Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1640 สงครามโกลาหล!
ทางเดินในตึกศาลากลางเต็มไปด้วยควันปืนที่ยังค้างอยู่
ราวสิบนาทีก่อน จู่ๆ ที่แห่งนี้ก็ถูกกองกำลังไม่ทราบฝ่ายโจมตี แม้ว่ากองกำลังกลุ่มนี้จะมีจำนวนไม่มาก แต่พวกเขาก็มีอุปกรณ์พร้อมและได้รับการฝึกมาอย่างดี
เพราะกองทัพกลุ่มพันธมิตรส่วนใหญ่ถูกผลักดันให้ขึ้นไปที่แนวหน้า ทหารคุ้มกันที่ประจำการอยู่ในศาลากลางจึงมีจำนวนไม่เพียงพอ ในตอนที่เริ่มยิงกัน พวกเขาก็พ่ายแพ้ต่อกองกำลังนั้นอย่างรวดเร็ว
“เวร… ไอ้พวกนี้ไม่ได้มาจากกองพลอากาศวงโคจรที่สามแน่ๆ!” ทหารคุ้มกันซึ่งซ่อนตัวอยู่หลังบังเกอร์ตะโกนออกมา เขายิงกลับขณะที่เปลี่ยนแม็กกาซีนในมือ
“โถ่เว้ย?!”
ในอีกฟากหนึ่ง ขณะที่ผ่านลานกว้างที่เต็มไปด้วยควันโดยถือปืนไรเฟิลแม่เหล็กไฟฟ้าจู่โจมที่เอามาจากศพใครก็ไม่รู้ หวังเผิงขมวดคิ้วขณะที่เขามองดูศาลากลางที่ลุกเป็นไฟ เขาพึมพำกับตัวเองว่า “นี่พวกเขาสู้กันเองเหรอ?”
เขาไม่ได้อยู่ตรงทางเข้านาน เขาก้าวข้ามแบริเออร์ที่ถูกระเบิด ยกปืนไรเฟิลในมือขึ้นมาอย่างระแวดระวัง แล้วเดินเข้าไปตรงทางเดิน
มีเสียงปืนเป็นระยะๆ จากทางเดินที่อยู่ไม่ไกลนัก ตอนแรกหวังเผิงยิงทหารคุ้มกันสองคนที่อยู่ห่างจากเขาที่สุดล้มลง แล้วกระแทกปืนไรเฟิลใส่คนที่อยู่ใกล้ที่สุดแล้วทำให้เขาร่วงลง ท้ายที่สุดเขาก็เล็งปืนไปที่คนสุดท้าย
“อย่า อย่ายิง! ผมยอมแล้ว…”
เมื่อมองไปทางชายที่รีบวางอาวุธลงอย่างรวดเร็ว หวังเผิงก็วางปากกระบอกปืนลงบนหัวของเขาและถามว่า “ลู่โจวอยู่ไหน?”
“ลู่-ลู่โจว?”
“อย่าพูดเหลวไหล ตอนนี้ฉันจับพวกแกไว้สองคน ฉันวางแผนจะเก็บไว้แค่คนเดียว”
“ท-ท่านครับ ผมไม่รู้จริงๆ!”
เมื่อเห็นว่าทหารคุ้มกันเกือบจะปัสสาวะราดใส่กางเกงด้วยความกลัว หวังเผิงก็ขมวดคิ้ว
คนอ่อนแอขนาดนี้ไม่ใช่คนประเภทที่จะเก็บความลับไว้กับตัวเองจนตาย…
ทหารคุ้มกันซึ่งถูกกระแทกลงไปกับพื้นด้วยปืนไรเฟิลของเขาก็ฟื้นขึ้นมา เมื่อเห็นหวังเผิงหันหลังให้เขาอยู่ เขาก็กะพริบตานิดๆ แล้วเขาก็ยื่นมือไปที่ปืนพกที่ผูกอยู่ที่ขาของเขาอย่างเงียบๆ
แต่ก่อนที่เขาจะได้หยิบปืนพกออกมาจากซองปืน ก็มีแสงแฟลชวาบเข้ามาที่ตาของเขา สติของเขาดิ่งลงไปในความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด
“ตอนนี้เหลือแค่คนเดียวแล้ว ฉันขอแนะนำแกว่าอย่าทำอะไรโง่ๆ แบบเขาดีกว่า” เมื่อเมินหน้าไปจากทหารคุ้มกันที่กลายเป็นศพไปแล้ว หวังเผิงก็มองตรงมาที่ทหารคุ้มกันที่พิงกำแพงอยู่ เขาใช้ปืนชี้ไปที่ทางเดินด้านข้างแล้วพูดว่า “พาฉันไปหานายกเทศมนตรีของแก”
“ได้ครับ ได้ครับ…” ทหารคุ้มกันลุกขึ้นจากพื้นด้วยตัวที่สั่นเทิ้ม เดินตรงไปโดยเอามือจับไว้ที่หัวแล้วพูดตะกุกตะกัก “โปรด โปรดตามผมมา”
ขณะที่มองนักโทษที่ลุกขึ้นมาจากพื้น หวังเผิงก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ เขาก็พูดขึ้นว่า
“อ้อ จริงสิ
“คำสั่งของแกคืออะไร?
“และคนพวกนั้นเป็นใคร?”
เมื่อมองไปทางที่ปืนของหวังเผิงชี้ไป ทหารคุ้มกันก็เห็นพวกทหารที่สวมชุดเกราะเบานอนอยู่บนพื้น เขาพูดขึ้นด้วยความงุนงงโดยยังเอามือจับหัวไว้
“พวกนั้น… ไม่ใช่พวกเดียวกับคุณเหรอ?”
พวกเดียวกับฉัน?
หวังเผิงขมวดคิ้วและเริ่มตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่เมื่อผ่านไปสักพัก เขาก็ไม่สามารถจะบอกได้ว่าอะไรที่ผิดปกติ
อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาใส่ใจเรื่องพวกนี้
นักวิชาการลู่ยังตกอยู่ในมือของคนพวกนั้น
ไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่าพวกที่ล้มไปจะไม่ทำอะไรที่เลวทรามกับเขา…
…
ในขณะเดียวกัน ที่อีกฟากหนึ่งของศาลากลาง
ภายใต้การคุ้มกันจากทหารที่เยี่ยมยอดที่สุด นายกเทศมนตรีเสี่ยวและเการุ่ยหมิงได้ย้ายจากออฟฟิศของนายกเทศมนตรีมายังโรงรถชั้นใต้ดินของศาลากลาง
มีจุดอพยพลับอยู่ที่นี่ซึ่งถูกออกแบบมาให้รับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติพิเศษ
ท่อที่ผ่านจุดอพยพลับนี้สามารถไปถึงที่ซ่อนตัวที่ริมขอบโซนอุตสาหกรรมโดยตรงซึ่งบังเอิญอยู่ด้านหลังกองพลอากาศวงโคจรที่สามพอดี ถ้าพวกเขาล้มเหลวในท้ายที่สุดจริงๆ และกองกำลังในเมืองเทียนกงไม่สามารถที่จะหยุดยั้งกองพลอากาศวงโคจรที่สามได้ ดังนั้นพวกเขาก็จะสามารถปลอมตัวเป็นพลเรือนที่หลบหนี แล้วหนีจากเมืองเทียนกงไปพร้อมกับฝูงชนที่อพยพ
“เวรเอ๊ย นี่มันนานไปแล้ว คนพวกนั้นทำอะไรกันอยู่?”
นายกเทศมนตรีเสี่ยวกระทืบเท้า เขามองไปรอบๆ แล้วจ้องไปที่เการุ่ยหมิงซึ่งยืนอยู่ข้างเขาพร้อมกับมีคอมพิวเตอร์โฮโลแกรมอยู่ในมือ นายกเทศมนตรีเสี่ยวลดเสียงลงแล้วถามว่า “อีกนานไหมกว่ากำลังเสริมจะมาถึง! บอกพวกเขาว่าถ้าพวกเขาไม่รีบมา พวกเขาจะทำได้แค่เก็บกวาดศพพวกเรา!”
“ช่องสื่อสารไม่ว่าง ผมไม่สามารถติดต่อได้!” เการุ่ยหมิงสบถพร้อมกับทำสีหน้ากระวนกระวาย หมัดขวาของเขากระแทกเข้ากับกำแพงข้างๆ “บ้าเอ๊ย! มีคนทำลายสถานีฐานส่งสัญญาณในพื้นที่นี้”
นายกเทศมนตรีเสี่ยวอึ้งไป “แล้วตัวสำรองล่ะ?!”
“ขอผมลอง—”
ก่อนที่เขาจะได้พูดจบ โคมไฟบนหัวของเขาก็ดับโดยไม่มีการเตือน เครื่องเทอร์มินอลส่วนตัวในมือของเการุ่ยหมิงก็ดับไปด้วย พร้อมกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ทั้งหมดรอบตัวเขา
ในทันใดนั้น โรงรถใต้ดินทั้งหมดก็ตกอยู่ในความมืด
“EMP…”
หลังจากสวมแว่นตาสำหรับมองตอนกลางคืนบนหมวกกันน็อก หัวหน้าของทีมรักษาความปลอดภัยที่ยืนอยู่ตรงหน้านายกเทศมนตรีเสี่ยวก็ทำสีหน้าเคร่งขรึม เขาหยิบแท่งไฟเรืองแสงออกมาจากเสื้อกั๊กยุทธวิธี จุดชนวน แล้วโยนมันไปข้างหน้า “อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่นี่เป็นอัมพาตไปหมดแล้ว ดังนั้นคอยระวังให้ดี”
หลังจากได้ยินคำสั่งของหัวหน้า พนักงานรักษาความปลอดภัยอื่นๆ อีกหลายคนก็หยิบแท่งไฟเรืองแสงของพวกเขาออกมา
ขณะที่แท่งที่เหมือนไฟฉายถูกโยนออกไป ความมืดในโรงรถใต้ดินค่อยๆ ลดลงเพราะแสงสีแดงอมส้ม อย่างไรก็ตามความรู้สึกถึงหายนะอันเงียบเชียบยังคงกดทับที่หัวใจของเสี่ยวหง และทำให้เขาแทบจะหายใจไม่ออก
เห็นอยู่ว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียว
เการุ่ยหมิงซึ่งเก็บคอมพิวเตอร์โฮโลแกรมไปแล้วก็ดึงตัวเขามาและพูดอย่างร้อนรนว่า “เรารอต่อไปไม่ได้แล้ว เราต้องออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้… คุณไม่ได้ยินเสียงปืนจากด้านบนเหรอ ดังนั้นหมายความว่าที่นี่มีคนคุ้มกันอยู่ไม่เยอะแล้ว หน่วยรบพิเศษของสหการพาน-เอเชียนจะเจอตัวพวกเราที่นี่ไม่ช้าก็เร็ว!”
เสี่ยวหงพยักหน้าอย่างฝืนๆ เขากลืนน้ำลายและพูดว่า “คุณพูดถูก”
ในขณะนั้น ภายในความมืดที่ไม่ไกลเท่าใดนัก ก็มีเสียงปืนดังขึ้น
หัวใจของทุกคนบีบตัวแน่น พวกเขามองไม่เห็นว่าใครถูกยิง
เสียงปืนดังขึ้นนัดแล้วนัดเล่า ทิ่มแทงประสาทอันเปราะบางของทุกคน ทั้งเสี่ยวหง เการุ่ยหมิง และทีมรักษาความปลอดภัย
มันเหมือนราวกับว่าปีศาจกำลังซุ่มอยู่ที่เขตแดนของความมืด กำลังดึงให้ทุกคนเผลอก้าวเข้าไปในหุบเหวนรก
ในที่สุดเสียงปืนก็เงียบลง
มีแต่เสียงปะทุของแท่งเรืองแสงที่ได้ยินแบบเบาๆ
หลังจากกลืนน้ำลาย เสี่ยวหงซึ่งหลบอยู่ข้างหลังบังเกอร์อยากจะส่งใครสักคนไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นตรงนั้น อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้นเอง เสียงฝีเท้าที่ได้ยินชัดเจนก็ลอยออกมาจากความมืด
“พวกแกควรจะยอมแพ้ซะ”
ยอมแพ้…
มีแววของความลังเลวาบขึ้นมาในดวงตาของเการุ่ยหมิงขณะที่มีแววของความไม่เต็มใจวาบขึ้นมาในดวงตาของหัวหน้าทีมรักษาความปลอดภัย
เสี่ยวหงทำสีหน้าที่อ่านยาก
แต่ไม่นานความซับซ้อนทั้งหมดก็ถูกแทนที่ด้วยความบ้าคลั่งไร้เหตุผล
เขาใช้พละกำลังน้อยนิดเฮือกสุดท้ายของร่างกายและแผดเสียงออกไปใส่ความมืดที่ไร้ขอบเขตนั่น
“อยากให้ฉันยอมแพ้งั้นเหรอ…ฝันไปเถอะโว้ย! ฉันยอมตายดีกว่าถูกลิดรอนเสรีภาพ!”