Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1626 กลับสู่จุดเริ่มต้น
- Home
- Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ
- ตอนที่ 1626 กลับสู่จุดเริ่มต้น
“ไม่จำเป็นต้องโชว์นี่ให้ผมดูหรอก”
นิ้วของหลี่กวงหยาปัดผ่านหน้าจอโฮโลแกรม เขากำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานระหว่างที่เขาเอาข้อเสนอยาว 20 หน้าใส่ลงในถังขยะ
ข้อเสนอยาว 20 หน้าหรือคำร้องนี้ถูกส่งมาจากดาวอังคาร
เนื้อหาหลักสามารถสรุปออกมาได้ภายในสองประโยค
นั่นก็คือ เพื่อที่จะสร้างสายการจัดส่งสำหรับขนส่งทรัพยากรน้ำระหว่างดวงจันทร์ยูโรปากับแถบดาวเคราะห์น้อยและดาวอังคาร เจ้าหน้าที่เมืองเทียนกงจึงหวังที่จะมีกองกำลังป้องกันติดอาวุธเป็นของตัวเอง
พูดสั้นๆ คือ พวกเขาหวังที่จะสร้างกองทัพป้องกันดาวอังคารในระบบสุริยะ เหมือนกับกองทัพชุดที่สองของพาน-เอเชีย เพื่อต่อสู้กับยานอวกาศที่เคลื่อนไหวอยู่ระหว่างแถบดาวเคราะห์น้อยกับดาวอังคาร
ด้วยความสัตย์จริงหลังจากที่เห็นข้อเสนอเช่นนั้น หลี่กวงหยาไม่เพียงแต่แปลกใจแต่ยังรู้สึกขบขันด้วย
ในฐานะประธานของสหการพาน-เอเชียน ตราบใดที่สมองของเขายังทำงานอยู่ เขาก็จะไม่ยอมอนุมัติให้ข้อเสนอไร้สาระเช่นนี้ผ่านไปอย่างแน่นอน อิสรภาพของอาณานิคมดาวอังคารเป็นปัญหาที่ตกค้างมาจากประวัติศาสตร์ ถ้าสิทธิในการป้องกันได้รับการอนุมัติ ชาวดาวอังคารก็จะกลายเป็นแค่เพียงมนุษย์ต่างดาวเผ่าพันธุ์หนึ่ง
อีกอย่างคือยังไม่มีใครรู้ว่าโจรสลัดอวกาศในแถบดาวเคราะห์น้อยถูกสร้างขึ้นและได้ทุนมาจากชาวดาวอังคารเอง
อย่างไรก็ตาม เท่าที่เขารู้มา นิวลอนดอนแห่งกลุ่มพันธมิตรทะเลเหนือและนิวปารีสแห่งกลุ่มพันธมิตรไอบีเรีย-ฝรั่งเศสได้กลายเป็นศูนย์กลางการค้าตลาดมืดที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะทั้งหมด โดยพื้นฐานแล้วสินค้าที่ถูกปล้นมาทั้งหมดจะถูกนำมาขายที่นี่ มีแม้กระทั่งตลาดสินค้าล่วงหน้าสำหรับสินค้าที่ถูกขโมยมา
และนี่เป็นความลับที่รู้กันทั่วไป
“ผมคิดว่าเราควรจะจัดการปัญหานี้ด้วยความระมัดระวัง” เลขานุการเหว่ยพูดขึ้น เขายืนอยู่ที่โต๊ะทำงานและมองดูประธานผู้วางเฉยด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “แน่นอนว่าเราไม่สามารถจะให้การยินยอมกับความต้องการประเภทเหล่านี้ได้ แต่ถ้าคุณไม่ปฏิเสธอย่างระมัดระวัง การตอบของคุณต่อคำร้องของอาณานิคมเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นอาวุธสำหรับประชาชนที่มีจุดประสงค์ซ่อนเร้น”
“ถ้าคุณเองก็รู้เรื่องนี้ แน่นอนว่าผมก็รู้แล้วเช่นกัน”
หลังจากโบกมือ หลี่กวงหยาก็ยกข้อนิ้วชี้ขึ้นมาวางไว้ใต้จมูก หลังจากนั้นคิดอยู่พักหนึ่ง เขาก็พูดขึ้นมาว่า
“ผ่อนคลายเถอะ ผมยอมรับว่าเมื่อไม่นานมานี้ผมอาจจะหยิ่งยโสไปหน่อย แต่ผมไม่เคยทำการตัดสินใจที่หุนหันพลันแล่นเลย… ผมจะตอบประเด็นนี้ไปอย่างระมัดระวัง นอกจากนี้เราก็ต้องระมัดระวังเจ้าโง่พวกนั้นที่คิดเรื่องแผนนี้อยู่ คุณมีคำแนะนำดีๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ไหม?”
“เราสามารถเริ่มต้นจากสองแนวคิด” เหว่ยซงครุ่นคิดสักพักแล้วพูดต่อไปว่า “ในทางหนึ่งคือ เริ่มให้ทหารซ้อมรบพร้อมด้วยการต่อต้านการโจรกรรมโดยให้เป็นประเด็นหลัก และอีกทางหนึ่งคือ ส่งกองทหารรักษาการณ์ป้องกันเพิ่มเติมไปยังเมืองเทียนกง ด้วยวิธีนี้ความกังวลของอาณานิคมเกี่ยวกับโจรสลัดอวกาศก็จะถูกกำจัดออกไปได้ และมันยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมอาณานิคมของเราได้ด้วย… เพื่อเตรียมการสำหรับแผนในอนาคต”
แผนอนาคตดังกล่าวนั้นมีขึ้นเพื่อที่จะถอนอิสรภาพกลับคืนมาโดยธรรมชาติและสร้างอำนาจควบคุมขึ้นมาโดยตรง
ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ยอมให้อิสรภาพแก่อาณานิคมดาวอังคาร รวมถึงเมืองเทียนกงด้วย หลักๆ แล้วก็เพราะระยะห่างในการสื่อสารนั้นไกลเกินกว่าจะทำการตัดสินใจเกี่ยวกับสถานการณ์ของอาณานิคมแบบเรียลไทม์ ดังนั้นรูปแบบอำนาจการควบคุมแบบปกครองตนเองในระดับสูงจึงเกิดขึ้นมา
อย่างไรก็ตามในช่วงปีหลังๆ นี้ ด้วยจำนวนเที่ยวบินที่มาและไปจากดาวอังคารที่เพิ่มขึ้นและความถี่ของการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและการค้าที่เพิ่มขึ้นระหว่างดาวอังคารกับโลก รูปแบบการปกครองตนเองในระดับสูงนี้จึงกลายเป็นข้อบกพร่อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ที่เทคโนโลยีความเร็วแบบวาร์ปถูกค้นพบ ฉินหลิ่งเป็นตัวนำในการทำให้การขนส่งที่เร็วกว่าแสงครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษย์เสร็จสมบูรณ์ ในอนาคตอันใกล้ ปัญหาของการสื่อสารที่เร็วกว่าแสงอาจจะได้รับการแก้ไขด้วย ซึ่งก็จะช่วยให้สหการพาน-เอเชียนได้รับอำนาจการควบคุมเมืองเทียนกงโดยตรงกลับคืนมา
หลังจากได้ยินคำพูดของเหว่ยซง หลี่กวงหยาก็ทำสีหน้าคิดหนัก
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน เขาก็พูดขึ้นว่า
“ติดต่อคณะกรรมาธิการทางทหาร พรุ่งนี้เวลานี้ ผมหวังว่าจะเห็นทุกคนในห้องประชุม ไปตามหาผู้บัญชาการซุน ขอให้เจ้าหน้าที่ทำการค้นคว้าล่วงหน้าว่าการสร้างการสู้รบแบบไหนที่ควรจะนำเข้ามาเกี่ยวข้องในการซ้อมรบและควรจะส่งหน่วยไหนไป เราควรจะขยายการป้องปรามเชิงยุทธศาสตร์ของเราบนดาวอังคารระหว่างที่ตอบสนองความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยของพวกเขา”
เหว่ยซงพูดอย่างจริงจังว่า “เข้าใจแล้วครับ”
หลี่กวงหยาพูดว่า “จริงๆ ประเด็นนี้ไม่ใช่เรื่องด่วน โฟกัสเรื่องงานปัจจุบันของเรายังอยู่ที่เรื่องลิฟต์อวกาศและสตาร์เกทที่กำลังจะเริ่มทำการก่อสร้าง ความสัมพันธ์ของเรากับอาณานิคมนั้นเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นพยายามหลีกเลี่ยงการสร้างปัญหากับพวกเขา”
หลังจากพยักหน้า เหว่ยซงก็กำลังจะหันหลังกลับและออกไป
แต่ในขณะนั้นเอง จู่ๆ เขาก็นึกอะไรบางอย่างออก
เขาชะงักและพูดขึ้นว่า “จะว่าไปแล้ว ผมต้องรายงานเรื่องบางอย่างให้คุณทราบ”
หลังจากเงยหน้าขึ้น หลี่กวงหยาก็เหลือบมองเขาด้วยความสงสัย
“มีอะไรเหรอ?”
“เมื่อไม่นานมานี้ จู่ๆ มูลนิธิที่มีชื่อเสียงมากมายของระบบดาวที่จดทะเบียนอยู่บนดาวอังคารก็เริ่มที่จะระดมทุนขนานใหญ่พร้อมกับมีแผนจะสร้างยานอาณานิคม” เหว่ยซงพูดต่อหลังจากเงียบไป “โดยเฉพาะมูลนิธิสำรวจอาณานิคมดาวอัลฟาเซนทอรีที่โด่งดังจากการขายตั๋วและตราสารหนี้ล่วงหน้า ระดมทุนได้เกือบหนึ่งแสนห้าหมื่นล้านเครดิตพอยท์”
“ยานอาณานิคม?” หลี่กวงหยาขมวดคิ้วนิดๆ แล้วเขาก็ส่ายหัวและพูดว่า “เรื่องการเงินไม่ได้อยู่ในความควบคุมของผม อีกเดี๋ยวผมจะไปคุยกับแผนกควบคุมดูแลด้านการเงิน”
เหว่ยซงหัวเราะอย่างขมขื่นและพูดต่อว่า “เรื่องสำคัญไม่ใช่เงินหรอกครับ… แต่เป็นนักวิชาการลู่”
หลี่กวงหยาอึ้งไปเล็กน้อย
“นักวิชาการลู่เหรอ?”
“ใช่ครับ” เหว่ยซงพูดต่อพร้อมกับทำสีหน้าประหลาด “เขาดูเหมือนจะทิ้งเด็กฝึกงานไว้ข้างหลังและบินไปดาวอังคารลำพังเพื่อเข้าร่วมงานนิทรรศการศิลปะที่จัดโดยมูลนิธิสำรวจอาณานิคมดาวอัลฟาเซนทอรี…”
เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะลดเสียงลง
“เขาอาจจะจริงจัง…”
ออฟฟิศตกอยู่ในความเงียบ
หลังจากเวลาผ่านไปนาน หลี่กวงหยาก็ทำลายความเงียบขึ้นมา
“ชายผู้ยิ่งใหญ่เช่นเขาสามารถส่งอิทธิพลต่อเส้นทางของประวัติศาสตร์ได้ ไม่ว่าเขาจะเลือกตัดสินใจแบบไหน มันก็อยู่เหนือการควบคุมของเรา”
เขาถอนหายใจเบาๆ เห็นได้ชัดว่าเขาเหนื่อยนิดหน่อย ราวกับว่าเขากำลังเผชิญกับปัญหาที่ยากยิ่งกว่าการที่อาณานิคมดาวอังคารร้องขอระบบการป้องกันตัวเอง
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน เขาก็ยอมแพ้และโบกมือ
“ต่อไปคุณไม่ต้องรายงานเรื่องแบบนี้ให้ผมฟังหรอก ปล่อยให้เขาทำสิ่งที่เขาอยากทำไปเถอะ”
…
“ฮัดชิ่ว!”
หลิงจ้องมองลู่โจวที่จามออกมาโดยไม่เตือนล่วงหน้า เขาหยุดรถสำรวจและมองมาที่ลู่โจวด้วยความสงสัย
” คุณเป็นหวัดเหรอครับ?”
“เปล่า ผมเดาว่าใครบางคนกำลังนินทาผมลับหลัง…” หลังจากสั่งน้ำมูกออกมาอย่างแรง ลู่โจวก็ยื่นมือออกไปแตะบนอินเตอร์เฟสโฮโลแกรม เขาเช็ดละอองน้ำด้านในหมวกกันน็อกและถามว่า “เราถึงที่นั่นหรือยัง?”
หลิงพยักหน้าและจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างรถ
“ถึงแล้วครับ”
พวกเขาอยู่ที่เหมืองร้างที่หุบเขาทรุดแห่งหนึ่ง หนึ่งกิโลเมตรทางตะวันออกของเดอะเกตส์ออฟเฮลล์ ที่ซึ่งทุกอย่างเริ่มต้นขึ้น
ป้ายของฮิดเดลล์ มายนิ่ง ยังแขวนอยู่ที่ทางเข้าของเหมือง แต่เมื่อเทียบกับครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นมัน ร่องรอยจุดด่างดำและการสึกกร่อนเห็นได้ชัดเยอะขึ้นกว่าเดิม
ลู่โจวสัญญากับนายพลเรนฮาร์ทว่าเขาจะกลับมาหลังจากที่เขาจัดการธุระต่างๆ บนโลกแล้ว แม้ว่าจะยังมีเวลาเหลืออยู่บ้างก่อนถึงวันออกเดินทาง แต่เขาก็พร้อมจะเริ่มเตรียมการแล้ว
นอกจากนี้เขาก็ยังมีหลายสิ่งที่ต้องถามนายพลเกี่ยวกับความลึกลับของสตาร์เกท
ลู่โจวกระโดดออกจากรถสำรวจ ขณะที่เขายังยืนอยู่ด้านหน้าเหมืองเก่า เขาก็อดที่จะแสดงสีหน้ารำลึกถึงความหลังออกมาไม่ได้
เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ
ผ่านมาหนึ่งปีครึ่งแล้ว
ตลอดช่วงเวลานี้ฉันได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของโลกภายใต้อิทธิพลของความรู้ของฉันเองและได้พบผู้คนที่น่าสนใจมากมาย และฉันยังได้พบกับทายาทของฉันและเด็กผู้หญิงที่ฉันส่งมาที่อนาคต…
ลู่โจวกลืนน้ำลายนิดๆ เขาดูเหมือนมีบางอย่างจะพูด
“หลิง”
หลิงจ้องมองลู่โจวอย่างสงสัยขณะที่เขาตอบว่า
“ครับ”
ลู่โจวผู้ซึ่งมีบางอย่างจะพูด จู่ๆ ก็ปิดปากเงียบไปด้วยเหตุผลบางอย่าง
หลังจากเงียบไปสักพัก เขาก็เงยหน้าขึ้นไปมองความมืดมิดในถ้ำด้านบนพร้อมๆ กับยิ้มออกมา
“ไม่มีอะไรหรอก… นำทางที”
ลูกตาสีแดงของหลิงกะพริบนิดๆ เหมือนหิ่งห้อยสองตัว
จากนั้นเขาก็พยักหน้าเบาๆ ก้าวไปข้างหน้า และมายืนอยู่ข้างหน้าลู่โจว
“ได้ครับ”
………………………..