Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1599 ไม่อย่างนั้นแล้วผมจะวิจัยไปทำไม?
- Home
- Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ
- ตอนที่ 1599 ไม่อย่างนั้นแล้วผมจะวิจัยไปทำไม?
“ศาสตราจารย์เบเลอร์ครับ ในรายการทอล์คโชว์วิทยาศาสตร์เมื่อเดือนก่อนที่คุณคิดว่านักวิชาการลู่ประเมินความสำคัญของสมการคลื่นความโน้มถ่วงอนุภาคซีสูงเกินไป มันเป็นความจริงหรือเปล่าครับ?”
“ศาสตราจารย์เบเลอร์คะ คุณคิดว่าการแก้สมการคลื่นความโน้มถ่วงอนุภาคซีจะทำให้เกิดผลลัพธ์อะไรกับวงการฟิสิกส์บ้างคะ?”
“ศาสตราจารย์เบเลอร์คะ…”
ศาสตราจารย์เบเลอร์ถือแท็บเล็ตเดินออกมาจากคลาส เขามองกลุ่มผู้สื่อข่าวที่เบียดเสียดกันอยู่ตรงหน้ารอสัมภาษณ์เขา ขนาดนักศึกษาบางคนยังเข้ามาร่วมวงกับพวกเขาด้วยซ้ำ เส้นเลือดตรงหน้าผากของเขากำลังเต้นตุบๆ จนสุดท้ายก็จำต้องคำรามลั่นออกมา
“พอกันที! ที่นี่สถานศึกษานะ มันเป็นสถานที่ที่คนเขาเรียนหนังสือกัน…”
“แต่ที่พวกเรากำลังถามก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการศึกษานะคะ” มีคนนำไมโครโฟนมาจ่อตรงหน้าเขา นักข่าวสาวผมหยิกเล็กน้อยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงใจ “นักวิชาการลู่แก้ปัญหาเรื่องความแม่นยำต่ำของสมการคลื่นความโน้มถ่วงอนุภาคซีได้แล้วภายในเวลาสองเดือน คุณมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างคะ?”
ใบหน้าของศาสตราจารย์เบเลอร์เปลี่ยนจากสีเขียวไปเป็นสีแดง
เขาพยายามซ่อนความอับอายไว้ไม่ให้ฉายขึ้นมาบนใบหน้า จากนั้นก็เอื้อมมือออกไปผลักไมโครโฟนตรงหน้ากับโดรนสัมภาษณ์ที่ลอยมาข้างๆ ออกไปให้พ้นทาง เขาเอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงหยาบคาย “ผมไม่มีเวลามาให้สัมภาษณ์ตอนนี้! เรื่องคำถามผมมีคำตอบเดียวให้เท่านั้น นั่นคือคำว่าโนคอมเมนต์!”
หลังจากฝ่าฝูงชนออกมาได้ ศาสตราจารย์เบเลอร์ก็เร่งฝีเท้ากลับไปที่ออฟฟิศตัวเองด้วยความอับอาย เขาเปิดประตูแล้วก็เดินเข้าไป
“พอกันที! ไอ้พวกแร้งหาข่าวพวกนี้คิดว่าที่นี่เป็นอะไรกัน! ที่นี่มหาวิทยาลัยนะ นี่มันสถานศึกษา! บ้าเอ๊ย!”
พอเห็นศาสตราจารย์กำลังหัวเสียแล้ว พวกนักศึกษาที่นั่งกันอยู่ในออฟฟิศก็มองหน้ากันเอง ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา
ศาสตราจารย์เบเลอร์นั่งลงที่เก้าอี้ตัวเอง อารมณ์ของเขาเริ่มเย็นลงขณะจ้องมองถ้วยกาแฟบนโต๊ะ ตอนนั้นเองชายย่างวัยกลางคนคนนี้ก็ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ
ศาสตราจารย์เบเลอร์เหลือบไปมองงานวิจัยที่ยังเขียนไม่เสร็จบนจอโฮโลแกรม เขากดคลิกเข้าไปทันที
หลังจากนั้น…
พอกวาดตามองอย่างรวดเร็วเสร็จ ความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจเขาก็เริ่มจะพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง
“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน…ต้องมีอะไรบางอย่างผิดพลาดแน่ๆ …”
ศาสตราจารย์เบเลอร์จ้องงานวิจัยในมือ เขาแทบจะอยากเอาจมูกไปจ่อแนบชิดจอโฮโลแกรมเพื่อดูชัดๆ แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามมากแค่ไหน เขาก็ยังหาช่องโหว่ในงานวิจัยนี้ไม่ได้เสียที
กระบวนการแย้งทั้งหมดในนั้นลื่นไหลเหมือนเมฆที่ลอยผ่านและสายน้ำที่หลั่งไหล มันเป็นเหมือนเป็นปราการที่รายล้อมไปตัวเลข ไม่มีการคำนวณหรือเครื่องหมายวรรคตอนแม้แต่บรรทัดเดียวที่มีข้อผิดพลาด
จากนั้นเวลาก็ผ่านไปครึ่งชั่วโมง
ศาสตราจารย์เบเลอร์พลิกหน้างานวิจัยไปมาหลายต่อหลายครั้ง จนสุดท้ายนิ้วชี้ของเขาก็ร่วงลง เขายอมแพ้แล้ว
“นี่น่ะเหรอ ความแข็งแกร่งของชายที่อยู่จุดสูงสุดของมนุษยชาติ…?”
เขายกมือขวาขึ้นมาอีกครั้ง ปลายนิ้วปัดผ่านจอโฮโลแกรม
เขามองเห็นอนุภาคแสงที่กระจัดกระจาย ศาสตราจารย์เบเลอร์เอนหลังไปพิงเก้าอี้ออฟฟิศ สายตาจ้องมองเพดานอย่างเงียบงัน
หลังจากอ่านงานวิจัยหลายต่อหลายรอบ อารมณ์ในใจเขาก็เริ่มเย็นลงแล้ว
มันไม่ใช่เรื่องน่าอับอายหรอกที่จะพ่ายแพ้ให้คนที่สามารถเขียนงานวิจัยที่สุดยอดแบบนั้นได้
ถึงแม้คนคนนั้นจะมาจากสมัยศตวรรษที่แล้วก็เถอะ
สิ่งเดียวที่ศาสตราจารย์เบเลอร์เสียใจตอนนี้ก็คือ เขาดันไปมั่นหน้ามากเกินไปตอนให้สัมภาษณ์ในสตูดิโอครั้งที่แล้ว
นี่อาจจะกลายเป็นประวัติอันหม่นหมองในชีวิตเขาก็ได้
ประตูออฟฟิศเปิดออก จากนั้นผู้ช่วยของเขาก็เดินเข้ามา พร้อมกับเอ่ยเสียงที่ฟังดูจริงจังเหมือนกับนักธุรกิจ
“ศาสตราจารย์เบเลอร์…คุณมีสัมภาษณ์กับแคลิฟอร์เนียทีวีตอนบ่าย…”
“เลื่อนให้ผมที” ศาสตราจารย์เบเลอร์ตอบไปอย่างไม่ลังเล “บอกไปว่าผมป่วยก็ได้”
ผู้ช่วย “…?”
นักศึกษา “…”
…
อันที่จริงคลื่นพายุรุนแรงที่ก่อตัวในใจของศาสตราจารย์เบเลอร์ก็ไม่ใช่ความโกลาหลเพียงอย่างเดียวในวงการฟิสิกส์
นักวิชาการจากเมื่อร้อยปีก่อนสามารถแก้ไขปริศนาที่พวกเขาใช้เวลากันมาร้อยปีก็ยังแก้ไม่ได้ สิ่งนี้เป็นหมุดตัวใหญ่ที่ทิ่มแทงความมั่นใจในตัวเองของแต่ละคน
เพราะมันก็เหมือนกับลู่โจวพูดออกมาโต้งๆ ว่าผ่านไปร้อยปีแล้ว ฟิสิกส์ของโลกนี้ยังไม่ได้พัฒนาไปเลยแม้แต่นิดเดียว
ถึงจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นจริง และระหว่างร้อยปีที่ผ่านมาก็มีคนประสบความสำเร็จอยู่บ้าง แต่พอเอาไปเทียบกับความสำเร็จที่น่าตื่นตาตื่นใจครั้งนี้แล้ว ของพวกนั้นก็ดูจะเป็นคนละระดับไปเลย
สรุปสั้นๆ ก็คือ ไม่ใช่แค่วงการฟิสิกส์เพียงอย่างเดียวที่เจอกับคลื่นพายุรุนแรง กระแสความตื่นเต้นนี้แพร่กระจายออกไปนอกวงการฟิสิกส์สู่สาธารณชนทั่วไป
พอนักวิชาการลู่แก้สมการคลื่นความโน้มถ่วงอนุภาคซีกับทฤษฎีไฮเปอร์สเปซที่สร้างปัญหาใหญ่หลายประการขึ้นมาได้แล้ว ประตูสู่อวกาศที่ไกลกว่าเดิมก็เหมือนจะเปิดออกตรงหน้าคนทุกคน
ความเร็วที่เร็วกว่าแสง…
สำหรับสังคมมนุษย์ที่ใกล้เคียงกับประตูไปสู่การนำทางอินเตอร์สเตลลาร์แล้ว อะไรมันจะน่าสนใจมากกว่าไปความเร็วกว่าแสงอีกล่ะ?
หลี่หยงหนิงซึ่งเป็นหัวหน้าผู้สื่อข่าวแห่งพาน-เอเชียนิวส์และเซเลบที่ผู้ชมนับไม่ถ้วนชื่นชอบ ตอนนี้เขากำลังยืนกดกริ่งหน้าบ้านของลู่โจว
ประตูไม่ยอมเปิด
แต่พอกดไปสามรอบจอโฮโลแกรมก็ที่ประตูก็ฉายภาพออกมา
ถึงภาพที่ฉายออกมาจะดูออกว่าคนในภาพกำลังรำคาญอย่างเห็นได้ชัด มันก็ไม่ได้ทำให้ความตั้งใจของหลี่หยงหนิงลดลงแต่อย่างใด
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาต้องมาเกรงจงเกรงใจอะไรแล้ว
หลี่หยงหนิงไม่รอช้า เขาเผยรอยยิ้มของผู้สื่อข่าวมืออาชีพขึ้นมาทันที พยายามหาโอกาสเปิดบทสนทนากับอีกฝ่าย
“สวัสดีครับ นักวิชาการลู่ ดีใจมากๆ เลยที่ได้พบคุณ ผมชื่อหลี่หยงหนิง เป็นผู้สื่อข่าวจากพาน-เอเชียนิวส์ คุณมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างกับข่าวลือที่ว่า คุณกำลังศึกษาเทคโนโลยีความเร็วกว่าแสงอยู่ครับ? แล้วเรื่องสมการคลื่นความโน้มถ่วงอนุภาคซีที่อาจจะเป็นตัวแปรสำคัญที่นำไปสู่เทคโนโลยีความเร็วกว่าแสง…”
“ตามนั้นแหละครับ” ลู่โจวเอ่ยตอบผู้สื่อข่าวด้วยเสียงเรียบเฉย “ไม่อย่างนั้นแล้วผมจะวิจัยเรื่องพวกนี้ทำไมกัน?”
หลี่หยงหนิงอึ้งไป
ตอนแรกเขาคิดว่าลู่โจวจะตอบมาทำนองถ่อมตัวหรือไม่ก็หาวิธีการที่ชาญฉลาดมาเบี่ยงประเด็นเสียอีก เขาไม่ได้คิดว่าเจ้าตัวจะยอมคอนเฟิร์มข่าวลือตรงๆ แบบนี้
เหลือเชื่อจริงๆ !
ข่าวลือพวกนั้นเป็นเรื่องจริงเหรอ?!
ลู่โจวเลิกคิ้วเล็กๆ เขามองไปที่ผู้สื่อข่าวที่กำลังยืนเงียบแล้วถามอีกฝ่าย “มีคำถามอะไรอีกไหม?”
“คุณ…ผม…”
ปากของหลี่หยงหนิงอ้าแล้วก็หุบลง เขายังอึ้งอยู่กับเซอร์ไพรส์เมื่อครู่ เวลาสองวินาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่หลี่หยงหนิงจะปรับอากัปกิริยาของตัวเองแล้วเริ่มถามคำถามขึ้นมาต่อ
“ขอโทษด้วยนะครับ อะไรกันที่ทำให้คุณสนใจข้อเสนอนี้? พวกเราก็รู้กันดีว่าตอนนี้คุณเป็นหัวหน้านักออกแบบลิฟต์อวกาศแล้ว…ผมหมายถึง…มันจะไม่ไปรบกวนเวลาคุณเหรอครับ?”
“ผมเป็นหัวหน้าที่ปรึกษานะครับ” ลู่โจวแก้คำให้แล้วพูดต่อ “ส่วนถ้าถามว่าทำไมผมถึงวิจัยเรื่องความเร็วกว่าแสงก็ไม่มีเหตุผลอะไรพิเศษหรอก ถ้าจะต้องให้เหตุผลจริงๆ ก็เพราะว่าผมอยากจะไปที่สักที่หนึ่งนั่นแหละ”
หลี่หยงหนิงถาม “แล้วที่ที่คุณอยากจะไปก็คือ…”
“เทาเซติ”
ตอนนั้นเองที่ลู่โจวเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขามองกล้องที่แขวนอยู่ใต้โดรนสัมภาษณ์แล้วพูดต่อ “มีใครอยากจะเดินทางไปกับผมไหม? ถ้ามีก็ส่งข้อความมาหาผมใน LSPM ได้”
…………………………………………………………