Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1585 ใครที่แก้ได้จะได้รับรางวัล
- Home
- Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ
- ตอนที่ 1585 ใครที่แก้ได้จะได้รับรางวัล
ณ ย่านชานเมืองจินหลิง
ลู่โจวที่จะจามไปเมื่อครู่เอื้อมมือไปถูจมูกตัวเอง เขาจ้องไปที่ภาพโฮโลแกรมที่ฉายอยู่ตรงหน้าพร้อมทำท่าคิดใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง
แล้วเขาก็พึมพำออกมา “บางทีฉันน่าจะจ้างผู้ช่วยสักคนแฮะ”
“เอ๊ะ??? เสี่ยวไอทำให้นายท่านไม่พอใจเหรอ? ??∑(゚Д゚ノ)ノ”
ลู่โจวก็แค่พูดออกมาเฉยๆ เท่านั้น เขาไม่ได้คิดว่าจะทำให้ปัญญาประดิษฐ์สมองบื้อตื่นตระหนกแต่อย่างใด
พอเห็นเสี่ยวไอกระโดดเหยงๆ อย่างน่าสงสารอยู่ตรงหน้า ลู่โจวก็ถอนหายใจ
“ก็เพราะว่าเธอชอบทำตัวแบบนี้นี่แหละ ฉันเลยต้องหาผู้ช่วยปกติสักคนหนึ่ง”
เสี่ยวไอ “ตะ…แต่ว่า…QAQ”
ลู่โจวถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้น “โอเค คืออย่างนี้ ฉันไม่ได้จะบอกว่าเธอไม่มีประโยชน์ แต่งานบางอย่างก็ไม่เหมาะกับการให้เอไอทำน่ะ ยิ่งพวกงานที่ต้องมานั่งคำนวณวุ่นวายอะไรพวกนั้น มันอาจจะยากเกินไปสำหรับเธอก็ได้”
เสี่ยวไอ “แล้วนายท่านรู้ได้ไงอะ ยังไม่ได้ให้เสี่ยวไอลองเลย (=゚ω゚)”
“ถ้าอย่างนั้นจะพูดตรงๆ เลยแล้วกัน ฉันวางแผนจะทำให้สมการคลื่นความโน้มถ่วงของอนุภาคซีมันซับซ้อนน้อยลง โดยใช้วิธีการทางคณิตศาสตร์ในการคาดการณ์ผลลัพธ์ของเอฟเฟกต์การเคลื่อนย้ายอนุภาคซีให้มีความแม่นยำมากกว่าเดิม และสร้างความถี่การสั่นของอนุภาคซีกับความโค้งของกาลอวกาศที่มีความแม่นยำมากขึ้น แบบจำลองคณิตศาสตร์ระหว่าง…นี่ยังฟังกันอยู่หรือเปล่าเนี่ย?”
เสี่ยวไอ “… (゚Д゚≡゚Д゚)”
ลู่โจว “…”
…
เมื่อราวหนึ่งศตวรรษก่อน ลู่โจวเคยตีพิมพ์งานวิจัยที่ชื่อว่า ‘เอฟเฟกต์ของการเคลื่อนย้ายอนุภาคซีบนความโค้งของกาลอวกาศ’ ลงใน arXiv และ ‘ฟิวเจอร์’
สูตรทางคณิตศาสตร์และฟิสิกส์หลักๆ ที่อ้างอิงไว้ในงานวิจัยเป็นสมการคลื่นความโน้มถ่วงของอนุภาคซีที่ศาสตราจารย์เหว่ยกับด็อบริกเป็นผู้เรียบเรียงจนสมบูรณ์
ถ้าจะถามว่าสมการนี้คิดค้นขึ้นมาได้อย่างไร ก็ต้องบอกเลยว่าเรื่องมันซับซ้อนซ่อนเงื่อนมาก
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ต้องมาพูดเรื่องสมัยก่อน การจะเปิดช่องทางไฮเปอร์สเปซที่มั่นคงได้นั้น จำเป็นต้องหาความสัมพันธ์ที่แม่นยำระหว่างความถี่ในการสั่นของอนุภาคซีกับความโค้งของกาลอวกาศให้ได้เสียก่อน
อันที่จริงแล้วลู่โจวควรจะทำเรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว แต่เพราะว่าเกิดเรื่องอะไรต่อมิอะไรขึ้นเสียก่อน งานนี้จึงถูกเลื่อนแล้วเลื่อนอีกก็เลยไม่เสร็จเสียที แม้จะผ่านมาหนึ่งศตวรรษแล้วก็ตาม…
ณ ตึกภาควิชาคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยจินหลิง
ในห้องจัดกิจกรรมของตึก ชายหนุ่มสองคนกำลังยืนอยู่หน้ากระดานไวท์บอร์ดที่ฉายภาพโฮโลแกรมอยู่ ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
“เป็นคำถามที่น่าสนใจมากๆ เลย”
หลังจากจ้องภาพการคำนวณบนกระดานอยู่นาน ศาสตราจารย์ซุนจิ้งเหวินก็ค่อยๆ ดันแว่นโฮโลแกรมกลับขึ้นไปอยู่บนสันจมูกแล้วเอ่ยคำประเมินออกมา “มองอย่างผิวเผินแล้ว นี่เป็นปัญหาทางฟิสิกส์ แต่จากการวิเคราะห์ขั้นสุดท้ายนั้นพบว่าปัญหาที่เกี่ยวข้องนั้นเป็นมีเนื้อหาเกี่ยวพันกับวงการคณิตศาสตร์เป็นอย่างมาก”
“ถูกแล้วล่ะ ผมถึงมาหาคุณไง” ลู่โจวเหลือบไปมองเขาแล้วถามว่า “มีความคิดอะไรดีๆ บ้างไหม?”
เขายังประทับใจในตัวศาสตราจารย์ซุนอยู่ ไม่อย่างนั้นแล้วเขาก็คงจะไม่ตั้งใจเดินทางมาหาตัวอีกฝ่ายโดยเฉพาะเพียงเพื่อจะมาคุยเรื่องปัญหานี้หรอก
มองในมุมหนึ่ง ชื่อเสียงที่เขาได้มาก็เป็นตัวการันตีความรู้ความสามารถของเขา แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง ตัวเขาเองก็ได้รับแรงขับเคลื่อนจากความกล้าหาญของผู้ชายคนนี้ในการท้าสมมุติฐานทั่วไปของรีมันน์และเผชิญหน้ากับสมบัติที่เขาเหลือทิ้งไว้ในโลกของวงการคณิตศาสตร์
ถึงอีกฝ่ายจะยังมีความสามารถด้านวิชาการที่แย่กว่านิดหน่อย แต่ลู่โจวก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นปัญหาอะไร
เขาไม่ได้คาดหวังให้ศาสตราจารย์ซุนแก้ปัญหาที่เขากำลังเผชิญอยู่ได้โดยตรง เขาคาดหวังแค่ให้ผู้ชายคนนี้มองปัญหาจากอีกมุมหนึ่งและออกไอเดียที่ตัวลู่โจวเองคิดไม่ถึงมาก่อน
แต่ปฏิกิริยาของศาสตราจารย์ซุนก็ไม่เป็นไปตามที่ลู่โจวคาดหวังไว้เท่าไร
พอเขาหันหน้าเข้ากระดานไวท์บอร์ด รอยยิ้มแห้งๆ ก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้า เจ้าตัวดูไม่รู้จะพูดอะไรดี
“ถ้าขนาดคุณยังคิดไอเดียอะไรไม่ออก ผมจะไปคิดออกได้อย่างไรกันล่ะ?”
พอได้ยินดังนั้นแล้วลู่โจวก็รู้สึกผิดหวังนิดหน่อย เขาถอนหายใจแล้วกล่าวกับอีกฝ่ายว่า “ถ้าคุณจะคิดอย่างนี้แล้วล่ะก็ คิดเสียว่าผมไม่ได้ถามอะไรคุณก็แล้วกัน”
ถ้าคุณตั้งข้อจำกัดให้ตัวเองโดยไม่ได้คิดอย่างลึกซึ้ง แถมยังปักใจเชื่อว่าปัญหามันแก้ไขไม่ได้แล้วล่ะก็ คุณก็ไม่ต้องลองแก้อะไรมันแล้วล่ะ
หรือต่อให้คุณจะลองแก้มันขึ้นมาก็คงแก้ไม่ได้หรอก
บางทีศาสตราจารย์ซุนจิ้งเหวินอาจจะถูกกระตุ้นจากสีหน้าผิดหวังของลู่โจว เขาเลยกัดฟันแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดว่า “เดี๋ยวก่อน…คุณพอจะให้โอกาสผมได้ไหม?”
“ได้อยู่แล้ว” ลู่โจวพยักหน้าอย่างเรียบๆ แล้วก็เหลือบไปมองภาพสมการบนไวท์บอร์ด พูดต่อ “ผมตั้งใจจะโพสต์ปัญหานี้ลงในกระดานสาธารณะของฟอรั่ม LSPM”
“ถ้าใครแก้ได้ ผมก็คิดว่าคนคนนั้นก็สมควรจะได้รับรางวัลคณิตศาสตร์ลู่โจว”
ถึงในตอนแรก LSPM จะเกิดขึ้นมาเพื่อความสะดวกในการตีพิมพ์หลักฐานของข้อคาดการณ์เอบีซีก็ตาม แต่ทุกวันนี้มันได้พัฒนาไปเป็นฟอรั่มวิชาการแบบเปิดแล้ว
บุคคลชื่อดังในวงการคณิตศาสตร์หลายคนต่างก็มีบัญชีสำหรับเข้าฟอรั่มนี้กัน
ถ้าปัญหานี้ถูกเผยแพร่ออกไปผ่านชื่อของลู่โจวแล้วล่ะก็ จะต้องมีคนหลายคนที่เข้ามาสนใจมันแน่ๆ
ทันทีที่ศาสตราจารย์ซุนจิ้งเหวินได้ยินลู่โจวพูดถึงรางวัลคณิตศาสตร์ลู่โจว เขาก็มีท่าทีสนใจขึ้นมาทันที
มันเป็นรางวัลทางคณิตศาสตร์ที่มีเกียรติมากที่สุดในทุกวันนี้ เป็นจอกศักดิ์สิทธิ์ในวงการคณิตศาสตร์อย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ รางวัลนี้จะมีเพียงปีละครั้ง และจะมอบให้กับคนแค่เพียงคนเดียว คนที่เป็นนักวิชาการที่มีผลงานทางคณิตศาสตร์ที่โดดเด่นที่สุด
ตั้งแต่ช่วงปี 2050 เป็นต้นมา คนจำนวนมากต่างก็เฝ้ารอ หวังว่าตัวเองจะได้รับรางวัลนี้ แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รางวัลนี้มาจริงๆ
ถึงซุนจิ้งเหวินจะไม่ได้วิจัยคณิตศาสตร์เพื่อจะเอารางวัลก็เถอะ เขาวิจัยเพราะเขารักในศาสตร์นี้จริงๆ แต่เกียรติยศที่มาพร้อมกับรางวัลนี้ก็ยังมากพอจะทำให้เขารู้สึกสนอกสนใจอยู่ดี
พอเห็นใบหน้าของนักวิชาการหนุ่มแล้ว ลู่โจวก็เผยยิ้มออกมา เขาพยักหน้าให้อีกฝ่ายโดยไม่พูดอะไรต่อ
รู้สึกเหมือนเห็นตัวเองตอนหนุ่มๆ ในตัวผู้ชายคนนี้เหมือนกัน
แค่ว่าในด้านความเก่งและด้านการมองโลกนั้นอีกฝ่ายยังมีไม่มากพอ แล้วก็ยังขาดประสบการณ์บางอย่างอยู่
หลังจากลู่โจวเดินออกมาจากห้องกิจกรรมเขาก็กลับออฟฟิศตัวเองทันที
พอกลับมาใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยต่อ ในตอนนี้ถ้าเขาไม่เตรียมการสอนในเวลาว่างหรือทำวิจัยทฤษฎีไฮเปอร์สเปซ เขาก็อาจจะสาธิตคำแนะนำให้นักวิชาการเกอฮ่วยจือและคนอื่นๆ บ้างเป็นบางที
แต่พอกลับเข้ามาในออฟฟิศ เขายังไม่ทันจะได้เริ่มทำงาน คณบดีสูงวัยก็มาเปิดประตูมาเยือนถึงออฟฟิศเขาเสียก่อน
นักวิชาการฉินฉวนมองลู่โจวที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะ คณบดีของภาควิชาคณิตศาสตร์เดินตรงมาหาพร้อมรอยยิ้ม แล้วก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงว่า
“เป็นอย่างไรบ้าง? ผ่านไปร้อยปี นักวิชาการยุคใหม่ของมหาวิทยาลัยจินหลิงทำให้คุณผิดหวังหรือเปล่า?”
ในฐานะผู้นำทางวิชาการคนปัจจุบันของโรงเรียนแห่งความคิดของลู่โจว เขากังวลเรื่องความเป็นอยู่ของผู้เกิดก่อนคนนี้ตลอด
ตราบใดที่ฉินฉวนมีเวลาว่าง เขาก็จะโผล่มาเยี่ยมลู่โจวตลอด
“ผมจะไปผิดหวังในตัวนักศึกษาตัวเองได้อย่างไรกัน?” ลู่โจวตอบยิ้มๆ “ผมรู้สึกผิดนิดหน่อยที่เห็นพวกเขาทั้งรักเรียนทั้งตั้งใจทำงานขนาดนั้น”
คณบดีฉินยิ้มแล้วทักว่า “ฮ่าฮ่า อย่าพูดอย่างนั้นเลย ถ้าพวกเขาขยันได้เท่าสักครึ่งของคุณล่ะก็ ป่านนี้ทั้งโรงเรียนของเราคงมีรางวัลเพิ่มเป็นสองเท่าแล้ว”
ลู่โจวเอ่ย “การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ไม่ใช่การแข่งขันเสียหน่อย จะชนะหรือไม่ก็เป็นเรื่องรอง ตราบใดที่พวกเขาได้เรียนรู้อะไรสักอย่าง ผมก็พอใจแล้ว”
ฉินฉวนพูดต่อ “เรื่องนักศึกษาน่ะช่างก่อน นี่คุณชินกับชีวิตในยุคนี้แล้วเหรอ?”
ลู่โจวยิ้มแล้วตอบไปว่า “คุณไม่ต้องกังวลเรื่องผมหรอก ผมไม่ใช่คนประเภทที่จะไม่พูดเรื่องปัญหาอยู่แล้ว”
“ถ้าคุณพูดอย่างนั้นผมก็หายห่วง” คณบดีฉินเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ถ้าคุณมีอะไรให้ผมช่วยก็บอกได้เลยนะ ตราบใดที่พวกเรายังช่วยคุณได้ ก็จะทำสุดความสามารถเลย!”
“อย่างนั้นผมคงต้องขอขอบคุณล่วงหน้าด้วย”
ลู่โจวพยักหน้า เขากำลังจะพูดอะไรสักอย่างต่อ แต่ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
พอเห็นโทรศัพท์ลู่โจวดัง คณบดีฉินก็ยิ้มออกมาทันที เขาทักขึ้นว่า “เหมือนคุณจะมีธุระต้องจัดการนะ ดังนั้นผมจะไม่รบกวนคุณแล้ว”
พอพูดจบอีกฝ่ายก็หันหลังเดินออกไปจากห้อง
พอประตูออฟฟิศปิดลงทั่วทั้งห้องก็กลับมาเงียบอีกครั้ง
เบอร์ที่โทรมาเป็นเบอร์ไม่คุ้น ลู่โจวเดาว่าสถาบันวิทยาศาสตร์พาน-เอเชียน คงโทรมาคุยกับเขาเรื่องที่เกี่ยวกับลิฟต์อวกาศ เขาจึงไม่ลังเลอะไรและกดปุ่มรับสายไปทันที
แต่เขากลับไม่คิดว่าเสียงที่ดังมาจากปลายสายจะเป็นเสียงคุ้นเคย
“สวัสดีค่ะ ฉันลู่เสี่ยวเฉียวเอง คนที่น่าจะเป็น…หลานสาวของคุณ”
ลู่โจวแปลกใจที่ลู่เสี่ยวเฉียวโทรหาเขา ก็เลยถามไปด้วยความสงสัย “มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“คุยกันผ่านโทรศัพท์มันไม่ค่อยสะดวกน่ะค่ะ ช่วงนี้คุณพอจะว่างไหม?”
“ก็พอจะว่างนะ”
เธอสูดลมหายใจเข้าลึกจากปลายสาย แล้วเอ่ยถามออกมาด้วยเสียงจริงจัง
“ถ้าคุณว่าง คุณช่วยมาปักกิ่งหน่อยได้ไหม?”