Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1612 พลังในการรบ
“ดูเหมือนผลลัพธ์จะออกมาดีมากเลยนะครับ”
ในขณะที่ลูกเรือยานฉินหลิ่งกำลังช็อกกับฉากปืนที่ยิงออกไปอยู่นั้นเอง ลู่โจวกับเจ้าหน้าที่กองทัพชุดแรกหลายคนก็ได้เห็นภาพเหตุการณ์จากสถานีอวกาศเลอเกรนจ์พร้อมๆ กัน ภาพห่ากระสุนที่พุ่งไปยังแถบดาวเคราะห์น้อยราวกับเป็นน้ำตก
มีเป้าหมายทั้งหมด 67 เป้า เป็นอาเรย์ยิงอัตโนมัติที่จำลองเป็นโจรสลัดอวกาศในพื้นที่บริเวณแถบดาวเคราะห์น้อยรูปพัดซึ่งมีความกว้าง 10 กิโลเมตร โดยใช้ดาวเคราะห์น้อยกับอุกกาบาตเป็นเกราะกำบัง
แต่ถึงจะมีดาวเคราะห์น้อยกับอุกกาบาตคอยบังกระสุน เป้าหมายก็ถูกทำลายภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที
หลังจากยานฉินหลิ่งซ้อมยิงเสร็จ พวกเขาก็ซ้อมสิ่งอื่นๆ ต่อในทันที ทั้งการกำบัง การโจมตีเป้าหมายที่เคลื่อนที่อยู่ รวมถึงการบุกสถานีอวกาศจากระยะไกลด้วย
พอเจ้าหน้าที่แต่ละคนในห้องบัญชาการเห็นจุดสีเขียวๆ หลายจุดบนเรดาร์โผล่ขึ้นมาพร้อมกับข้อมูลทดสอบอันน่าเหลือเชื่อทำให้พวกเขากลั้นหายใจด้วยความตื่นเต้นทันที
“สุดยอดที่สุด!” ผู้บัญชาการซุนที่หายช็อกแล้วกำหมัดอย่างตื่นเต้นแล้วว่าต่อ “ผมสาบานได้เลยว่าพอเทคโนโลยีพวกนี้ไปโผล่ในสนามรบแล้ว มันจะทำลายยานอวกาศทุกลำที่ไม่มีวาร์ปไดรฟ์! หรือต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับมนุษย์ต่างดาว พวกเราก็มั่นใจว่าจะสู้กับพวกนั้นได้!”
ลู่โจวยิ้มแล้วบอกว่า “อย่าเพิ่งรีบดีใจไปสิครับ ถ้ามีมนุษย์ต่างดาวอยู่จริง พวกเขาก็ต้องอยู่ห่างจากเราไปเป็นหมื่นๆ ปีแสง หรือไม่พวกเขาก็ต้องพัฒนาสิ่งที่คล้ายๆ กับเทคโนโลยีความเร็วกว่าแสงจนเชี่ยวชาญแล้ว…ซึ่งไม่ว่าสถานการณ์จะออกมาเป็นแบบไหนก็ไม่ใช่แบบที่เราจัดการได้ง่ายๆ ทั้งนั้น”
พอได้ยินคำพูดของลู่โจว ผู้บัญชาการซุนหลี่เว่ยทำเพียงยิ้มออกมาโดยไม่พูดอะไรต่อ
หลังจากได้เห็นความสามารถของยานฉินหลิ่งในการทดลองแล้ว เขาก็มั่นใจในอนาคตของกองทัพชุดแรกเป็นอย่างมาก ถ้าเมื่อก่อนตอนเทียบกับกองทัพอื่นในระบบสุริยะ พวกเขายังอยู่ในระดับที่เรียกว่าทรงพลัง แต่พอมีเทคโนโลยีการนำทางความเร็วระดับการวาร์ปและฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นที่สอง พวกเขาก็เป็นเหมือนเทพเจ้าไปแล้ว!
จากจุดเลอเกรนจ์ไปถึงแถบดาวเคราะห์น้อยใช้เวลาไม่ถึงสามวินาที!
จากมุมมองทางกลยุทธ์แล้ว ความสามารถในการรวมพลอย่างรวดเร็วนี้ทำให้พวกเขาควบคุมกองทัพอื่นๆ หลายแห่งในทางอ้อมได้โดยง่าย
และยังพบว่าการเดินทางรูปแบบนี้ไม่เพียงแต่จะหลบเลี่ยงเรดาร์และกล้องวิทยุที่แกะรอย แต่ยังเปลี่ยนตำแหน่งในสนามรบได้ทันทีอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการหลบหนีจากระยะการยิงของฝั่งศัตรู หรือจะเป็นการเทเลพอร์ตไปหาศัตรูในทันที หลังจากยิงปืนขู่ล่วงหน้าเสร็จไปหนึ่งรอบ จะใช้กลยุทธ์แบบไหนก็ได้ทั้งนั้น
แต่ก็แน่นอนว่าเทคโนโลยีการนำทางด้วยการวาร์ปแบบนี้ใช่ว่าจะไม่มีจุดอ่อนเลย
อย่างเรื่องที่ปกติแล้วช่องทางไฮเปอร์สเปซจะเปิดได้ก็เฉพาะแค่ตอนที่ยานอวกาศอยู่ระหว่างดาวเคราะห์ขนาดใหญ่สองดวงเท่านั้น และอีกอย่างหนึ่งก็คืออิทธิพลของอนุภาคซีบนความโค้งของกาลอวกาศจะต้องซ้อนทับกับสถานะการสั่นของอนุภาคซีอื่นๆ
หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ตราบใดที่รู้ทิศทางการเดินทางและตำแหน่งคร่าวๆ ของยานอวกาศที่เป็นเป้าหมาย การเดินทางด้วยการวาร์ปก็สามารถ ‘ถูกสกัดกั้น’ ได้ และเทคโนโลยีที่ใช้ในการสกัดกั้นนี้ก็ไม่ได้ยากอะไรเลยด้วย มันใช้แค่อุปกรณ์ให้พลังงานคล้ายๆ กับเครื่องสั่นอนุภาคซีแค่นั้น
แต่มันง่ายแค่กับลู่โจวคนเดียวแค่นั้นแหละ
ถ้าเป็นกลุ่มพันธมิตรประเทศอื่นๆ บนดาวเคราะห์ หรือแม้แต่สหการพาน-เอเชียนเองที่เชี่ยวชาญเทคโนโลยีการเดินทางด้วยการวาร์ปก็เถอะ ถ้าเป็นคนกลุ่มนี้ก็ยังต้องใช้เวลานานกว่าจะจับจุดเทคโนโลยีการนำทางการวาร์ปตรงนี้ได้
ดังนั้นในจุดนี้แล้วการประเมินค่าของผู้บัญชาการซุนจึงไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ
พอกองทัพชุดแรกเชี่ยวชาญเทคโนโลยีการนำทางด้วยความเร็วระดับการวาร์ป ระยะทางการแสดงพลังก็เพิ่มเป็นลำดับขนาด รัศมีสูงสุดในการรบจึงมีขนาดใหญ่มากกว่าเดิมถึงมากกว่าหนึ่งพันเท่า
แต่ถึงผู้บัญชาการซุนจะมองในแง่ดี ก็ยังมีคนที่มีความคิดเห็นตรงกันข้ามอยู่
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งจ้องมองผลทดสอบบนจอโฮโลแกรมอยู่นาน จนสุดท้ายก็ตัดสินใจเอ่ยความกังวลในใจออกมา
“ผมยอมรับนะครับว่าถ้ามองแบบนี้ พลังในการยิงของยานฉินหลิ่งจะถือว่าแข็งแกร่งมากพอ แต่ผมคิดว่าวิธีการยิงปืนเพียงอย่างเดียวจะสร้างผลกระทบด้านลบกับความสามารถในการรบโดยรวมนะครับ ถ้าไม่มีอาวุธนำทาง…”
“ไม่ต้องใช้อาวุธนำทางหรอกครับ”
ลู่โจวหันไปมองเจ้าหน้าที่คนนั้น เขายิ้มให้แล้วอธิบายว่า “ถึงผมจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางการทหาร แต่อย่างน้อยในสถานการณ์ทางเทคนิคตอนนี้ ไม่มีมิสไซล์ไหนตามช่องทางไฮเปอร์สเปซได้แน่ อย่างน้อยก็ทำไม่ได้หลายปีเลยล่ะ”
การนำทางด้วยการวาร์ปไม่ใช่การติดตั้งเครื่องยนต์ มันไม่เพียงแต่ต้องใช้พลังงานจำนวนมากพอตัวเท่านั้น แต่ยังต้องมีการคำนวณความโค้งของอวกาศที่ซับซ้อนหลายขั้นอีกด้วย
จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะนำเครื่องปฏิกรณ์ฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นที่สอง เครื่องสั่นอนุภาคซี เซนเซอร์ และเครื่องประมวลผลควอนตัมที่ใช่คำนวณเส้นทางการเดินทางมารวมกันไว้ในมิสไซล์อันเดียว อย่างน้อยก็ยังทำไม่ได้ด้วยระดับเทคโนโลยีในปัจจุบัน
ลู่โจวมั่นใจมากว่าต่อให้ผ่านไปร้อยปี เขาก็อาจจะไม่สามารถหาวิธีสร้างอาวุธแบบที่ว่าขึ้นมาได้
…
หลังจากซ้อมยิงเสร็จ ยานฉินหลิ่งก็เดินทางกลับไปจอดเทียบท่าที่สถานีอวกาศเลอเกรนจ์
ในที่สุดผู้บัญชาการซุนหลี่เว่ยก็ยอมมอบยานฉินหลิ่งให้ลู่โจวด้วยความมั่นใจ ยอมให้นักวิชาการหนุ่มทดลองได้ตามใจต้องการ
หลังจากที่ลู่โจวเดินทางขึ้นยานฉินหลิ่งมา เขาก็ขอให้กัปตันเติ้งส่งเขากลับไปที่เทียนโจว แล้วเขาก็นั่งกระสวยอวกาศกลับจินหลิง
เขายังเหลืองานอีกมากมายให้ทำ เลยไม่มีเวลาให้เสียมาก
นอกจากเรื่องลิฟต์อวกาศและการปรับปรุงเครื่องยนต์ควบคุมความเร็วแล้ว เขายังต้องวิจัยระบบทางหลวงระหว่างดาวเคราะห์อีกด้วย ถึงอันที่จริงการปรับปรุงเครื่องยนต์ควบคุมความเร็วกับระบบทางหลวงระหว่างดาวเคราะห์จะมีความเกี่ยวข้องกันอยู่ในระดับหนึ่ง แต่ทั้งคู่ก็ไม่ใช่หัวข้อที่ทำเสร็จได้ง่ายๆ เลย
และนอกจากจะต้องใช้การคำนวณหลายขั้นตอนแล้ว…
ยังต้องใช้ความอดทนอีกด้วย…
แล้วเวลาก็ผ่านไปอีกหนึ่งเดือน เผลอแป๊บเดียวก็เป็นเดือนมิถุนายนแล้ว
ลู่โจวนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานในแล็บ จ้องมองชิ้นส่วนแวววาวที่กระจัดกระจายอยู่รอบพิมพ์เขียวโฮโลแกรม เขาเอามือเกาหัว เริ่มรู้สึกจะปวดหัวแล้วสิ
“น่ารำคาญชะมัดเลย…”
พัฒนาวาร์ปไดรฟ์น่ะง่ายจะตายไป ปัญหาอยู่ที่การคำนวณกับการเลือกช่องทางไฮเปอร์สเปซต่างหาก ตอนนี้เลเวลวิทยาการสารสนเทศของเขาอยู่ที่เลเวล 10 ด้วยความช่วยเหลือจากเสี่ยวไอทำให้เขาสามารถดัดแปลงโมดูลการคำนวณวาร์ปไดรฟ์และรวมกับเครื่องประมวลผลควอนตัมมัลติคอร์ในเครื่องยนต์ได้ ซึ่งก็แก้ปัญหาได้แล้ว
แต่สตาร์เกทของทางหลวงระหว่างดาวเคราะห์ยังเป็นปัญหาอีกเรื่องหนึ่ง…
การใช้เส้นตรงถาวรไม่กี่เส้นเชื่อมดาวเคราะห์ที่ตำแหน่งเปลี่ยนไปตามเวลาจริงทำให้ลู่โจวปวดหัวของจริง
เขาเหลือบไปมองปฏิทิน ในขณะที่เขารู้สึกว่าเวลากำลังไหลผ่านไปนั้นเอง ช่องสื่อสารก็เด้งขึ้นมาข้างๆ
เป็นช่องสื่อสารที่ส่งมาจากนักวิชาการเกอ ลู่โจวปิดระบบโฮโลแกรมตรงหน้า หยิบเทอร์มินอลส่วนตัวของเขาขึ้นมา แล้วเดินตรงไปที่เลานจ์ข้างๆ เพื่อกดปุ่มรับสาย
พอต่อวิดีโอคอลได้ ใบหน้าของนักวิชาการเกอฮ่วยจือก็โผล่ขึ้นมาตรงหน้าลู่โจวทันที เขาดูเหมือนมีบางอย่างจะพูด ใบหน้าของเขาเป็นสีแดง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ดูเหมือนเขาแทบจะอยากคลานออกมานอกวิดีโอคอลแล้ว
“ลู่…นักวิชาการลู่!”
“รอบนี้มีปัญหาอะไรอีกครับ? ใจเย็นๆ ก่อน”
“ไม่ ไม่ใช่ปัญหา! เรื่องดีต่างหาก!”
ลู่โจวนั่งลงตรงโซฟา เขามองชายสูงวัยที่ดูจะเริ่มสติไม่คงที่
ลู่โจวอยากจะยื่นน้ำสักแก้วให้คนที่คุยด้วยเสียหน่อย แต่ก็รู้ดีว่านักวิชาการเกอฮ่วยจือเป็นแค่ภาพโฮโลแกรม
“อะไรเหรอครับ? ไม่ต้องรีบนะ ค่อยๆ พูดก่อน”
“ลิฟต์อวกาศ!”
หลังจากสูดลมหายใจไปเฮือกใหญ่ นักวิชาการเกอก็ใจเย็นลงได้ เขายังมองลู่โจวด้วยความตื่นเต้น เกอฮ่วยจือเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ระยะแรกของโปรเจกต์พวกเราสำเร็จแล้ว!”