Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1629 ‘พลาด’ อีกแล้ว?
ในเขตอุตสาหกรรมเมืองเทียนกง เหล่าสินค้าที่ผลิตขึ้นในอุตสาหกรรมไม่รู้จบเคลื่อนไปเคลื่อนมาบนสายพานลำเลียงเฉพาะ
นี่เป็นหัวใจแห่งอาณานิคมดาวอังคารของสหการพาน-เอเชียนและกระเพาะของสหการพาน-เอเชียนทั้งหมด ตั้งแต่ตะเกียบบนโต๊ะอาหารของเหล่าพลเมืองพาน-เอเชียนไปจนถึงกระบอกปืนของกองทัพชุดแรก วัสดุสิ้นเปลืองทั้งหมดที่คนจะคิดออกได้นั้นล้วนแต่ผลิตขึ้นที่นี่
เพราะสายพานลำเลียงสามมิติและท่อขนส่งแทบจะเติมเต็มพื้นที่ทั้งหมด โรงงานและโรงผลิตต่างๆ ถูกจัดเรียงกันอย่างใกล้ชิดเหมือนกับเซลล์ ทำให้สถานที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ที่สลับซับซ้อนที่สุดในเมืองเทียนกงทั้งหมด
เพราะโครงสร้างเช่นนี้ที่ทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด นักท่องเที่ยวมากมายจึงหัวเราะเยาะกันว่ามันเป็นเหมือนสุดยอดโรงงานที่แสดงอยู่ในโลกที่ไม่พึงปรารถนา
มันดูราวกับว่าฝุ่นทุกตารางนิ้วที่ถูกส่งมาที่นี่จะถูกแปรรูปเป็นสิ่งที่ผู้คนต้องการ
ในส่วนโรงงานที่ถูกจัดเรียงกันอย่างหนาแน่นนี้ พื้นที่ที่สะดุดตาที่สุดก็คือสวนการผลิตของอีสต์เอเชียเฮฟวีอินดัสตรีส์อย่างไม่ต้องสงสัย
สวนทั้งหมดตั้งอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของเขตอุตสาหกรรม จุดเชื่อมต่อจราจรและถนนสายหลักต่างๆ เกือบ 80% ในเขตอุตสาหกรรมทั้งหมดเชื่อมต่อกับพื้นที่นั้นทั้งทางตรงและทางอ้อม
ด้วยเหตุนี้จึงมีข่าวลือต่างๆ แพร่กระจายในอุตสาหกรรมว่าแม้อีสต์เอเชียเฮฟวีอินดัสตรีส์จะไม่ได้ผลิตสินค้าส่วนใหญ่ แต่ถ้าไม่มีอีสต์เอเชียเฮฟวีอินดัสตรีส์ คนในเมืองเทียนกงก็คงจะสินค้าอะไรให้ใช้
ในฐานะผู้จัดการทั่วไปของสวนอีสต์เอเชียเฮฟวีอินดัสตรีส์ทั้งหมด จ้าวรุ่ยเฉิงเป็นชายผู้ซึ่งยืนอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อุตสาหกรรมของดาวอังคารทั้งหมดอย่างไม่ต้องสงสัยเลย ผู้คนที่เขาเข้ามาติดต่อด้วยในทุกวันเป็นคนมีชื่อเสียงหรือไม่ก็ผู้มีตำแหน่งสูงของยุคนี้
โดยพื้นฐานแล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่คนธรรมดาจะได้เจอเขาโดยไม่มีการแนะนำ และเขาก็ไม่ได้คร้านที่จะไปพบนักธุรกิจเล็กๆ ด้วยตัวเอง
ยกตัวอย่างเช่น มิสเตอร์แกล็ดสโตน ผู้จัดการของมูลนิธิสำรวจอาณานิคมดาวอัลฟาเซนทอรีเหมาะกับประเภท ‘นักธุรกิจขนาดเล็ก’ อย่างไม่ต้องสงสัย
ผ่านมาเกือบห้าปีแล้วนับตั้งแต่เขาถูกส่งจากสำนักงานใหญ่มาที่อาณานิคมดาวอังคาร ตลอดห้าปีนี้เขาไม่เคยได้ยินเรื่องพ่อค้ากลุ่มพันธมิตรทะเลเหนือที่ชื่อแกล็ดสโตนเลย
แม้ว่าล่าสุดองค์กรของอาณานิคมจะกำลังเริ่มมีเสถียรภาพแล้วจริงๆ แต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนความคิดของจ้าวรุ่ยเฉิงไป
อย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้นำในการจัดการฐานการผลิตหลักของอีสต์เอเชียเฮฟวีอินดัสตรีส์ ไม่มีใครจะรู้ดีไปกว่าเขาว่าวาร์ปไดรฟ์นั้นมาไกลกว่าที่พลเมืองใช้แค่ไหน…
“วาร์ปไดรฟ์?”
ขณะที่มองชายจมูกใหญ่ที่สวมชุดสูทและรองเท้าหนังด้านหน้าเขา จ้าวรุ่ยเฉิงก็ขมวดคิ้วและพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างจะหงุดหงิดว่า “ขอโทษนะครับ พิมพ์เขียวดีไซน์เฉพาะของวาร์ปไดรฟ์ยังอยู่กับนักวิชาการลู่ เราได้มาแค่แผนการออกแบบขั้นต้นและข้อกำหนดสำหรับการเปลี่ยนสายการผลิต ก่อนที่จะเข้าใจเทคโนโลยีนี้ได้ทั้งหมด เราไม่มีแผนจะนำมันเข้าสู่ตลาด และนักวิชาการลู่ก็ไม่ได้แนะให้เราทำอย่างนั้นเช่นกัน”
หลังจากได้ยินข่าวแล้วแกล็ดสโตนก็อึ้งไปเล็กน้อย เขาก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่คาดไม่ถึงและน้ำเสียงที่ไม่อยากเชื่อว่า “สิ่งที่คุณ… คุณแน่ใจเหรอว่ามันเป็นแค่แผนการออกแบบ?”
“แน่ใจครับ… ทำไมคุณถึงถามเรื่องนี้?” จู่ๆ ดวงตาของจ้าวรุ่ยเฉิงก็ตื่นตัวขึ้นมา เขามองไปที่ชายผู้นั้นตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วเขาก็หรี่ตาลงนิดๆ “นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น เราไม่สามารถจะทำวาร์ปไดรฟ์ได้ ถ้าคุณไม่ไปหานักวิชาการลู่ คุณก็ต้องกลับบ้าน”
แกล็ดสโตนยิ้มออกมาอย่างอายๆ ระหว่างที่เขายกมือยกไม้เป็นเชิงขอโทษ
“ขออภัยด้วยครับ ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้คุณไม่พอใจ ส่วนเรื่องนี้ผมก็แค่ได้ยินข่าวลือมา”
“ข่าวลืองั้นเหรอ?” จ้าวรุ่ยเฉิงยิ้มอย่างเย็นชา เขาเชิดคางขึ้นเล็กน้อยและพูดว่า “ผมได้ยินข่าวลือมาเยอะ อย่างเช่น มีบางบริษัทขายตั๋วปลอมเป็นแสนใบโดยมี ‘ข่าวลือ’ ว่าพยายามที่จะใช้ชื่อของนักวิชาการลู่เพื่อที่จะหลอกลวงประชาชน”
“คุณดูถูกความฝันของผมได้ แต่คุณจะมาดูถูกศีลธรรมของผมไม่ได้ ผู้จัดการจ้าว ผมจะใช้การกระทำของผมเพื่อพิสูจน์ว่าตั๋วไปดาวอัลฟาเซนทอรีไม่ใช่เรื่องหลอกลวง”
จ้าวรุ่ยเฉิงเหลือบมองมาที่เขาด้วยใบหน้าที่เฉยเมยและยิ้มเยาะเบาๆ
“งั้นผมก็ขอให้คุณโชคดี”
หลังจากออกจากออฟฟิศของจ้าวรุ่ยเฉิงไป แกล็ดสโตนที่มีเลขานุการกับคนคุ้มกันติดตามมาด้วยก็ออกจากสวนอุตสาหกรรมของอีสต์เอเชียเฮฟวีอินดัสตรีส์ไป
เมื่อเขาหันกลับมามองประตูที่ปิดลง คิ้วของเขาก็ค่อยๆ ย่น
“พิมพ์เขียวไม่ได้ถูกส่งไปที่โรงงาน? เรื่องนี้มันเป็นไปได้ยังไง…”
หลังจากพึมพำกับตัวเองอยู่ไม่กี่คำ แกล็ดสโตนก็ยื่นนิ้วชี้ออกไปแล้วแตะบนข้อมือซ้ายของเขาเบาๆ วิดีโออินเตอร์เฟสที่มองเห็นได้จากแว่นตา AR ของเขาเท่านั้นก็ปรากฏขึ้นมา เขาเปิดสมุดที่อยู่และหมุนตัวเลข
ไม่นานการโทรก็เชื่อมต่อกัน
ชายซึ่งปรากฏอยู่ในหน้าต่างวิดีโอไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเสี่ยวหง นายกเทศมนตรีของเมืองเทียนกง
เมื่อมองมาที่กล้อง นายกเทศมนตรีเสี่ยวก็พูดด้วยน้ำเสียงที่พอใจว่า “เป็นยังไงบ้าง? คุณเจอจ้าวรุ่ยเฉิงหรือเปล่าล่ะ?”
“มีปัญหากับ Intel พิมพ์เขียวไม่ได้ถูกส่งมาที่นี่เลย”
หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ นายกเทศมนตรีเสี่ยวนิ่งไปชั่วครู่ เขาขมวดคิ้วและถามว่า “จ้าวรุ่ยเฉิงบอกเหรอว่ามันไม่ได้อยู่ที่นี่หรือว่ามันไม่ได้อยู่ที่นี่จริงๆ?”
“เขาดูเหมือนไม่ได้โกหกนะ แต่เพื่อความปลอดภัย ผมจะส่งคนไปยืนยัน”
“นั่นน่าจะเป็นการดีที่สุดแล้ว ผมจะจัดการให้คนไปพบนักวิชาการลู่ด้วย” นายกเทศมนตรีเสี่ยวพยักหน้า หลังจากครุ่นคิดสักครู่ เขาก็พูดว่า “ถ้าเขามีแบบ ถ้าจำเป็นเราก็สามารถพิจารณาทางออกอีกทางหนึ่งได้”
“คุณกำลังจะบอกว่า…”
นายกเทศมนตรีเสี่ยวไม่ได้พูดแต่ตอบคำถามนั้นด้วยสายตา
แกล็ดสโตนยิ้มออกมาขณะพูดขึ้นเบาๆ ว่า “ผมเข้าใจครับ”
…
หลังออกมาจากกองบัญชาการสำนักงานความมั่นคง หวังเผิงพยายามที่จะติดต่อลู่โจว อย่างไรก็ตามไม่ว่าเขาจะโทรไปกี่ครั้ง เสียงเดียวที่ก้องอยู่ในหูของเขาก็คือ “ปลายสายไม่อยู่ในพื้นที่ให้บริการ”
เมื่อรู้สึกว่าบางอย่างผิดปกติ หวังเผิงก็รีบไปที่โรงแรมสตาร์สกายซึ่งลู่โจวพักอยู่ทันที
ในตอนที่เขากำลังเดินไปที่ประตูลิฟต์ ทันใดนั้นเขาก็เห็นใบหน้าหนึ่งที่คุ้นตา ดังนั้นเขาจึงรีบคว้าตัวชายคนนั้นไว้และถามว่า “สวัสดีครับ คุณทราบไหมครับว่านักวิชาการลู่อยู่ที่ไหน?”
เมื่อหันมามองคนแปลกหน้า ใบหน้าของอู๋ฉิงหลายเต็มไปด้วยความงุนงง
“คุณ… กำลังตามหานักวิชาการลู่เหรอครับ?”
“ครับ” หวังเผิงพยักหน้า ดูเหมือนเขาจะกังวลว่าชายผู้นี้จะไม่คิดว่าเขาจริงจัง ดังนั้นเขาจึงเปิดหน้าจอโฮโลแกรมขึ้นมาทันทีแล้วหยิบบัตรประจำตัวฝ่ายรักษาความปลอดภัยอิเล็กทรอนิกส์ของเขาออกมา วางมันลงตรงหน้าศาสตราจารย์อู๋ฉิงหลาย และจากนั้นก็พูดอย่างจริงจังว่า “มันสำคัญมากครับ ผมหวังว่าคุณจะให้ความร่วมมือกับงานของผม”
แม้เขาจะไม่รู้ว่าบัตรประจำตัวของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหน้าตาเป็นยังไง แต่รหัสความปลอดภัยบนใบรับรองของทางการนั้นไม่สามารถที่จะปลอมแปลงกันได้
เมื่ออู๋ฉิงหลายตระหนักได้ว่าเจ้าหน้าที่ของสำนักงานความมั่นคงกำลังถามคำถามเขา ทันใดนั้นเขาก็กลืนน้ำลายอย่างประหม่าและพูดต่อไปว่า “ผมกินมื้อเที่ยงกับเขา ผมจำได้ว่าเขากลับไปที่ห้องหลังจากกินเสร็จ อ้อใช่ เขาส่งข้อความมาบอกผมไว้ว่า ถ้ามีคนจากที่ประชุมตอนบ่ายมาถามหาว่าเขาไปไหน ให้ผมบอกพวกเขาไปแค่ว่าเขาไม่ค่อยสบาย”
หวังเผิงถามว่า “คุณแน่ใจไหมครับว่าเขาไม่ได้ออกไปจากห้อง?”
“ผมจะแน่ใจได้ยังไงครับ?” ศาสตราจารย์อู๋ฉิงหลายพูดด้วยท่าทีที่กระวนกระวาย เขายิ้มอย่างขมขื่นระหว่างที่พูดต่อว่า “คุณอยากจะไปสอบถามที่แผนกต้อนรับด้านหน้าไหมครับ? คุณมาจาก เอ่อ… คุณน่าจะสามารถใช้เทปกั้นที่เกิดเหตุได้ ถูกไหมครับ?”
ในตอนนั้นลิฟต์ก็มาพอดี
หวังเผิงไม่ได้สนใจชายคนนี้อีกต่อไป เขาทิ้งอู๋ฉิงหลายไว้ข้างหลังแล้วรีบเดินเข้าไปในลิฟต์ก่อนจะกดเลขชั้น
ตอนที่ประตูลิฟต์กำลังจะปิดลง อู๋ฉิงหลายอยากจะเข้ามาด้วย แต่เมื่อเห็นว่าชายคนนี้ดูเหมือนจะ ‘รำคาญและโมโห’ เขาก็ลังเลและไม่ได้เลือกที่จะเข้าไปในลิฟต์
เขากลับเปิดหน้าจอโฮโลแกรมปลายทางส่วนตัวของเขาขึ้นมาอย่างเงียบๆ และส่งข้อความสั้นๆ ไปหาลู่โจว
ไม่ว่าเขาจะเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานความมั่นคงจริงหรือไม่ แต่เหตุการณ์นี้ก็ดูท่าจะไม่ถูกต้อง
ลิฟต์ขึ้นไปตามทางและมาถึงจุดหมายอย่างรวดเร็ว
หวังเผิงเดินไปที่ประตูห้องของลู่โจวและยื่นมือออกไปกดกริ่ง
กริ่งประตูดังอยู่นาน แต่ไม่มีการตอบรับจากด้านหลังประตู
หวังเผิงขมวดคิ้วนิดๆ แล้วหยิบบัตรออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วรูดบัตรเบาๆ ที่ประตู
“สถานการณ์เร่งด่วน ขอโทษนะพี่ชาย”
ถ้าเขาเห็นอะไรที่เขาไม่ควรเห็น เขาก็จะขอโทษลู่โจวอย่างจริงใจ เมื่อเทียบกับสิ่งต่างๆ ที่ไม่สำคัญเหล่านั้นแล้ว เขาเป็นห่วงความปลอดภัยของลู่โจวมากกว่า
หลังจากมีเสียงเตือน ประตูก็เปิดออกอย่างรวดเร็ว แต่ห้องนั้นว่างเปล่า
เห็นได้ชัดว่านักวิชาการลู่ไม่ได้อยู่ที่นี่
เขาออกไปข้างนอกงั้นเหรอ?
หวังเผิงกำลังจะปิดประตูและมองไปตรงอื่น แต่จู่ๆ ความรู้สึกแปลกๆ ก็แวบขึ้นมาในใจ
เดี๋ยวก่อน ไม่นะ…
เขาจับจ้องไปที่กระเป๋าเดินทางที่คว่ำอยู่
แล้วเขาก็เลื่อนมือไปอยู่ใกล้อาวุธของเขาและมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง
“ห้องนี้ถูกตรวจค้น…”
มีใครบางคนมาที่นี่ก่อนฉัน!
พวกเขามาค้นห้องของนักวิชาการลู่!
เมื่อตระหนักถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของหวังเผิงเต็มไปด้วยความสับสนขณะที่เขากำหมัดขวาแน่น
“ไอ้สารเลวพวกนี้ควรไปลงนรกซะ…”
มีหลักฐานว่ามีคนลักพาตัวลู่โจวไป!
แต่มันจะเป็นใครได้?
คนจากองค์กรงั้นเหรอ?
จู่ๆ หวังเผิงก็นึกถึงสิ่งที่เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองที่ซ่อนตัวอยู่ในเมืองเทียนกงเคยบอกกับเขา
“เที่ยวบินเอ็น-177 อาจจะเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐของดาวอังคาร…”
หวังเผิงคิดถึงประโยคนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเขาก็ค่อยๆ เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราว
เขาถึงกับตกตะลึง!
“นายกเทศมนตรีเสี่ยวเป็นหนึ่งในสมาชิกขององค์กร! นี่มันเป็นไปได้ยังไง… ไม่สิ ดูเหมือนจะมีคำอธิบายแค่อย่างเดียว”
ถ้านี่เป็นเรื่องจริง อย่างนั้นเบาะแสทั้งหมดที่เขามีก็สามารถเชื่อมโยงกันได้แล้ว
เครื่องบินที่ชนเมื่อปีก่อนไม่ใช่การโจมตีแบบก่อการร้ายแต่เป็นการฆาตกรรมที่ได้รับการวางแผนมาอย่างรอบคอบ!
นายกเทศมนตรีเสี่ยวน่าจะเหมือนกับซงหยางเหว่ย ผู้ซึ่งถูกใครสักคนจากองค์กรจิตวิญญาณแห่งจักรวาลซื้อตัวมา หรือไม่เขาก็เป็นสมาชิกองค์กรเสียเอง เพราะนี่เป็นความลับที่ไม่สามารถพูดออกมาได้ พวกเขาจึงพยายามจะฆ่าลู่โจวทุกวิถีทาง แม้ว่าจะผ่านมาหนึ่งศตวรรษแล้ว…
หวังเผิงไม่รู้ว่าทั้งหมดทำไปเพื่ออะไร เขาไม่รู้ว่าสมาชิกองค์กรถูกครอบงำแบบไหนถึงได้มุ่งมั่นขนาดนี้แม้จะผ่านมาเป็นศตวรรษ เขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าทำไมพวกเขาถึงพุ่งเป้าไปที่ลู่โจว
ในตอนนี้มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่เขามองหา
“ถ้าพวกมันต้องการจะทำร้ายเขา…”
รอยยิ้มอันเหี้ยมโหดค่อยๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขาขณะที่ลูกตาสีเข้มของเขาฉายแววแห่งความเดือดดาล
“เช่นนั้นพวกมันก็ต้องข้ามศพฉันไปก่อน!”
นี่ไม่ใช่งานของเขาหรือภาระหน้าที่ในฐานะเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคง
แต่นี่เป็นภารกิจชีวิตของเขาตั้งแต่ร้อยปีที่แล้ว…