Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1641 ‘ความจริงถูกเปิดเผย’
- Home
- Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ
- ตอนที่ 1641 ‘ความจริงถูกเปิดเผย’
แม้ว่าจะได้ระลึกถึงช่วงเวลานี้ในเวลาอีกหลายปีต่อมา เสี่ยวหงก็คงจะไม่มีวันลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น
ในเวลาอีกไม่ถึงครึ่งนาทีหลังจากที่เขาตะโกนออกไปว่า “ฉันยอมตายดีกว่าถูกลิดรอนเสรีภาพ” เขายกมือขึ้นอย่างไม่ลังเล เขามองไปยังคนที่เดินผ่านศพมา
“อย่า! อย่ายิง! ฉันยอมแล้ว ฉันยอมแล้ว! ฉันจะให้ทุกอย่างที่แกต้องการ! อย่าฆ่าฉัน!”
หลังจากที่มองดูศพบนพื้น หวังเผิงก็ขยับปากกระบอกปืนมานิดหนึ่ง เขาเล็งมาที่เสี่ยวหงและเการุ่ยหมิง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น “ส่งตัวนักวิชาการลู่มา”
“นักวิชาการลู่เหรอ?”
“อย่ามาแกล้งโง่กับฉัน”
ปากกระบอกปืนของเขาเลื่อนลงมาหนึ่งนิ้วและหวังเผิงก็เหนี่ยวไกปืนอย่างหมดความอดทน
เมื่อได้ยินเสียงปืนดัง เสี่ยวหงมองไปที่เศษคอนกรีตที่กระเด็นมาที่ขอบกางเกงของเขา เขาผงะด้วยความกลัวและตะโกนด้วยความตกใจ
“บ้าเอ๊ย! แกล้งโง่เหรอ? ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้านั่นมันไปอยู่ที่ไหน! เดี๋ยวก่อน แกเป็นใคร? แกไม่ได้มาจากสหการพาน-เอเชียนแน่ๆ… นักวิชาการลู่ถูกพวกเขาย้ายตัวไปแล้ว แกล็ดสโตน! แกแน่ๆ! แกแน่ๆ ใช่แล้ว! ฉันรู้ว่าพวกลัทธิของแกมันไว้ใจไม่ได้!”
เมื่อเห็นว่าเสี่ยวหงเสียสติไปแล้ว หวังเผิงก็ขมวดคิ้วนิดๆ
แกล็ดสโตน?
ชื่อฟังดูคุ้นๆ…
ถ้าเขาจำไม่ผิด หมอนี่ไม่ได้เป็นแค่นักธุรกิจธรรมดาๆ เหรอ? เขาเป็นผู้จัดการของกองทุนสำรวจอาณานิคมดาวอัลฟา เซนทอรีซึ่งปัจจุบันกำลังระดมทุนเพื่อโปรเจกต์ ‘เรือโนอาห์’
แต่เดี๋ยวก่อน…
พวกลัทธิ?
มันจะเป็นอย่างนั้นเหรอ…
จู่ๆ ก็มีความเป็นไปได้อย่างหนึ่งแวบขึ้นมาในใจของหวังเผิง
แม้ว่ามันจะไม่น่าเชื่อไปสักหน่อย แต่มันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ทั้งหมด…
“หมายถึงมูลนิธิสำรวจอาณานิคมดาวอัลฟาเซนทอรีชื่อดังที่เป็นผลผลิตขององค์กรจิตวิญญาณแห่งจักรวาลน่ะเหรอ?” ปืนเล็งมาที่หน้าผากของเสี่ยวหงอีกครั้ง หวังเผิงพูดต่อไปเป็นเชิงซักถามว่า “แล้วแกล็ดสโตนก็เป็นหุ่นเชิดของพวกเขา? หรือว่าเขาเป็นผู้นำขององค์กรจิตวิญญาณแห่งจักรวาล?”
“ฮ่า ทำไมแกยังเสแสร้งอยู่ล่ะ?” เสี่ยวหงมองมาที่หวังเผิงอย่างเย็นชาขณะที่เขาพูดขึ้นมาเหมือนกับงูพิษตัวหนึ่ง “แกรู้ดีกว่าใครว่าเขาทำอะไร—”
“ฉันกำลังถามแกอยู่ แกไม่มีสิทธิ์มาถามฉัน” หวังเผิงพูดต่อระหว่างที่มองมาที่เขาด้วยสายตาเย็นชา “ฉันขอแนะนำให้แกตอบคำถามนี้ให้ดี นี่มีผลกับแกด้วยว่าจะมีโอกาสจะได้รับการลดโทษในชั้นศาลหรือไม่”
เมื่อมองมาที่ปากกระบอกปืน เสี่ยวหงก็รู้สึกว่าความกล้าทั้งหมดของเขาหายไปสิ้นแล้ว
แม้ว่าเขาจะมีความสับสนมากมายในใจ สีหน้าหงุดหงิดของคนตรงหน้าเขาก็ทำให้เขากลัวที่จะพูดคำที่ไร้สาระออกมา
เขาค่อยๆ เค้นคำพูดออกมาจากลำคออย่างช้าๆ
“ฉันจะบอกว่า…”
เมื่อเห็นว่าหวังเผิงยังจ้องมาที่เขา เขาจึงพยายามไม่ให้เสียงตัวเองสั่นระหว่างที่พูด
“เมื่อเดือนก่อน… แกล็ดสโตนเจอฉันและขอให้ฉันอนุมัติแผนเรือโนอาห์ของเขา ในตอนแรกที่ฉันได้แผนนั้นมา ปฏิกิริยาแรกก็คือ ‘นี่พวกเขากำลังทำบ้าอะไรอยู่’ แต่จู่ๆ ฉันก็คิดว่าการสร้างยานอวกาศที่ใหญ่ขนาดนั้นน่าจะสามารถช่วยอุตสาหกรรมการสร้างยานในเมืองเทียนกงได้ และนี่ก็เป็นโอกาสของเราแล้ว เทคโนโลยีความเร็วแบบวาร์ปที่พวกเขาต้องการ… เราก็ต้องการเหมือนกัน
“ดังนั้นเราจึงหารือกันและตอนแรกเราก็ต้องการจะเชิญลู่โจวมาที่เมืองเทียนกงในนามของการแลกเปลี่ยนทางวิชาการ แล้วศาลากลางก็จะให้การรับรองเครดิตแก่กองทุนสำรวจอาณานิคมดาวอัลฟาเซนทอรี และใช้นโยบายทางการเงินต่างๆ ของสหการพาน-เอเชียนเพื่อออกตั๋วล่วงหน้าและหุ้นกู้ แต่ในความเป็นจริง—”
หวังเผิงพูดว่า “ในความเป็นจริงแล้ว ส่วนหนึ่งของเงินก้อนนี้ถูกโอนไปยังบัญชีของศาลากลางในฐานะ ‘ทุนสงคราม’ เพื่อระดมเงินค่าใช้จ่ายทางการทหารใช่ไหม?”
แม้เขาต้องการจะปฏิเสธในข้อนี้ แต่ความลับนี้ก็ไม่อาจถูกเก็บซ่อนได้อีกต่อไปแล้ว
หลังจากลังเลสักพัก ในที่สุดเสี่ยวหงก็พยักหน้าอย่างอับอาย
“ใช่ ก็อย่างที่แกเห็น…”
หวังเผิงพูดอย่างเย็นชา “เอาเงินของเราไปสร้างปืนและต่อสู้กับเรา ไร้มารยาท”
“มันไม่ใช่ความคิดของฉัน…” เสี่ยวหงกระซิบ เขามองมาที่เการุ่ยหมิงซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ พร้อมกับยิ้มแปลกๆ แล้วพูดว่า “ฉันรับผิดชอบแค่เรื่องการเซ็นเอกสารเท่านั้น…”
ไม่ว่าจะยังไง เรื่องเช่นนี้ก็เกิดขึ้นไปแล้ว
กองทุนสำรวจอาณานิคมดาวอัลฟาเซนทอรีสมรู้ร่วมคิดกับพวกกบฏในเมืองเทียนกงและโอนเงินทุนที่ระดมมาเพื่อตั้งอาณานิคมที่พร็อกซิมา เซนทอรี บี ไปยังบัญชีของศาลากลางเมืองเทียนกง ลืมเรื่องการสร้าง ‘เรือโนอาห์’ ไปได้เลย ค่าปรับมหาศาลและการจัดการอาจจะทำให้บริษัทนี้ประกาศการล้มละลายออกมาตรงๆ
มันเป็นสิ่งที่แทบจะทำนายไว้ได้เลย เมื่อความจริงเปิดเผยออกมา คลื่นสึนามิทางการเงินอาจจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้…
หวังเผิงชำเลืองมองทั้งสองคนแล้วถามต่อไปว่า “ตอนนี้เรื่องเล็กน้อยพวกนั้นเอาไว้ก่อน แล้วลู่โจวอยู่ที่ไหน?”
“ลู่โจว… ฉันไม่รู้ ฉันไม่รู้จริงๆ” เสี่ยวหงอธิบายขณะที่ดวงตาของคนตรงหน้าเขาเริ่มข่มขู่เขามากขึ้นเรื่อยๆ เขาพูดต่อไปว่า “ฉันยอมรับ เราก็กำลังหาตัวเขาอยู่เช่นกัน! เครื่องวาร์ปไดรฟ์คือกุญแจไปสู่ชัยชนะของเรา! และจากการคาดเดาของผู้เชี่ยวชาญของเรา มันน่าจะเป็นหนทางเข้าไปแทรกแซงช่องทางไฮเปอร์สเปซ ตราบใดที่เราเชี่ยวชาญเทคโนโลยีในการเข้าไปแทรกแซงช่องทางไฮเปอร์สเปซ เราก็จะสามารถป้องกันกองทัพของพาน-เอเชียนไม่ให้เข้ามา…”
ขณะที่มองดูหวังเผิงอย่างคุมเชิง เสี่ยวหงกลืนน้ำลายและพูดต่อไปว่า “แล้วเราก็ไปที่ห้องของเขา และเขาก็ไม่ได้อยู่ที่นั่น เสื้อผ้าหายไปสองสามชุด หลังจากนั้นเราก็พยายามสืบหาจากกล้องวงจรปิด ทว่านับตั้งแต่เขาออกจากโรงแรมไป เขาก็ดูเหมือนจะระเหยหายไป ไม่มีภาพในกล้องวงจรปิดแม้แต่เฟรมเดียวที่มีภาพเขา ตอนนั้นเราสงสัยว่าพวกแกจะรู้เจตนาของเราและย้ายตัวเขาไปก่อนแล้ว”
โดยพื้นฐานแล้วเสี่ยวหงสามารถจะสรุปได้ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาไม่ใช่พวกลัทธิ แต่เป็นเจ้าหน้าที่ของสำนักงานความมั่นคง สำหรับกองกำลังไม่ทราบฝ่ายที่โจมตีศาลากลาง หวังเผิงก็ดูเหมือนจะไม่รู้จักพวกเขาเช่นกัน
ถ้าเช่นนั้น คนพวกนั้นก็น่าจะถูกแกล็ดสโตนส่งมาเท่านั้น…
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ จู่ๆ ใบหน้าของเสี่ยวหงก็แสดงความโกรธออกมา เขาขบกรามแน่นและพูดว่า “ฉันเข้าใจแล้ว! ไอ้คนชั่วระยำและหน้าด้านนั่น! คนพวกนั้นไม่ใช่หน่วยรบพิเศษของสหการพาน-เอเชียนเลย พวกมันเป็นนักฆ่าที่ถูกส่งมาฆ่าพวกเรา! พวกโง่นั่นแทงข้างหลังฉัน! ฟังนะ นักวิชาการลู่ไม่ได้อยู่ที่นี่ ถ้าเขาไม่ได้รับการคุ้มกันโดยคนของแก เขาก็ต้องตกอยู่ในเงื้อมมือขององค์กร!
“พวกมันต้องการทรยศเรา…”
ในขณะที่เสี่ยวหงกำลังสบถ จู่ๆ เพดานของโรงรถใต้ดินก็สั่นสะเทือนเพราะแรงระเบิด
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ และเสียงปืนดังเป็นระยะๆ ที่จู่ๆ ก็เริ่มดังขึ้นมาอีกครั้ง ความรู้สึกถึงความสิ้นหวังก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเสี่ยวหงและเการุ่ยหมิง
“จบแล้ว… ทุกอย่างจบแล้ว”
เการุ่ยหมิงกระซิบแล้วจ้องมองเพดาน
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ตอนที่เขาพูดประโยคนี้ออกไป ในใจเขากลับมีความรู้สึกโล่งใจ
การตกอยู่ในเงื้อมมือของสหการพาน-เอเชียนนั้นดีกว่าตกอยู่ในมือของพวกลัทธินั่น
หลังจากที่ทำงานกับแกล็ดสโตนมาหลายปี เขารู้ทุกอย่างที่ชายคนนั้นทำและเขารู้ว่าคนพวกนั้นใช้วิธีการที่โหดร้ายและสกปรกขนาดไหน
เสี่ยวหงเงยหน้าแล้วมองมาที่หวังเผิงด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง
“สำหรับข้อมูลนี้… ฉันจะได้ลดโทษไปกี่ปี?”
“อาจจะ 20 ปี อาจจะ 30 ปี สิ่งสำคัญคือการได้เห็นว่าเราจะสามารถจับปลาได้ตัวใหญ่แค่ไหนโดยใช้เบาะแสที่แกให้มา”
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ เสี่ยวหงก็ค่อยๆ ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก บ่าที่ตึงแน่นของเขาก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
หวังเผิงยิ้มเยาะอย่างเหยียดหยันให้กับคนโง่คนนี้ขณะเดียวกันเขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“อย่าเพิ่งดีใจไป
“สำหรับเรื่องโทษของแกจะใช้เวลากี่ศตวรรษ มันขึ้นอยู่กับผู้พิพากษา”