Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1584 บางทีก็ทำเรื่องที่ไม่จำเป็น
- Home
- Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ
- ตอนที่ 1584 บางทีก็ทำเรื่องที่ไม่จำเป็น
ในช่วงศตวรรษที่ 21 มะเร็งเป็นโรคที่สมกับฉายา ‘โรคป่วยระยะสุดท้าย’ อย่างปฏิเสธไม่ได้
กลไกการเกิดโรคมะเร็งก็คาดการณ์ไม่ได้ ช่วงที่เป็นแรกๆ อาการโรคก็ตรวจพบยาก แถมพอเซลล์มะเร็งโตไปจนถึงระยะหลังๆ จนแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย จะเป็นวิธีรักษาแบบไหนก็แทบจะช่วยอะไรผู้ป่วยไม่ได้แล้ว
ยิ่งมะเร็งบางประเภทอย่างพวกมะเร็งปอด ผู้ป่วยจะอยู่หรือจะตายก็ขึ้นอยู่กับดวงเท่านั้น
ทว่าสิ่งที่กำลังพูดอยู่นี้คือช่วงสมัยศตวรรษที่ 21 สมัยที่ไวรัสธรรมดาๆ เปลี่ยนโรคให้เข้าสู่ยุคโรคระบาดได้
หลังจากเข้าสู่ศตวรรษที่ 22 เทคโนโลยีหุ่นยนต์นาโน การฉายรังสีบนอวัยวะ และการปลูกถ่ายอวัยวะเทียมก็ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมการแพทย์อย่างแพร่หลายเสียจนมะเร็งไม่ใช่โรคที่เป็นปัญหาใหญ่อีกต่อไป
มันไม่ใช่โรคที่เป็น ‘โรคป่วยระยะสุดท้าย’ อีกแล้ว
ในยุคสมัยที่แสนจะรุ่งเรืองดั่งยูโทเปียแห่งนี้ ตราบใดที่มีเงินพอ คนคนนั้นก็ไม่สามารถตายได้
หรือต่อให้ตายจริง พวกเขาก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ในอีกรูปแบบหนึ่ง…
“ยินดีด้วยนะครับคุณเวร่า มะเร็งปอดของคุณได้รับการรักษาจนหายดีแล้ว ผมหวังว่าคุณจะรักษาสุขภาพที่ไม่ได้ได้มาง่ายๆ นี้ไว้ให้ดีนะครับ…อ้อ แล้วก็ยินดีต้อนรับสู่ศตวรรษที่ 22 มูลนิธิพิทักษ์สิทธิมนุษยชนแช่แข็งจะติดต่อคุณไปเพื่อบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ และอธิบายว่าคุณจะใช้ชีวิตใหม่ในยุคนี้ได้อย่างไร”
เวร่านั่งอยู่บนเตียงขณะฟังคุณหมอที่ยืนอยู่ข้างๆ อ่านคำชี้แจงออกมา
โรคมะเร็งกลายเป็นโรคที่รักษาได้ง่ายราวกับโรคหวัด แทบจะไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเลย
แต่…
มันคุ้มแล้วจริงๆ เหรอ?
ศตวรรษที่ 22 แปลว่า…ผ่านมา 100 ปีแล้วสินะ
ต้องตื่นมาในโลกที่ไม่มีเขาแบบนี้ ฉันน่าจะหลับต่อเสียดีกว่า…
ความเศร้าโศกเสียใจหมุนวนอยู่ในอกของเวร่า แต่พอหันไปมองหมอที่ยืนอยู่ข้างเตียงแล้ว เธอก็ยังขอบคุณอีกฝ่ายอย่างสุภาพด้วยเสียงอันอ่อนแรง แล้วมองเขาเดินหายลับไปจากห้องผู้ป่วย
“…คุณเพิ่งได้รับการผ่าตัดมา ร่างกายของคุณกำลังฟื้นตัว ฉันแนะนำให้คุณนอนเฉยๆ ดีกว่าค่ะ”
เสียงเตือนด้วยความเป็นห่วงดังมาจากอีกด้านหนึ่งของเตียง เวร่าค่อยๆ หันหน้าไปทางนั้น และเธอก็พบกับพยาบาลสาวคนหนึ่งที่กำลังยืนยิ้มให้อยู่
“ขอบคุณค่ะ…”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ การดูแลผู้ป่วยเป็นหน้าที่ของพวกเราอยู่แล้ว” พยาบาลสาวพูดต่อพร้อมรอยยิ้ม “ฉันชื่อเฉียนซิวซิวค่ะ คุณล่ะคะ?”
ชื่อฉันมันควรจะอยู่ในประวัติผู้ป่วยไม่ใช่เหรอ?
ถึงจะคิดอย่างนี้ในใจ แต่ปากก็ยังกล่าวแนะนำตัวอย่างสุภาพกับพยาบาลอยู่ดี
“…เวร่า พุลยุยค่ะ”
“เวร่า พุลยุย? ที่นี่พวกเราไม่ค่อยมีชาวต่างชาติเท่าไรนะคะ คุณเป็นกลุ่มคนที่หลับไปชั่วคราวที่หน้าตาเหมือนชาวต่างชาติคนแรกเลยที่ฉันเห็นที่นี่”
“ฉันหลับไปตอนปี 2022 น่ะ”
“อย่างนั้นเองสินะคะ” พยาบาลเอ่ยด้วยรอยยิ้มนุ่มนวล “100 ปีเลย คุณหลับไปนานขนาดนั้นคงต้องปรับตัวอะไรอีกเยอะ คุณเองก็ควรพักผ่อนได้แล้วค่ะ เดี๋ยวฉันจะเอาอาหารเย็นมาให้คุณทีหลัง”
“ฉันยังไม่ง่วงเลย…” เวร่าที่นั่งพิงหมอนอยู่เว้นจังหวะไปเล็กน้อย ขณะกำผ้าห่มในมือเบาๆ เธอเอ่ยด้วยเสียงค่อยๆ “ก่อนหน้านี้ ฉันฝันเสียยาวเลย…”
พอได้ยินผู้ป่วยพูดดังนั้น พยาบาลก็มีสีหน้าประหลาดใจขึ้นมา
“ถึงตัวฉันเองจะยังไม่ได้ลองการหลับไปชั่วคราวผ่านวิธีการแช่แข็ง แต่ในทางทฤษฎีแล้วระหว่างที่คุณหลับช่วงแช่แข็ง คุณไม่น่าจะฝันนะคะ”
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงล่ะก็ วงการการแพทย์จะค้นพบเรื่องน่ามหัศจรรย์มากเรื่องหนึ่ง
จนถึงตอนนี้นั้น การผสมผสานระบบอินเตอร์เฟสประสาทสัมผัสมนุษย์เข้ากับเทคโนโลยีหลับไปชั่วคราวด้วยการแช่แข็งยังถือเป็นวงการวิจัยที่ใหม่ล้ำสมัยที่สุดของกลุ่มวิชาการ เป็นครั้งแรกที่พยาบาลสาวได้ยินว่า คนคนหนึ่งสามารถมีความทรงจำที่คล้ายกับการฝันในระหว่างนอนหลับแช่แข็งได้
กลุ่มคนส่วนใหญ่ก็แค่หลับตา พอลืมตาขึ้นมาอีกทีก็โดนวาร์ปจากอดีตมาอนาคตแล้ว
แต่ข้อมูลใหญ่อย่างนี้ก็ยังดูเฉพาะทางและเข้าใจได้ยากไปหน่อยอยู่ดีสำหรับพยาบาลธรรมดาอย่างเธอ
“ฝันแบบไหนกันเหรอคะ?”
“เหมือนกับว่า…ฉันได้มองย้อนกลับไปในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมาของชีวิตตัวเองน่ะค่ะ” เวร่าส่งยิ้มอันอ่อนแรงให้พยาบาล เธอจ้องมองเพดานด้วยสีหน้าครุ่นคิดอะไรซับซ้อน แล้วก็พูดต่อ “ฉันเห็นตัวเองตอนสมัยเด็ก แล้วยังเห็น…คนที่ฉันคุ้นเอามากๆ คุยกับฉันผ่านหมอกหนาทึบ”
พอตื่นขึ้นมา เธอก็จำฝันส่วนใหญ่ไม่ได้เสียแล้ว เธอแค่รู้สึกได้รางๆ ว่า เธอพลาดอะไรบางอย่างที่สำคัญไปมากๆ
“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะ ว่าคุณจะจำเรื่องในฝันได้ชัดขนาดนี้” เฉียนซิวซิวเอ่ยด้วยเสียงสบายๆ แต่ใบหน้ากลับมีท่าทางประหลาดใจ “ทำให้ฉันนึกถึงข่าวลือเรื่องหนึ่งเลย”
“…ข่าวลืออะไรกัน?”
“เป็นข่าวลือเรื่องคนที่หลับไปชั่วคราวคนหนึ่งน่ะค่ะ ผู้ชายคนนั้นเล่าให้ฟังหลังจากตื่นขึ้นมาว่า ตอนเขาหลับอยู่เขาก็รู้สึกเหมือนเห็นพ่อกับแม่ของเขายืนอยู่ขอบเตียงแล้วคุยกับเขาหลายเรื่องเลย เขายังยืนกรานว่าพ่อแม่ของเขายังมีชีวิตอยู่ และอยากจะเจอพวกท่านด้วย แต่จริงๆ แล้ว พ่อกับแม่ของผู้ชายคนนั้นเสียชีวิตไปหลายสิบปีแล้วล่ะค่ะ”
เฉียนซิวซิวยิ้มเขินๆ เธอรู้สึกว่าเรื่องที่เล่าให้เวร่าฟังดูจะแปลกพิลึกเกินไปหน่อย
“แต่ก็แน่นอนว่า…ทางพวกเราก็ลงความเห็นตรงกันว่า มันอาจจะเกิดจากการที่ผู้ชายคนนั้นคิดถึงพ่อแม่เขาก็ได้ เลยทำให้เขามองเห็นภาพหลอนขึ้นมา”
“ฉันมั่นใจนะว่ามันไม่ใช่ภาพหลอน!” เสียงเวร่าดังขึ้นเล็กน้อย แล้วเธอก็รู้ตัวในทันทีว่าเธอกำลังตื่นเต้น เธอสูดลมหายใจเข้าและพยายามสงบสติอารมณ์อย่างรวดเร็ว แล้วพูดต่อด้วยเสียงที่ต่ำลง “ถ้าเป็นภาพลวงตาล่ะก็…คนที่ฉันเห็นในฝันจะต้องไม่ใช่เธอคนนั้น แต่ต้องเป็นเขาต่างหาก”
เฉียนซิวซิวจ้องผู้ป่วยที่อยู่ๆ ก็อารมณ์อ่อนไหวขึ้นมาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเธอก็เอ่ยออกมาด้วยเสียงนุ่มนวล
“การต้องละทิ้งชีวิตที่คุณคุ้นเคยไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ เลย แต่ฉันเชื่อว่าญาติของคุณ เพื่อนของคุณ และคนอื่นๆ ที่รักคุณที่ส่งคุณมายังยุคสมัยนี้จะต้องมีความกล้ามากกว่าปกติค่ะ เพื่อจะใช้ชีวิตอยู่เป็นการให้เกียรติแก่ความกล้าและความคาดหวังจากพวกเขา ฉันอยากให้คุณเข้มแข็ง รับมือกับโลกใบใหม่นี้ให้ได้นะคะ”
ราวกับต้องการจะเห็นด้วยกับคำพูดของพยาบาล เวร่าจึงตัดสินใจเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วยเบาๆ
แล้วตอนนั้นเองเธอก็เพิ่งนึกปัญหาออก จึงอดกระซิบถามขึ้นมาไม่ได้ว่า “จะว่าไปแล้ว ค่ารักษาพยาบาลของฉัน…”
“คุณไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอกค่ะ” พยาบาลเอ่ยด้วยรอยยิ้มห่วงใย “ค่าใช้จ่ายในการรักษาส่วนใหญ่ของคุณนั้นจ่ายมาตั้งแต่ก่อนที่คุณจะหลับไปแล้วล่ะค่ะ ส่วนเงินที่เหลือ เมื่อสองวันก่อน มีบุคคลที่แต่งตัวดีมีภูมิฐานคนหนึ่งมาเยี่ยมคุณ แล้วเงินทั้งหมดก็จ่ายเรียบร้อยแล้วล่ะค่ะ”
สีหน้าของเวร่าค่อยๆ เปลี่ยนจากประหลาดใจไปเป็นไม่อยากจะเชื่อในเรื่องดังกล่าว แล้วความเศร้าโศกเสียใจที่อัดแน่นอยู่ในอกก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นความตื่นเต้น
มือของเวร่าที่กำผ้าห่มอยู่กำลังสั่นเล็กๆ
ถึงเธอจะรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก แต่เธอก็ยังถามพยาบาลด้วยเสียงสั่นๆ “คนนั้นคือใครกันเหรอ?”
“ผู้ชายคนนั้นไม่ได้บอกชื่อไว้น่ะค่ะ แต่เขาฝากประโยคหนึ่งไว้ให้คุณ”
“ประโยคว่า?!”
ใบหน้าของพยาบาลเปลี่ยนเป็นสีแดงแปร๊ด เธอกระซิบออกมา “เขาพูดแค่ประโยคเดียวเท่านั้นค่ะ…’ผมคิดถึงคุณมากเลย’ นี่ล่ะค่ะ”
พอเวร่าได้ยินดังนั้น ใบหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เธอค่อยๆ ไถลตัวลงนอนบนเตียง เอาผ้าห่มบังใบหน้าร้อนผ่าวของตัวเองไว้
อ๊าาาา…
ต้องเป็นเขาแน่ๆ เลย!
ต่อให้เขาเป็นคุณปู่อายุร้อยปี มันก็ไม่สำคัญอะไรแล้ว!
สิ่งที่สำคัญก็คือ เขายังมีชีวิตอยู่!
โลกที่เคยเป็นสีเทาค่อยๆ ถูกแต่งแต้มด้วยสีสัน เพดานสีขาวข้างบนหัวจู่ๆ ก็ดูสว่างไสวกว่าเมื่อครู่ก่อน
ถึงจะยังไม่มีใครเล่าให้เธอฟังว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหนกันแน่บนโลก แต่ตอนนี้ เธอก็รู้สึกว่าเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายของตัวเองได้รับสิ่งที่มีความหมายใหม่แล้ว
ฉันอยากจะ…เจอคุณจริงๆ นะ
…
ณ สำนักงานใหญ่ของสหการพาน-เอเชียน
หลี่กวงหยากำลังนั่งอยู่ในออฟฟิศ ดื่มกาแฟระหว่างพักเบรคมื้อเที่ยง
เหว่ยซง เลขานุการของเขาก็ยืนอยู่ใกล้ๆ เขาลังเล สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดขึ้นมา
“ท่านประธานครับ”
“อะไรเรอะ?”
“ด้วยความเคารพนะครับ ท่านไม่น่าจะทำเรื่องพิเศษนั่นเพิ่มเลย…”
จะอย่างไรก็แล้วแต่ การพูดในนามของคนอื่นไม่มีทางเป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว
ยิ่งทำให้เกิดการเข้าใจผิดกันได้
ทันใดนั้นเองหลี่กวงหยาก็เข้าใจว่าเลขาฯของเรากำลังบ่นเรื่องอะไร หลี่กวงหยายิ้มออกมาอย่างเริงรื่น เขาวางแก้วกาแฟในมือลง แล้วเอนหลังไปพิงพนักเก้าอี้ออฟฟิศขณะถามกลับว่า “อย่างนั้นเหรอ? คุณไม่คิดเลยเหรอว่ามันจะน่าสนใจขึ้นมาน่ะ?”
พอได้ยินอย่างนั้นเหว่ยซงก็รู้สึกปวดหัวเล็กๆ แล้ว
ถึงเขาจะเป็นคนคิดให้ปลุกคนคนนั้นขึ้นมาจากการหลับชั่วคราวเพื่อนักวิชาการลู่ก็จริง เขาก็ไม่คิดเลยว่าท่านประธานจะเพิ่มเรื่องดราม่าให้มันใหญ่เข้าไปอีก
เพราะสุดท้าย เรื่องทุกอย่างก็เป็นแค่การคาดการณ์จากประวัติศาสตร์ที่ยังไม่ได้รับการยืนยันว่าเป็นจริงหรือเปล่าเลย ถ้าเวร่าไม่ได้รู้สึกแบบนั้นแล้ว มันจะไม่ไปกันใหญ่เหรอ?
“แต่ถ้านักวิชาการลู่รู้เข้าล่ะก็…”
“ถ้าอย่างนั้นเขาก็ไม่มีทางโทษผมแน่นอน ผมก็แค่จัดการเรื่องให้เขานิดหน่อย เขาจะเดินต่อไปตามทางนี้หรือเปล่า ก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาเองแล้วล่ะ” หลี่กวงหยาเอ่ยขึ้นมาช้าๆ “ยังไม่นับอีกนะว่า มีใครบ้างล่ะที่พิสูจน์ได้ว่าผมเป็นคนทำ คุณเหรอ? คุณจะหักหลังผมไหมล่ะ?”
“ผมไม่มีทางหักหลังคุณอยู่แล้วครับ”
“ดีแล้ว” หลี่กวงหยาพูดต่ออย่างใจเย็น “จะว่าไปแล้ว ไปทักทายคนจากกองความมั่นคงหน่อยสิว่าเขามีคนรู้จักเป็นพวกคนที่หลับไปชั่วคราวไหม…ถ้ามีก็แจ้งผมด้วย หรือไม่ก็ไม่ต้องแจ้งเลยก็ได้ แค่ปลุกพวกเขาให้ตื่นให้เร็วที่สุดก็พอแล้ว เรื่องค่าใช้จ่ายผมจัดการเอง”
เหว่ยซงยิ้มเฝื่อนๆ แล้วพยักหน้ารับคำสั่ง
“ได้ครับ…”
รู้สึกเหมือนผู้ชายคนนี้ทำเกินไปเลย…