Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1592 เบาะแสเรื่องอดีต
- Home
- Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ
- ตอนที่ 1592 เบาะแสเรื่องอดีต
ณ น่านน้ำสากลของสหการพาน-เอเชียน
หลี่กวงหยายืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ เขามองไปทางระดับน้ำทะเลที่อยู่ไม่ไกลออกไป จู่ๆ รอยยิ้มก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเขา
เพราะอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้ไปทำข้อตกลงกับชาวเมืองก่วงฮั่นแล้ว แผนการสร้างเมืองหนี่วาจึงถูกยกเลิกไปโดยอัตโนมัติ
ถึงผลลัพธ์จะออกมาดีกับทุกฝ่าย หลี่กวงหยาก็ยังไม่พอใจที่ไม่มีเมืองไหนเลยอยู่ภายใต้อำนาจการควบคุมของสหการพาน-เอเชียนโดยตรง
โชคดีที่พอมีโปรเจกต์ลิฟต์อวกาศขึ้นมา นั่นจึงทำให้ทุกอย่างเหมือนจะกลับมามีโอกาสอีกครั้ง
ตอนนี้ก็ผ่านมาไม่ถึงเดือนตั้งแต่เริ่มโปรเจกต์สร้างเมืองเผิงไหล แต่โครงสร้างของทั้งเมืองเผิงไหลนั้นจะอยู่ในระดับที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล
คลื่นกระทบกับเสาเหล็กกล้าที่หนาเท่าขาช้าง ราวกับเป็นลมเย็นที่พัดพา ณ ชายหาด ปราการเหล็กกล้าลอยน้ำแห่งนี้เป็นเหมือนกับเกาะจริงๆ แห่งหนึ่ง มันลอยอยู่กลางทะเลอย่างยิ่งใหญ่
ถ้าสิ่งที่เรียกว่า ‘ความใหญ่โต’ นับเป็นศิลปะล่ะก็ สิ่งนี้นี่แหละคือผลงานชิ้นโบแดง
“นี่จะกลายเป็นปาฏิหาริย์ในหน้าประวัติศาสตร์ของมนุษย์ เป็นปาฏิหาริย์ที่มีแค่พวกเราเท่านั้นที่สามารถทำได้”
ดวงตาของหลี่กวงหยาเหมือนจะจับจ้องอยู่แต่กับกล้องส่องทางไกล เพราะเขาเอาแต่จ้องไปที่ไซต์ก่อสร้าง
หัวหน้าวิศวกรหวังที่ยืนอยู่ถัดจากหลี่กวงหยาก็ยืดอกยิ้มแฉ่งด้วยความภาคภูมิใจ
“แน่นอนครับท่าน! ในวงการวิศวกรรม พวกเราคือปาฏิหาริย์ มีแค่พวกเราเท่านั้นที่จะก้าวผ่านพวกเราเองได้!”
หลี่กวงหยาถาม “ตอนนี้โปรเจกต์อยู่ขั้นไหนแล้ว?”
“เมนเฟรมเสร็จแล้วครับ ขั้นต่อไปก็คือต้องเติมอะลูมิเนียมโฟมระหว่างสิ่งก่อสร้างเหล็กกล้าพวกนี้ ตอนนี้โรงงานของพวกเราที่ตั้งอยู่บนดาวอังคารทำวัสดุชุดที่จะนำมาใช้เสร็จหมดแล้ว โปรเจกต์ขั้นแรกจะเสร็จทุกอย่างภายในก่อนเดือนมีนาคมครับ!”
อันที่จริงส่วนที่ยากที่สุดของโปรเจกต์ทั้งหมดก็คือขั้นแรกนั่นแหละ
หลังจากที่สร้างโครงสร้างหลักของเกาะเหล็กกล้าทั้งเกาะเสร็จแล้ว งานส่วนที่เหลือก็แค่ตกแต่งจากเดิมให้สวยงามขึ้นเท่านั้นเอง
อย่างการเพิ่มตึกระฟ้าไปบนเกาะ แล้วก็วางระบบการคมนาคมแบบโมเดิร์น และอื่นๆ อีกมากมาย…
ขณะที่มองไซต์ก่อสร้างจากระยะไกล ดวงตาของหลี่กวงหยาก็มองไปทางอนาคตเรียบร้อยแล้ว
เลขาฯของเขาเดินมาจากด้านข้างแล้วพูดขึ้นเบาๆ
“มีข่าวมาครับท่าน”
หลี่กวงหยาเอ่ยขึ้นมาอย่างสบายๆ ราวกับรู้อยู่แล้วว่าเลขาฯจะเล่าเรื่องอะไร
“ว่ามาสิ”
เหว่ยซงยิ้มอย่างภูมิใจ เขาเอ่ยอธิบายด้วยเสียงพอใจ
“แผนประสบความสำเร็จครับ แถมยังใกล้กับที่พวกเราคาดหวังไว้อย่างสมบูรณ์แบบ!”
“เรอะ?” หลี่กวงหยาวางกล้องส่องทางไกลในมือลง เขาหันไปมองเหว่ยซง เลขานุการของตัวเองด้วยความสนใจ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาอย่างสบายๆ “ตอนนี้ถึงขั้นไหนแล้วล่ะ?”
“พวกเขาอยู่บ้านเดียวกันแล้วครับ!”
“แค่อยู่บ้านเดียวกันหรือมีลูกแล้วล่ะ?”
เหว่ยซงพูดต่อ “เรื่องนี้…ผมเองก็ไม่ทราบ แต่พูดตามตรรกะความเป็นจริงแล้ว ผมว่ามันไม่สมเหตุสมผลนะครับ”
“หมายความว่าเธอคนนั้นท้องหรือยัง ไม่ใช่ว่าคลอดออกมาแล้ว” หลี่กวงหยายักไหล่ เขาส่งกล้องส่องทางไกลกลับไปให้บอดี้การ์ด แล้วตัวเองก็เดินไปที่ระเบียงข้างเรือ เขาพูดต่อ “นักวิชาการลู่เป็นคนที่มีความสำคัญกับพวกเรามาก พวกเราไม่สามารถให้เขาเสี่ยงชีวิตตัวเองได้ ผมหวังว่าคุณจะให้ความสนใจกับงานของคุณมากกว่านี้ มันสำคัญมากกว่าเรื่องลิฟต์อวกาศเสียอีก”
รอยยิ้มภาคภูมิใจของเหว่ยซงหรี่ลงไปแล้ว เขาพยักหน้าอย่างจริงจังแล้วพูดต่อ “ผม…เข้าใจแล้วครับท่าน ผมจำเป็นต้องสืบข้อมูลรายการของที่เขาซื้อด้วยไหมครับ?”
สิ่งที่คนคนหนึ่งซื้อในชีวิตประจำวันสามารถสะท้อนสถานะชีวิตของเขาได้ อย่างการที่คนโสดจู่ๆ ก็ซื้ออุปกรณ์คุมกำเนิดก็อาจจะเป็นตัวบ่งชี้ได้
แล้วถ้าเขาใช้อุปกรณ์พวกนั้นก็แปลว่า…
“ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกน่า” หลี่กวงหยากระแอมแห้งๆ โยนความคิดนี้ของเลขาฯทิ้งไปอย่างรวดเร็ว เขาพูดต่อ “ผมไม่ได้จะให้คุณไปแอบตามติดชีวิตเขาแบบนั้น แค่สืบสวนว่าเขายังมีญาติหรือเพื่อนคนไหนที่ยังมีชีวิตอยู่ไหม”
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ถ้าเปรียบเทียบกับความสะดวกสบายของสภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิตแล้ว ความสุขของมนุษย์หลักๆ จะมาจากตัวแปรทางสังคม
หลี่กวงหยามองว่าเหตุผลที่ลู่โจวมีความคิดจะไปที่เทาเซติ หลักๆ เป็นเพราะเขารู้สึกโดดเดี่ยวจากยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยแห่งนี้ วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดก็คือการมอบข้อมูลเรื่องโลกใบนี้ให้เขา
สุดท้ายหลี่กวงหยาก็ไม่นึกออกจริงๆ ว่า จะมีคนที่ยอมดั้นด้นเดินทางข้ามจักรวาลเพียงเพื่อทำตามสัญญาที่ให้ไว้เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน…
“อ้า จะว่าไปแล้ว…” เหว่ยซงนึกอะไรอย่างหนึ่งขึ้นมาได้พอได้ยินคำพูดของท่านประธาน เขาเอ่ยขึ้นมาว่า “ท่านบอกให้ผมสืบข้อมูลเรื่องญาติกับเพื่อนของเขาจากเมื่อร้อยปีก่อน ไม่นานมานี้เองผมก็พบข้อมูลพิเศษเรื่องหนึ่งเข้าครับ”
“ข้อมูลเรื่องใครเหรอ?”
“น้องสาวของเขาครับท่าน”
พอได้ยินคำตอบที่ไม่คาดคิด หลี่กวงหยาก็ขมวดคิ้วเล็กๆ เขามองเลขาตัวเองแล้วถามว่า “หมายถึง…ลู่เสี่ยวถงคนนั้นเหรอ?”
“เอ่อ…จริงๆ ก็แปลกมากเลยนะครับ ผมสืบสวนเรื่องที่อยู่สามีของลู่เสี่ยวถงหลังช่วงปี 2030 แต่คนคนนั้นก็ดูเหมือนจะถูกลบออกไปจากประวัติศาสตร์เลยครับ นอกจากทายาทของผู้หญิงคนนั้นแล้วก็ไม่มีอะไรที่น่าเชื่อถือหลงเหลืออยู่แล้วครับ”
“คำว่าน่าเชื่อถือนั่นหมายความว่าอะไร?”
“คือ ตั้งแต่เริ่มช่วงปี 2030 มาน่ะครับ เหมือนว่าทั้งข่าวทั้งประวัติสิ่งที่ลู่เสี่ยวถงทำแต่ละอย่างจะเป็นของปลอมทั้งนั้นเลย สถานที่หลายอย่างก็ขัดแย้งกันไปหมด อย่างลูกหลานของเธอก็เหมือนจู่ๆ โผล่ออกมาจากอากาศอย่างนั้นแหละครับ”
เหว่ยซงพอพูดมาถึงตรงนี้ก็อดถอนหายใจแล้วแสดงสีหน้าไว้อาลัยขึ้นมาไม่ได้ “น่าเสียดายที่ทายาทที่อายุมากที่สุดของเธอคนนั้นก็เสียชีวิตไปเมื่อ 30 ปีก่อนแล้วครับ คนที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็จำได้รางๆ แค่ว่าลู่เสี่ยวถงเป็นคนใจดีและนิสัยดีแค่นั้น จนถึงตอนนี้ ผมยังไม่เจอหลักฐานที่เป็นชิ้นเป็นอันเลยครับ”
หลี่กวงหยาลูบคางตัวเอง เขาคิดอยู่พักหนึ่งก็เอ่ยเสนอขึ้นมา “หรือว่าลู่เสี่ยวถงจะถูกลืมเพราะเธอไม่ใช่คนมีชื่อเสียงกันล่ะ”
เหว่ยซงส่ายหัวแล้วอธิบาย “ก็ไม่สมเหตุสมผลนะครับ เธอคนนั้นเป็นคนที่ได้รางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ แถมยังเป็นผู้ก่อตั้งและผู้จัดการคนแรกของมูลนิธิพิทักษ์สิทธิมนุษยชนแช่แข็งกับกองทุนการตั้งอาณานิคมต่างดาว เธอไม่ใช่คนปริศนาที่ไม่มีใครรู้จักเลย ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเป็นผู้หญิงที่มีความสำเร็จในประวัติศาสตร์โดดเด่นขนาดนี้จะทำตัวหลบอยู่เงียบๆ ก็ไม่น่าเป็นไปได้อยู่แล้ว”
เพราะมูลนิธิพิทักษ์สิทธิมนุษยชนแช่แข็งถือเป็นมูลนิธิเพื่อการกุศลที่ใหญ่ที่สุดในสหการพาน-เอเชียนหรือแม้กระทั่งในโลกนี้ด้วย มูลนิธิเพื่อการกุศลนี้ต่างจากที่อื่นๆ ที่เพียงแค่ช่วยเหลือคนป่วยและคนจน มูลนิธิแห่งนี้ช่วยเหลือผู้ที่นอนหลับไปชั่วคราวให้ปรับตัวเข้ากับสังคมสมัยปัจจุบันได้ และยังช่วยแม้กระทั่งในด้านการมีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงและความรุ่งเรืองของมนุษยชาติด้วย
เพราะก่อนจะปรับตัวเข้ากับสังคมได้ คนที่หลับไปชั่วคราวก็เป็นแค่ ‘ขอทาน’ ที่ถูกโยนจากอดีตมาสู่อนาคตเท่านั้นเอง ต้องเป็นตอนที่พวกเขาสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมปัจจุบันและได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานเท่านั้น พวกเขาจึงจะสามารถเฉิดฉายในสังคมนี้ได้ และหาสถานที่ที่พวกเขาสามารถแสดงศักยภาพของพวกเขาออกมา
ตัวมูลนิธิพิทักษ์สิทธิมนุษยชนแช่แข็งทั้งองค์กรก็ตกอยู่การบริหารควบคุมของตระกูลลู่มาโดยตลอด ไม่น่าเชื่อเลยว่าคุณเสี่ยวถง ที่ถูกบันทึกไว้ว่าเป็นผู้ก่อตั้งมูลนิธิ จะมีข้อมูลส่วนตัวหลงเหลืออยู่น้อยมาก
ข้อมูลสำคัญจะต้องถูกปกปิดไว้อย่างไม่ต้องสงสัย!
“หมายความว่า…เธอคนนั้นอาจจะยังมีชีวิตอยู่เหรอ?”
“ผมก็ไม่รู้” เหว่ยซงเอ่ยพลางส่ายหัว “ผมก็คิดเหตุผลอะไรไม่ออกแล้วว่าทำไมเธอถึงต้องการจะมาใช้ชีวิตอยู่ในโลกอนาคต แต่เรื่องมันก็ขัดแย้งกันหลายเรื่อง โดยเฉพาะตอนที่ผมไปเช็กข้อมูลออนไลน์ที่ไม่ได้อยู่ในกองความมั่นคง ผมเจอประวัติแปลกๆ ในคลังเอกสารของประเทศจีนด้วย”
หลี่กวงหยาถามขึ้นมาทันที “ประวัติอะไรกัน?”
เหว่ยซงเปลี่ยนไปใช้น้ำเสียงจริงจัง เขาเล่าต่อ
“หลังจากทำโปรเจกต์ ‘โอเอซิส’ ที่แถบตะวันตกเฉียงเหนือเสร็จ ลู่เสี่ยวถงก็เดินทางไปปักกิ่ง จากนั้นก็ลาออกจากตำแหน่งซีอีโอของสตาร์สกายเทคโนโลยี แล้วเธอก็หายตัวไปจากสื่อมวลชน ไม่มีข้อมูลที่น่าเชื่อถือของเธออีกเลยในหน้าประวัติศาสตร์ คนที่สำคัญแบบเธอกลับหายตัวไปในทันที ในตอนนั้นหน่วยทหารเสนาธิการของกองทัพปลดปล่อยประชาชนที่ดูแลเรื่องงานข่าวกรองก็ตรวจสอบหาตำแหน่งที่อยู่ของเธอครับ”
“จากรายงานสืบสวนในไฟล์ หลังจากสืบสวนไปได้หนึ่งปี ถึงแม้เจ้าหน้าที่ความมั่นคงที่เป็นฝ่ายสืบสวนจะหาตำแหน่งที่อยู่ของเธอไม่เจอ รายงานสืบสวนนั้นก็มีบันทึกการถอดคำพูดของลู่เสี่ยวถงแนบไว้ด้วย”
“จากคำพูดของเธอคนนั้น หลังจากที่เดินทางออกจากแถบตะวันตกเฉียงเหนือคู่หมั้นของพี่ชายเธอก็ได้เดินทางไปพบเธอครับ…”
……………………………………………….