Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1650 สาเหตุที่เคารพ
ณ วงโคจรดาวอังคาร
เมื่อเห็นว่าที่จอดยานเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ นักวิชาการหยางฉงผิงปรับคอเสื้อเล็กน้อย ในขณะเดียวกันเขาก็ทำใจที่คุกรุ่นให้สงบลง
วันก่อนเขาได้รับอีเมลจากอีสต์เอเชียเฮฟวีอินดัสตรีส์โดยกะทันหัน ในอีเมลฉบับนี้อีสต์เอเชียเฮฟวี่อันดัสตรีส์แจ้งว่าบริษัทฟูซิ่งมายนิ่งคิดจะเปลี่ยนใจและสร้างโนอาห์อาร์กให้เสร็จแทนที่จะแยกส่วนมันเป็นโลหะผสมและขายทิ้งไป
พวกเขาได้ให้คำแนะนำในการพัฒนาส่วนการดีไซน์ของยานอวกาศ และหวังว่าเขาที่เป็นดีไซเนอร์ของยานอวกาศลำนี้สามารถให้การช่วยเหลือด้านเทคนิคได้
หลังจากอ่านอีเมลเสร็จ หยางฉงผิงไม่ลังเลและตอบตกลงเรื่องนี้ในทันที
นอกจากนี้เขายังเลื่อนงานประชุมวิชาการที่จัดขึ้นวันนั้นและพาศิษย์ที่เขาภาคภูมิใจที่สุดไปที่จอดยาน เขาวางแผนที่จะไปไซต์เพื่อหารือเรื่องแผนการพัฒนากับคนที่รับผิดชอบบริษัทฟูซิ่งมายนิ่ง
จริงๆ แล้วสาเหตุที่เขารู้สึกผูกติดกับเรื่องนี้มากไม่ได้เป็นเรื่องเงินจำนวนมากที่บริษัทฟูซิ่งมายนิ่งให้เขามา แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายเปลี่ยนใจจริงๆ พวกเขาจะไม่ถอดส่วนประกอบยานอวกาศ พวกเขากลับจะลงทุนในยานอวกาศนี้ต่อแทน
เมื่อเขาได้ยินข่าวนี้ เขาแทบบรรยายความตื่นเต้นในใจออกมาไม่ถูก
ท้ายที่สุดแล้ว มันเป็นความทุ่มเทที่เขาลงแรงหลายวันหลายคืนเพื่อทำให้สำเร็จ
ถึงแม้ว่าจากประวัติของมนุษยชาติ ไม่มีใครสามารถหายานอวกาศที่ใหญ่กว่าและไปได้ไกลกว่ามัน
และถึงมันจะมาถึงอัลฟาเซนทอรีในวันหนึ่งและเผยแพร่เปลวเพลิงแห่งอารยธรรม ในฐานะที่เป็นดีไซเนอร์ของยานอวกาศลำนี้ เขาจะได้รับการสรรเสริญจากมนุษย์ทั้งมวล
แต่เขาไม่ได้พบกับคนที่รับผิดชอบบริษัทฟูซิ่งมายนิ่ง เขากลับพบกับชายที่เพิ่งเจอหน้าไม่กี่วันก่อน…
เมื่อเจอลู่โจวยืนต่อหน้าเขา หยางฉงผิงกลืนน้ำลายและใช้เวลาอยู่สักพักกว่าจะพูดออกมาได้
“ทำไมคุณ…”
ลู่โจวเห็นนักวิชาการหยางฉงผิงมีท่าทีงุนงง เขาพูดตอบพร้อมรอยยิ้ม
“เจอกันอีกแล้วนะครับ นักวิชาการหยางฉงผิง”
“คุณมาทำอะไรที่นี่…”
“ขอผมอธิบายก่อน” จงจื้ออวี่เห็นว่านักวิชาการหยางฉงผิงมีสีหน้าตึง เขาที่ยืนอยู่ข้างลู่โจวดูเหมือนว่าจะนึกอะไรบางอย่างได้ เขาจึงยิ้มให้และพูดว่า “นี่คือนักวิชาการลู่ ประธานสตาร์สกายเทคโนโลยี… เขายังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่คนเดียวของบริษัทฟูซิ่งมายนิ่ง ส่วนนี่คือนักวิชาการหยาง ลู่โจว คุณน่าจะได้เจอเขามาก่อน”
ลู่โจวยิ้มให้และพยักหน้า “ใช่ครับ ผมเพิ่งเจอเขาไม่นานมานี้”
หลังจากแนะนำตัวเสร็จ นักวิชาการหยางฉงผิงรู้สึกเหมือนมีสายฟ้าฟาดเข้ากลางศีรษะ เขาจ้องมองลู่โจวด้วยความนิ่งเงียบและตกตะลึงอยู่สักพัก
เมื่อเห็นสีหน้าของนักวิชาการหยาง ลู่โจวกระแอมในลำคอเบาๆ และพูดขึ้น
“คุณไม่น่าจะเซอร์ไพรส์ขนาดนั้นใช่ไหม”
ทำไมผมจะ…
ไม่รู้สึกเซอร์ไพรส์ล่ะ!
เขาขยับปากพูดและยิ้มด้วยความลังเล
“กลับกลายเป็นว่าคุณซื้อมูลนิธิการสำรวจอาณานิคมอัลฟาเซนทอรี”
“ประมาณนั้น ถึงแม้ว่าในกระบวนการจะมีเรื่องพลิกผันอยู่บ้าง คุณคิดแบบนี้ก็ได้” ลู่โจวเห็นว่าจงจื้ออวี่มองเขาอย่างวิตกกังวล เขาจึงยิ้มให้และพูดว่า “ข่าวนี้น่าจะถูกเผยต่อสาธารณะพรุ่งนี้อยู่แล้ว มันจึงไม่เป็นไรถ้าจะบอกไว้ก่อน”
“ข่าวบางข่าวแตกต่างจากข่าวทั่วไป” จงจื้ออวี่ถอนหายใจและหัวเราด้วยความประหม่า เขามองดูนักวิชาการหยางฉงผิงและพูดว่า “ผมหวังว่าคุณจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับได้จนถึงพรุ่งนี้นะ”
“ความลับ… ผมไม่เข้าใจ คุณก็ซื้อยานลำนี้ไปแล้ว ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะ?” นักวิชาการหยางฉงผิงมองลู่โจวด้วยสีหน้านิ่ง น้ำเสียงเขามีร่องรอยความโกรธขึ้นมาระหว่างที่เขาถาม “คุณจงใจมาที่นี่เพื่อทำให้ผมขายหน้างั้นเหรอ?”
“ยังไงล่ะครับ?” ลู่โจวยิ้มให้หลังจากได้ยินคำพูดพวกนี้ “คุณเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า?”
“เข้าใจผิด?”
“ใช่แล้วครับ” ลู่โจวพยักหน้าระหว่างที่มองนักวิชาการหยางฉงผิงด้วยสีหน้านิ่ง เขาพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ผมเชื่อว่าคุณน่าจะได้รับอีเมลจากอีสต์เอเชียเฮฟวี่อินดัสตรีส์ เรามีแผนที่จะจ้างให้คุณเป็นดีไซเนอร์ของโปรเจกต์โนอาห์อาร์ก คุณได้รับผิดชอบโปรเจกต์ขยายอาณานิคมของเรา”
ลู่โจวรู้สึกว่าข้อเสนอที่เขายื่นให้นักวิชาการหยางฉงผิงน่าจะชวนดึงดูดใจ สำหรับนักวิชาการที่ไม่ได้ผละไปจากความปรารถนาระดับพื้นๆ สิ่งใดจะน่าสนใจไปมากกว่าชื่อเสียงและเงินทองล่ะ?
สิ่งที่ลู่โจวไม่ได้คาดคิดคือหลังจากเขายื่นข้อเสนอไป นักวิชาการหยางฉงผิงไม่ได้ยินดีที่จะตอบตกลงเลย เขากลับมีสีหน้าลำบากใจ
ราวกับว่า…
เงื่อนไขที่เสนอให้ทำให้เขาอับอายอย่างมาก
ลู่โจวรู้สึกสับสนว่าอะไรทำให้นักวิชาการคนนี้อาย แต่จู่ๆ เขาก็พูดตอบขึ้นมา
“ผมไม่เข้าใจ…”
ลู่โจวเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ
“ไม่เข้าใจอะไรเหรอ?”
“ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคุณทำแบบนี้” นักวิชาการหยางมองหน้าลู่โจวและพูดต่อด้วยน้ำเสียงซับซ้อน “ด้วยความสามารถที่คุณมี คุณสามารถออกแบบยานอาณานิคมขึ้นใหม่ได้เองทั้งหมด ทำไมถึงใช้แผนของผมต่อล่ะ”
ถ้าเขาอยู่ในตำแหน่งของลู่โจว เขาจะไม่ทำตัวใจกว้างแน่นอน เขาจะใช้ทุกวิถีทางเพื่อกำจัดการออกแบบที่เหลืออยู่ของอีกฝ่ายในโปรเจกต์นี้
ลู่โจวเดาว่าชายวัยกลางคนคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ เขาจ้องหน้า ยิ้มให้ และพูดว่า “ขอผมถามได้ไหมว่าคุณเข้าใจคำว่าวิชาการว่าอย่างไร?”
“วิชาการคือการเรียนรู้และทักษะ จากการศึกษาหาความรู้ไปถึงการประยุกต์ของสิ่งที่เรียนรู้เพื่อทำให้เทคนิคสมบูรณ์แบบ… แน่นอนว่ามันเป็นเพียงแค่ความคิดเห็นของผม” นักวิชาการหยางมองหน้าลู่โจวและถามว่า “แล้วคุณล่ะ นักวิชาการลู่? คุณคิดว่าวิชาการคืออะไรล่ะ?”
“ความเข้าใจของคุณอาจเรียกได้ว่าค่อนข้างใช้ได้จริง ผมเกรงว่าผมเห็นมันเป็นนามธรรมมากกว่า” ลู่โจวยิ้มให้และพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “วิชาการเป็นการสำรวจหาสัจธรรมของจักรวาล”
“การสำรวจหาสัจธรรมของจักรวาล…?”
เมื่อเห็นว่านักวิชาการหยางมีสีหน้างุนงง ลู่โจวพยักหน้าเบาๆ และพูดต่อพร้อมรอยยิ้ม “มันฟังดูเรียบง่าย แต่นี่คือความเห็นของผม ผมรู้สึกแบบนี้ไม่ว่าจะเป็นในร้อยปีก่อนหน้า ตอนนี้ หรือว่าในอีกร้อยปีข้างหน้า ผมก็จะคิดแบบนี้”
“มีหลายเรื่องที่คู่ควรในการไล่ตามมากกว่าเรื่องไร้สาระ อย่างน้อยที่สุด ในความเห็นของผม มันไม่สำคัญว่าใครทำวิจัยสำเร็จหรือเป็นคนสร้างอาคาร มันก็ไม่ต่างกันสำหรับผม ผมคิดว่างานของคุณดี ก็แค่นั้น”
“ก็แค่นั้น?”
นักวิชาการหยางฉงผิงยิ้มด้วยความขมขื่น
ด้วยเหตุบางประการ ตอนนี้หัวใจของเขาท่วมท้นไปด้วยหลากความรู้สึก มีคำพูดหลายประโยคติดอยู่ที่ปาก แต่เขาพูดออกมาไม่ได้
แต่เขารู้อยู่อย่างหนึ่งว่า
เขาไม่ได้แค่แพ้เฉยๆ แต่เขากลับแพ้ราบคาบ
ไม่ใช่ในแง่ความรู้ แต่เป็นในแง่ศีลธรรมอีกด้วย…
จากนั้นทั้งสองคนคุยเรื่องปัญหาเทคนิคอย่างคร่าวๆ
โดยเฉพาะเรื่องการติดตั้งเครื่องยนต์วาร์ปไดร์ฟบนยานลำนี้ ลู่โจวเสนอความต้องการที่ละเอียด และนักวิชาการหยางก็ได้เขียนไปทีละข้อ
เมื่อเดินทางออกจากที่จอดยาน นักวิชาการหยางมองดูยานอาณานิคมสีเงินขาวจากหน้าต่าง จู่ๆ เขาพูดกับตัวเองว่า “ผมเข้าใจแล้ว…”
ลูกศิษย์ที่ยืนอยู่ข้างเขารู้สึกอึ้งเล็กน้อยกับน้ำเสียงสะเทือนใจของอาจารย์ เขาถามด้วยเสียงต่ำ “อาจารย์เข้าใจ…อะไรเหรอครับ?”
อยู่ๆ มีสีหน้าตื่นรู้ปรากฏขึ้นบนใบหน้า หยางฉงผิงมองดูจักรวาลนอกหน้าต่างและพูดด้วยน้ำเสียงเปี่ยมอารมณ์
“ผมเข้าใจแล้ว…”
“ว่าทำไมคนในยุคนี้ถึงเคารพเขามาก…”