Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1634 ต่อสู้
“พวกแกเอาเขาไปไว้ที่ไหน?”
วินาทีที่พวกเขาได้ยินคำพูดเหล่านี้ ผู้ชายที่ถูกเรียกว่าเจ้านายก็หันปากกระบอกปืนไปที่ทิศทางของเสียงนั้นโดยไม่รู้ตัว
แต่ทว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้น เขาเห็นแค่บางสิ่งที่มีขนาดเท่ากับกระป๋องลอยผ่านประตูและกลิ้งเข้ามาในห้อง
วินาทีที่เขาเห็นสิ่งนั้นลูกตาของเขาก็หดเล็กลงในฉับพลัน เขาเกิดความรู้สึกกลัวขึ้นในใจ แต่มันสายเกินไปที่จะแสดงออกมา
เปลวไฟระเบิดทำให้ผู้ก่อเหตุส่วนใหญ่ในบ้านได้รับบาดเจ็บในทันที ชายที่ถูกเรียกว่าเจ้านายเหนี่ยวไกปืนในมืออย่างรวดเร็วและสาดกระสุนใส่ประตู
เขาเห็นร่างที่อาบไปด้วยเลือด
อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะมีเวลาได้ตื่นเต้น วินาทีที่เขาเห็นใบหน้านั้นชัดๆ ใจของเขาก็ตกลงไปที่ตาตุ่ม
ใบหน้าเปื้อนเลือดนั้นไม่ใช่ใบหน้าของผู้บุกรุกแต่เป็นเพื่อนร่วมงานของเขาที่เขาจัดให้คอยเฝ้าประตูไว้
เขาไม่มีเวลาให้ตั้งตัว แม็กกาซีนปืนของเขาว่างเปล่า เขาดึงแบตเตอรี่ออกมาจากข้างลำกล้องปืน และใช้ศพที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นเหมือนโล่มนุษย์และเข้าปะทะ
หลังจากยิงไปไม่กี่นัด พวกผู้ก่อเหตุที่ยืนอยู่ข้างเขาร้องครวญครางก่อนจะล้มลงกับพื้น
แข็งแกร่งมาก!
ไม่ ไม่ใช่แค่แข็งแกร่งหรอก…
เจ้านี่มันเป็นมนุษย์จริงหรือเปล่า?
มีคลื่นของความหวาดกลัวขึ้นมาในใจของเขาขณะที่เขาดึงลูกระเบิดออกมาอย่างสิ้นหวัง เขาขว้างมันไปข้างหน้า และรีบหลบไปด้านข้าง
คลื่นความร้อนของระเบิดพัดผ่านหลังของเขา ตามมาด้วยเสียงร้องครวญครางของเพื่อนร่วมทีมของเขาที่ดังออกมาจากช่องสื่อสาร ก่อนที่เขาจะได้เห็นโศกนาฏกรรมในสนามรบ เขาก็รีบไปที่ประตูโลหะด้านข้าง วิ่งตรงไปที่นั่นด้วยพลังอันเต็มเปี่ยมของชุดเกราะของเขา
มีสิ่งเดียวที่เขาอยากจะทำและนั่นก็คือการหนีไปจากที่นี่…
อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุดความหวังของเขาก็ดับลง
มีมือหนึ่งคว้าเขาไว้จากข้างหลัง และมีแรงมหาศาลกระชากเท้าเขาลงกับพื้น
แล้วเขาก็รู้สึกเหมือนว่าคอของเขาถูกรถบรรทุกลากไป ร่างของเขาซึ่งมีชุดเกราะหนัก 300 กิโลกรัมด้วย ถูกเหวี่ยงเข้ากับกำแพง
“เวรเอ๊ย…”
ด้วยพละกำลังที่เขาใช้จนหมดเกลี้ยง เขาชักปืนออกมาจากเอว แต่ก่อนที่เขาจะได้เล็งปากกระบอกปืนไปที่ใคร กริชเล่มหนึ่งที่พุ่งเข้ามาก็ผ่าลำกล้องปืนออกเสียก่อน
เขาปล่อยด้ามปืนพร้อมกับร้องอย่างเจ็บปวด ก่อนที่เขาจะได้ตั้งตัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก็มีมือหนึ่งคว้าคอของเขาไว้
เลือดที่หยดออกมาจากหน้าผากบดบังการมองเห็นของเขา เขามองไปที่ชายคนนั้นด้วยความหวาดกลัว เขาใช้พละกำลังทั้งหมดแล้วบีบเค้นคำพูดออกมาจากลำคอ
“แกเป็นใคร…?”
“ไม่ใช่กงการอะไรของแก” หวังเผิงพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นหลังจากปิดการทำงานของชุดเกราะและมองมาที่กลุ่มผู้ก่อเหตุที่ยังหายใจอยู่ “ตอบคำถามฉันมาเดี๋ยวนี้”
“แกอยากจะรู้อะไร…? ฉันก็แค่เก็บเงินและทำธุรกิจ ตราบใดที่แกยินดีจะปล่อยฉันไป ฉันจะบอกแกทุกอย่าง”
“นักวิชาการลู่อยู่ไหน?”
“ฉันไม่รู้… อ๊าก อ๊าก อ๊าก!” กริชถูกแทงเข้าไปที่ไหล่ของเขา และเขาก็กดตัวอยู่กับกำแพงขณะที่ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด แต่ไม่ว่าเขาจะดิ้นรนสักแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถจะหนีไปได้
“ฉันจะถามแกอีกครั้งว่านักวิชาการลู่อยู่ที่ไหน?”
“ฉันไม่ได้โกหก ฉันไม่รู้จริงๆ—” เมื่อชายตรงหน้าเขาดึงกริชอีกเล่มหนึ่งออกมา เขาก็รีบตะโกนว่า “เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน! ฉันรู้ว่าเขาอยู่ไหน!”
มือของหวังเผิงเคลื่อนไหวช้าลงเล็กน้อย เขามองมาที่ชายคนนั้นอย่างเฉยเมยแล้วทาบกริชไปที่ไหล่ซ้ายของเขา
“ความอดทนของฉันมีจำกัด อย่าพยายามมาเล่นตุกติกกับฉันจะดีกว่า”
ชายคนนั้นชำเลืองมองกริชที่ทาบอยู่กับไหล่ซ้ายของเขาขณะที่กลืนน้ำลายอย่างประหม่าและพูดอย่างรวดเร็วว่า “นายกเทศมนตรีเสี่ยวจ้างเรามา”
“ฉันถามว่านักวิชาการลู่อยู่ไหน”
“เดี๋ยวก่อน! เขาถูกส่งไปที่ศาลากลาง ฉันไม่รู้ตำแหน่งแน่นอน แต่ฉันแน่ใจว่าเขาถูกสั่งไปที่นั่น!”
“ศาลากลาง?”
หวังเผิงขมวดคิ้วและมองมาที่เขาอย่างหวาดระแวง
“นี่แกเล่นสนุกอยู่เหรอไง?”
“ฉันเปล่า! ฉันสาบานได้!”
บอริสทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาเป็นแค่ทหารรับจ้างคนหนึ่ง เงินก็เป็นเรื่องสำคัญ แต่มันก็ไม่คุ้มค่ากับการที่จะสูญเสียชีวิตตัวเองไป
เขาเพียงแต่เสียใจอยู่เรื่องหนึ่งก็คือ เขารับภารกิจบ้าๆ นี่และเอาตัวเองเข้ามาพัวพันกับการสู้รบระหว่างอาณานิคมกับสหการพาน-เอเชียน ถ้าทำแค่ขโมยยานสินค้าหรือรับงานเป็นนักฆ่า เขาก็คงจะไม่ต้องมาเจอกับเจ้าคนโหดร้ายนี่
หวังเผิงบอกไม่ได้ว่าสิ่งที่ชายคนนี้พูดนั้นเป็นเรื่องจริงหรือหลอก หลังจากที่เขาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เขาก็มองไปที่ชายผู้นั้นและถามต่อไปว่า “แกต้องการจะทำอะไรกับนักวิชาการลู่?”
“วาร์ปไดรฟ์!”
หวังเผิงเหลือบมองบอริสอย่างเคลือบแคลงใจ มือขวาของเขาดันไปข้างหน้าเล็กน้อยขณะที่เขาพูดว่า
“เสี่ยวหงบอกแกเรื่องนี้เหรอ?”
“นี่ไม่ใช่ความลับอะไรเลย เกือบทุกคนในกองทัพกลุ่มพันธมิตรก็รู้!”
“กองทัพกลุ่มพันธมิตร?” หวังเผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วเขาก็ถามด้วยความงุนงงว่า “มันคืออะไร?”
บอริสมองมาที่หวังเผิงด้วยความประหลาดใจแล้วพึมพำว่า “แกไม่รู้เหรอ? ฉันคิดว่าพวกแกรู้เรื่องนี้แล้วเสียอีก…”
หวังเผิงพูดอย่างหงุดหงิด “อธิบายมา”
“ใจเย็นก่อน ฉันจะอธิบาย” บอริสรีบพูดขณะที่เขารู้สึกว่ามีแรงกดลงบนไหล่ของเขา “เมื่อนานมาแล้ว เมืองอาณานิคมต่างๆ บนดาวอังคารบรรลุข้อตกลงในการค้นหาการสร้างกลุ่มพันธมิตรประจำภูมิภาคดาวอังคารที่จะทำการตัดสินใจด้วยตัวเอง… เหมือนอย่างสหการพาน-เอเชียน ซึ่งนี่ก็รวมถึงเมืองเทียนกง นิวลอนดอน และนิวเวอร์จิเนีย… ผู้นำระดับสุดยอดของกลุ่มพันธมิตรทั้งหมดเป็นบุคคลที่น่าเคารพนับถือในเมืองท้องถิ่นต่างๆ”
“เข้าประเด็นเลยดีกว่า”
“เพื่อที่จะเป็นอิสระ เราต้องการอาวุธ!” บอริสหยุดพูดเหลวไหลและพูดต่อไปอย่างประหม่า “กองทัพชุดแรกของพาน-เอเชียแข็งแกร่งเกินไป และแม้แต่กองทัพในระบบสุริยะทั้งหมดรวมกันยังไม่พอที่จะเป็นคู่ปรับของพวกเขาได้ แต่ถ้าเรามีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีที่เร็วกว่าแสง ยานของเราก็จะสามารถปรากฏในที่ที่เราอยากจะให้มันปรากฏได้”
ความระแวงสงสัยบนใบหน้าของหวังเผิงเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ
มันยากที่จะจินตนาการว่าทหารรับจ้างคนหนึ่งจะรู้เรื่องมากขนาดนี้ ในขณะที่เจ้าหน้าที่ความมั่นคงอย่างเขาไม่รู้อะไรเลย
“แกบอกว่าแกเป็นแค่ทหารรับจ้างใช่ไหม?”
บอริสพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ “ฉันเป็นทหารรับจ้างจริงๆ ในกองทัพกลุ่มพันธมิตรมีคนอย่างฉันมากมายที่ทำเรื่องต่างๆ เพื่อเงิน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเหมือนพวกเขาและสนใจว่าใครเป็นคนคุมที่นี่…”
เมื่อเห็นว่าชายตรงหน้าเงียบไป บอริสก็กลืนน้ำลายและพูดต่อด้วยเสียงที่เรียบเฉยว่า “ฉันบอกแกทุกอย่างที่ฉันรู้แล้ว… แกจะปล่อยฉันไปได้หรือยัง?”
หวังเผิงชำเลืองมองเขาและขว้างกริชในมือออกไป
อย่างไรก็ตามก่อนที่บอริสจะได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขาก็เห็นหวังเผิงชักปืนพกออกมาจากเข็มขัดใส่ปืน
ขนทั้งตัวของเขาลุกชันขณะที่เขาดิ้นรนเหมือนปลาบนชายฝั่ง แผดเสียงร้องด้วยความกลัว
“เดี๋ยวก่อน นี่ไม่ใช่แบบที่เราตกลงกันนี่…”
“เราตกลงอะไรกัน?”
เสียงเยือกเย็นของหวังเผิงตามมาด้วยเสียงปืน
ระหว่างที่มองชายคนนั้นล้มลงจมกองเลือด หวังเผิงก็สอดปืนพกเก็บเข้าไปในเข็มขัดปืน
เขาจะไม่มีทางปล่อยชายคนนี้ออกไป
ถ้าเขามีเวลา เขาอาจจะรักษาชีวิตของชายคนนี้ไว้และส่งตัวเขาไปให้ทางการ
ถ้าเขามีเวลา เขาอาจจะยังสามารถรักษาชีวิตของชายคนนี้ไว้และส่งเขาไปให้กฎหมายตัดสิน
“ศาลากลาง… การคาดเดาของฉันถูกต้องจริงๆ เรายังก้าวช้าไปก้าวหนึ่ง”
แม้เขาจะรู้ว่าลู่โจวอยู่ที่ไหน แต่สีหน้าของหวังเผิงก็ไม่ได้ผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย
ศาลากลาง…
ศูนย์อำนาจกลางของเมืองเทียนกงทั้งหมดตั้งอยู่ภายใต้ศูนย์กลางของโดมประจำเมือง
ไม่ได้มีแค่กลุ่มติดอาวุธและผู้คุ้มกันแต่ยังมีโดรนนับไม่ถ้วนที่ตรวจตราอยู่โดยรอบ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะแอบเข้าไป
เป็นไปไม่ได้ที่จะโจมตีสถานที่นี้แบบปะทะกันโดยตรงเช่นกัน
แม้ว่าจะไม่มีสิทธิในการป้องกันทางอากาศบนดาวอังคาร แต่กองกำลังป้องกันภาคพื้นดินยังมีประสิทธิภาพทีเดียว เพื่อที่จะป้องกันการคุกคามจากโจรสลัดอวกาศและเมืองอาณานิคมอื่นๆ กลุ่มติดอาวุธที่นี่จึงติดตั้งอาวุธหนัก อย่างเช่น รถถังแม่เหล็กไฟฟ้า
แม้แต่เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองบนดาวอังคารทั้งหมดรวมกันก็คงจะไม่สามารถเข้าไปในนั้นได้
“ดูเหมือนฉันจะต้องขอความช่วยเหลือเท่านั้น…”
หวังเผิงมองดูศูนย์บัญชาการที่ยุ่งเหยิงเละเทะ แล้วเขาก็เดินไปที่โต๊ะทำงานและยื่นนิ้วชี้ออกไปคลิกบนนั้นสองครั้ง
ไม่นานหน้าต่างวิดีโอโฮโลแกรมก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
นิ้วมือของเขาคลิกอย่างรวดเร็วและใส่รหัสผ่านบนแป้นคีย์บอร์ด เขารีบติดต่อไปยังสถานีฐานการสื่อสารที่อยู่บนโฟบอสและส่งข้อความสั้นๆ ไปยังหน่วยข่าวกรองที่รับดาวเทียมที่ตั้งอยู่บนโลก เพื่อรายงานตำแหน่งและสถานการณ์ของลู่โจวให้ผู้บังคับบัญชาของเขาได้ทราบ
เขาไม่จำเป็นต้องอธิบายความสำคัญของวาร์ปไดรฟ์เพิ่มเติมอย่างละเอียด นอกจากนี้เมื่อพิจารณาบทบาทสำคัญที่ลู่โจวแสดงอยู่ในโปรเจกต์ลิฟต์อวกาศ เขาก็เชื่อว่าร้อยเอกซิงคงจะตัดสินใจได้ถูกต้อง
โดยไม่ต้องรอนาน หวังเผิงก็ได้รับการตอบกลับอย่างรวดเร็ว
คำตอบนั้นสั้นๆ
[เรากำลังเดินทางแล้ว]
…………………..