปมันเอาไว้ใช้เปิดอะไรกันแน่ แต่เขาก็ไม่ได้ข่าวอะไรกลับมาเลย
แต่ที่น่าสนใจก็คือ ถึงจะยังไม่มีข่าวคราวอะไรมาจากกองความมั่นคง แต่กลับมีข่าวดีจากฝ่ายอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้โผล่มาเรื่อยๆ อย่างไม่ขาดสาย
ข่าวแรกมาจากเรื่องห้องแล็บวิจัยแม่เหล็กไฟฟ้า
ผู้อำนวยการถังทำได้ตามที่เขาคาดหวังไว้จริงๆ หลังจากปรับปรุงเครื่องกำเนิดสนามแม่เหล็กพัลส์ A1 ไปนิดหน่อย เขาก็ออกแบบอาคารที่มีพื้นที่ทั้งหมดราวๆ 4 เอเคอร์ และมีความสามารถในการสร้างสนามแม่เหล็ก 10,000-20,000 เทสลาในพื้นที่ตรงกลางได้ในเวลาชั่วพริบตา
ระหว่างนั้นเอง ทีมก่อสร้างบนดวงจันทร์ก็เริ่มลงโครงของสิ่งที่พวกเขากำลังจะสร้างแล้ว
ไม่ว่าแบบจำลองทางทฤษฎีจะสมบูรณ์แบบแค่ไหน หากไม่ได้ลองทดสอบดู มันก็เป็นแค่ทฤษฎีเฉยๆ แค่นั้น
แต่ลู่โจวก็ยังมั่นใจเต็มที่ว่าแผนของเขาจะได้ผล
ปัญหาส่วนใหญ่ที่ฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นที่สองคือปัญหาคอขวดเวอร์ชันแอดวานซ์ที่ฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นแรกเจอมาแล้ว ตราบใดที่แก้ปัญหาที่หนักที่สุดตรงสนามแม่เหล็กได้ เรื่องอื่นก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรแล้ว
อย่างเรื่องฟิวชั่นอิกนิชั่น
หลังจากอ่านเอกสารหลายกองเสร็จ ลู่โจวก็ออกแบบเซ็ตอาเรย์เลเซอร์อิกนิชั่นซึ่งสามารถเอาไปใช้เป็นแก่นอิกนิชั่นได้
ถึงจะยังไม่ได้นำไปใช้ทดสอบ แต่เขาก็รู้สึกว่าผลงานล่าสุดของเขาไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมาก
เขาใช้เวลาสิ้นเดือนกุมภาพันธ์อยู่เงียบๆ คนเดียว พอถึงวันแรกของเดือนมีนาคม หลี่กวงหยาก็โทรหาเขาทันที และแจ้งให้เขาทราบว่า เขาเดินเรื่องตำแหน่งในองค์กรให้ลู่โจวเสร็จแล้ว
ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ตำแหน่งของลู่โจวจะไม่ใช่แค่นักวิชาการของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งประเทศจีน แต่เขายังเป็นหัวหน้าที่ปรึกษาการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสหการพาน-เอเชียน
ถ้าพูดเรื่องระดับแล้ว เขาอาจจะใหญ่เป็นรองแค่หัวหน้าของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสหการพาน-เอเชียนก็ได้
“ที่นี่คือศูนย์กลางด้านวิชาการของสหการพาน-เอเชียน”
“อย่างมากก็เป็นได้เพียงศูนย์กลางของพลังฝ่ายวิชาการเท่านั้น” ลู่โจวมองไปรอบๆ แล้วพูดอย่างไม่เป็นเดือดเป็นร้อน “ผมไม่เห็นนักวิชาการสักคน เห็นแต่พวกข้าราชการ”
“เหมือนคุณจะมีอคติกับพวกคนที่มีอำนาจมีตำแหน่งนะ” หลี่กวงหยายักไหล่แล้วเอ่ยขึ้น “แต่ก็ใช่อย่างที่คุณพูดเลย ที่นี่คือศูนย์กลางของพลังของวงการวิชาการของสหการพาน-เอเชียน และคุณก็อยู่ห่างจากยอดสูงสุดของวงการนี้เพียงก้าวเดียวเท่านั้น”
“อ้อ แล้วใครอยู่สูงสุดเหรอครับ?”
หลี่กวงหยายิ้มแล้วให้คำตอบ “คุณเป็นรองแค่รัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเท่านั้น”
ลู่โจว “น่าเสียดายที่ผมไม่ได้สนใจเรื่องอำนาจมากนัก”
“จะอย่างไรก็แล้วแต่ มาแนะนำเพื่อนร่วมงานให้คุณรู้จักดีกว่า…เขาบังเอิญอยู่ที่นี่พอดีเลย” หลี่กวงหยายิ้มแล้วเปลี่ยนประเด็น เขามองไปที่ชายวัยกลางคนผู้กำลังเดินตรงมาหาเขาแล้วแนะนำตัวอีกฝ่าย “คนนี้คือเสวี่ยรุ่ย รัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี”
“เป็นเกียรติที่ได้พบครับนักวิชาการลู่ แต่ก่อนผมเคยเห็นชื่อคุณแค่ในหนังสือเรียน ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งจะได้มาทำงานกับคุณด้วย ขอบคุณที่อุทิศตนเป็นพลังให้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมานะครับ” รัฐมนตรีเสวี่ยยื่นมือขวาออกมาไปจับกับมือของลู่โจวอย่างกระตือรือร้น จากนั้นเขาก็พูดต่อ “อีกเดี๋ยวจะมีการประชุม ถ้าคุณมาด้วยกันได้ก็จะดีมากเลยครับ พวกเราต้องการคนฉลาดอย่างคุณ”
“ประชุมอะไรกันเหรอครับ?”
รัฐมนตรีเสวี่ยคลี่ยิ้มบางๆ แล้วบอกว่า “ตามมาทางนี้ได้เลย”
…
ถึงการประชุมจะยังไม่เริ่ม แต่คนจำนวนมากก็จับจองที่นั่งในห้องประชุมขนาดกว้างขวางนี้แล้ว
นักวิชาการหวังนั่งอยู่หน้าโต๊ะ เขาเหลือบมองนาฬิกาข้อมือตัวเองแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ผมมาที่นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว”
หยางอู๋ที่นั่งตรงข้ามเขาและนั่งรอเงียบๆ มาพักใหญ่แล้วเลยถามเขากลับ “แล้ว?”
“แค่นั้นแหละ แค่รู้สึกอยากรำลึกความหลังเฉยๆ ” ภาพความทรงจำหลั่งไหลเข้ามาในหัว นักวิชาการหวังพูดต่อ “ราว 20 ปีก่อน สมัยผมยังทำงานอยู่ที่สถาบันวิจัยคอมพิวเตอร์แห่งเซี่ยงไฮ้ การสู้กับพวกฝูงแมลงที่ระบาดไปทั่วประเทศนี่บอกเลยว่าทำยาก ตอนนั้นผมกับอาจารย์ผมก็ถูกเรียกมาประชุมที่นี่เหมือนกัน”
‘ฝูงแมลง’ ที่พูดถึงนั้นไม่ได้หมายถึงฝูงแมลงจริงๆ แต่เป็นไวรัสคอมพิวเตอร์ที่มีโค้ดเนมว่า ‘ฝูงแมลง’ ไวรัสชนิดนี้เป็นไวรัสที่เล็งเป้าหมายไปที่คลาวด์เซิร์ฟเวอร์ สร้างภัยอันตรายมากพอสมควรให้กับเครือข่ายโลกเสมือนและเครือข่ายถนนแม็กเลฟของพาน-เอเชียน
โชคดีที่มีคำเตือนล่วงหน้ากับการประชุมฉุกเฉิน จึงทำให้ไวรัสแทบไม่ได้สร้างความเสียหายอะไรมากมายให้กับชีวิตและทรัพย์สินของคนพาน-เอเชียน
แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนเดิม
ไวรัสอัลฟ่าต่างจากวิกฤตการณ์ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ครั้งอื่นๆ ในอดีต มันไม่เพียงแต่จะแพร่ไปทั่วโลกเท่านั้น แต่ความอันตรายและความสามารถในการแทรกซึมของพวกมันยังพัฒนาไปไกลเกินกว่าไวรัสคอมพิวเตอร์ทั่วไปอีกด้วย
สิ่งที่สำคัญที่สุดที่หวังชื่อเฉิงก็ยังไม่กล้าฟันธงก็คือ เขายังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าผู้ที่สร้างไวรัสนี้ขึ้นมาเป็นมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตอย่างอื่นกันแน่…
“ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากให้ผมมาที่นี่เป็นครั้งสุดท้ายเหลือเกิน” นักวิชาการหวังชื่อเฉิงเหลือบมองนาฬิกาข้อมือของเขาอีกครั้ง เขาถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “กำลังจะเริ่มแล้ว”
ทุกคนรอคอยอย่างเงียบๆ
และการประชุมก็เริ่มต้นขึ้น
รัฐมนตรีเสวี่ยเดินขึ้นมาบนเวที เขาอ่านหัวข้อการประชุมออกมาให้ทุกคนฟัง ก่อนจะกลับไปนั่งที่เดิม
หยางอู๋สังเกตว่าคนที่นั่งอยู่ข้างรัฐมนตรีเสวี่ยดูหน้าตาคุ้นนิดๆ หลังจากลองพินิจพิจารณาอีกฝ่ายอยู่พักใหญ่ แววตาของเขาก็ฉายแววประหลาดใจขึ้นมา
หัวหน้าที่ปรึกษาฝ่ายการพัฒนาวิทยาศาสตร์คือ…ลู่โจวเหรอ?
นักวิชาการลู่เพิ่งมาทำงานแนวหน้าได้ไม่ถึงครึ่งเดือนเลยด้วยซ้ำ เขาเลื่อนตำแหน่งมาเป็นหัวหน้าที่ปรึกษาได้อย่างไรกัน?
“ทุกท่านที่อยู่ ณ ที่นี้ต่างก็เป็นผู้เชี่ยวชาญตัวยงในวงการวิศวกรรมสารสนเทศและการวิจัยวิทยาศาสตร์ พวกเรามาประชุมกันในครั้งนี้โดยหวังว่าทุกท่านจะสามารถแสดงความเห็นอันมีค่าให้พวกเราได้บ้าง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องวิธีกำจัดอาเรย์คอมพิวเตอร์ควอนตัมบนดาวซีรีส เบาะแสที่มีอยู่จำกัดได้บ่งชี้ว่ามีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ไม่สามารถหยุดได้กำลังรันมันอยู่ และโค้ดหลักของมันก็มีส่วนที่คล้ายคลึงกับโค้ดของไวรัสอัลฟ่าเป็นอย่างมาก”
เสียงฮือฮาดังขึ้นในห้องประชุม ใบหน้าของผู้เชี่ยวชาญฉายความประหลาดใจและความตกใจออกมา
รัฐมนตรีเสวี่ยเว้นจังหวะแล้วพูดต่อ “หากมีไอเดียอะไรที่ดีพอ เราก็สามารถรับแล้วนำไปใช้ได้ ทุกคนเชิญเสนอไอเดียมาได้เลย”
“ก็เห็นได้ชัดอยู่แล้วนี่ครับ ว่าศูนย์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์เป็นแหล่งกำเนิดไวรัสน่ะ!” นักวิชาการคนหนึ่งยืนขึ้นแล้วสาธยายด้วยความเกรี้ยวกราด “ไวรัสอัลฟ่ามีจุดแข็งแกร่งด้านการวิวัฒนาการ เป็นไปได้อย่างมากเลยที่การวิวัฒนาการนี้จะได้รับการสนับสนุนจากศูนย์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์แห่งนี้นี่แหละ ไม่ว่าฝ่ายที่สร้างศูนย์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์นี้จะเป็นฝ่ายอารยธรรมนอกโลกหรือองค์กรก่อการร้ายก็ตาม การทำลายศูนย์นั้นทิ้งไปเลยก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดครับ!”
ข้อเสนอนี้ได้รับเสียงตอบรับเห็นด้วยจากคนหลายคน
ไม่ว่าในคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นจะมีความลับอะไรซ่อนอยู่ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องฉลาดเลยที่จะไปค้นหาความลับนั้น โดยแบกรับความเสี่ยงว่าจะดึงโลกทั้งใบเข้าไปพัวพันกับอันตรายด้วย
พอได้ยินคำพูดของผู้เสนอ รัฐมนตรีเสวี่ยก็พยักหน้าเข้าใจ เขาตกอยู่ในห้วงภวังค์ครุ่นคิดไปแล้ว
ทั้งห้องประชุมกำลังส่งเสียงดังโหวกเหวก
ตอนนั้นเอง นักวิชาการผมสีเทาคนหนึ่งก็ยกมือขึ้นมา เขาลองเสนอความคิดเห็นอีกทางหนึ่ง
“ถ้าหากว่าศูนย์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์เป็นแหล่งที่มาของไวรัสอัลฟ่าจริง ผมไม่แนะนำให้ทำลายมันในทันทีครับ นี่อาจจะเป็นเบาะแสเดียวที่พวกเรามีอยู่ในตอนนี้ก็ได้ สัญชาตญาณของผมบอกว่า ถ้าพวกเราอยากจะหาวิธีเอาชนะไวรัสอัลฟ่าให้สำเร็จ พวกเราต้องหาคำตอบให้ได้ว่ามันกำลังคำนวณอะไรอยู่กันแน่”
นักวิชาการอีกคนก็พยักหน้าเห็นด้วย “ผมก็คิดอย่างนั้น ต่อให้ทั้งดาวซีรีสระเบิดตูม สิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอยู่ดี หรือต่อให้พวกเราตัดสินใจจะทำลายมันก็เถอะ แต่ตัวอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์มันไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ ศูนย์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์นี้อาจจะเป็นอาเรย์คอมพิวเตอร์ควอนตัมที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะทั้งระบบแล้วก็ได้ ถ้านำมันไปใช้ในการวิจัยวิทยาศาสตร์ได้ก็จะส่งผลดีต่อพวกเรามากเลยครับ!”
บุคคลที่เสนอให้ทำลายอาเรย์คอมพิวเตอร์ควอนตัมหัวเราะเยาะแล้วถามย้อน “เพื่อการวิจัยวิทยาศาสตร์เหรอ? ตลกสิ้นดี! หน่วยงานวิจัยไหนกันครับที่จะกล้าใช้อุปกรณ์ทดลองที่อันตรายแบบนั้น?”
“ตราบใดที่ล้างข้อมูลไปแล้ว ฮาร์ดแวร์ก็ปลอดภัย อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่งทีเดียว ทำไมถึงจะใช้มันไม่ได้ล่ะ? การวิจัยวิทยาศาสตร์เองก็เต็มไปด้วยความเสี่ยงอยู่แล้ว ยังไม่นับว่าพวกเราสามารถแยกชิ้นส่วนเครื่องมันแล้วทำวิศวกรรมย้อนรอยได้ด้วย!”
พอเห็นว่าบรรยากาศในห้องประชุมเริ่มจะวุ่นวาย รัฐมนตรีเสวี่ยก็รู้สึกปวดหัว เขาเหลือบมองไปทางลู่โจวที่อยู่ข้างๆ พยายามสังเกตสีหน้าของอีกฝ่าย
แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวัง เพราะเขาไม่เห็นอะไรเลยนอกจากสีหน้าเรียบเฉยของลู่โจว
เสียงกระแอมดังลั่นในห้องประชุม ทำให้บรรยากาศการโต้เถียงเริ่มผ่อนลงเล็กน้อย
“ผมขอพูดอะไรหน่อยนะครับ”
หยางอู๋จากกองทัพชุดแรกของพาน-เอเชียมองไปรอบๆ ห้องประชุม แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “จากเบาะแสที่พวกเรามีในตอนนี้ ศูนย์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์น่าจะถูกสร้างขึ้นจากฝีมือของสิ่งมีชีวิตที่ทรงปัญญา และมันน่าจะเป็นเบาะแสสำคัญที่เกี่ยวกับไวรัสอัลฟ่า กองทัพของพวกเราไม่แนะนำให้ทำลายมัน…ถึงจริงๆ มันจะไม่ได้ทำลายยากเลยก็ตาม
ส่วนเรื่องว่าจะทำอย่างไรกับตัวคอมพิวเตอร์และโปรแกรมคำนวณที่มันกำลังรันอยู่นั้น…
ผมอยากฟังความคิดเห็นของหัวหน้าที่ปรึกษาการพัฒนาวิทยาศาสตร์ครับ”