Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1660 สู่ยุคสมัยใหม่
ถ้าเธอไม่ได้เห็นช่วงเวลานั้นด้วยตาของตัวเอง แอนเดอริน่าคงไม่อาจจะเชื่อว่า ด้วยอำนาจเทคโนโลยีบางอย่าง ยานอวกาศสามารถเดินทางข้ามระยะทาง 2.6 หน่วยดาราศาสตร์ได้ในชั่วพริบตา จากดาวอังคารไปวงโคจรพ้องคาบโลก
เธอไม่ใช่คนเดียวที่ได้ประจักษ์เรื่องทั้งหมดนี้ มีผู้โดยสารอีกร่วมร้อยคนได้เป็นส่วนหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์ด้วย
ในตอนนี้แอนเดอริน่าพูดไม่ออก ทุกตารางนิ้วบนหน้าเธอเต็มไปด้วยความเซอร์ไพรส์
เธอสาบานว่าเธอจะใช้คำของเธอเพื่อทำให้ช่วงเวลานี้คงอยู่ตลอดไป…
แอนเดอริน่าไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึกเซอร์ไพรส์
หอสังเกตการณ์อวกาศขององค์กรอวกาศอเมริกาเหนือที่อยู่ในวงโคจรพ้องคาบโลกก็ได้เห็นภาพที่มหัศจรรย์นี้
นักวิชาการฟิลด์เกือบพุ่งจมูกผ่านจอโฮโลแกรมระหว่างที่เขามองยานอวกาศที่แทบปรากฏขึ้นโดยไม่ให้ตั้งตัวผ่านเลนส์สังเกตการณ์
จอห์นนี่ที่ยืนอยู่ข้างหลังกระซิบว่า “พวกเขาทำสำเร็จ…”
ใช่แล้ว พวกเขาทำสำเร็จ
ไม่ว่าความจริงนี้จะรับไม่ได้มากแค่ไหน และมันทำให้เขาและคนอื่นสิ้นหวังมากแค่ไหน ข้อเท็จจริงก็ไม่ได้สนใจความรู้สึก
นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป มนุษยชาติได้เข้าสู่ยุคใหม่แล้ว
เพื่อเป็นการเฉลิมช่วงเวลานี้ ดอกไม้ไฟสีสว่างถูกจัดดอกแล้วดอกเล่าที่กลุ่มเมืองสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี กลุ่มเมืองสามเหลี่ยมปากแม่น้ำจูเจียง และกลุ่มเมืองปักกิ่ง-เทียนจิน-เหอเป่ย ในเวลาสองทุ่ม
การเฉลิมฉลองก็เกิดขึ้นในโลกอินเทอร์เน็ตเช่นกัน
จากเกมออนไลน์โลกเสมือนคาลานออนไลน์ ฟอรั่มแลกเปลี่ยนวิชาการของมหาวิทยาลัยรายใหญ่ และทุกซอกมุมของอินเทอร์เน็ต ทุกคนกำลังฉลองช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ในแบบของตัวเอง
เนื่องจากว่าเป็นฟอรั่มแลกเปลี่ยนทางวิชาการที่ใหญ่ที่สุดในโลก บรรยากาศในฟอรั่ม LSPM เริ่มก่อตัวตั้งแต่เมื่อวานก่อน
เมื่อข่าวการเดินทางที่ประสบความสำเร็จของทอร์ชมาถึง โพสต์พูดคุยที่เกี่ยวข้องไหลเป็นน้ำตกและผุดขึ้นเต็มหน้าฟอรั่มแทบในทันที
[นักวิชาการลู่บ้าไปแล้ว!]
[สุดจริงๆ! ใช้เวลาไม่ถึงนาทีจากดาวอังคารมาที่โลก?! ถ้างั้นไปดาวอังคารก็เร็วกว่าดวงจันทร์ใช่ไหม?!]
[ยิ่งกว่าแค่บ้าอีก! โอเค นี่มันเสียสติแล้ว!1 ไม่ใช่แค่ยานอวกาศนะ เทคโนโลยีการสื่อสารก็น่าทึ่งเหมือนกัน! การส่งจดหมายไปดาวอังคารใช้เวลาไม่กี่นาที และบางครั้งก็อาจจะนานกว่า 20 นาที!]
[ฮ่าฮ่า ในอนาคต เมืองเทียนกงจะไม่ใช่เครือข่ายท้องถิ่นอีกแล้ว]
[ยากที่จะบอกนะ ฉันไม่รู้ว่าค่าการสื่อสารของสตาร์เกทส์สูงมากแค่ไหน ถ้ามันเป็น 100 เครดิตต่อกิโลไบต์ ถ้ามันส่งข้อความได้ในทันที มันอาจจะไม่ได้ย่อมเยาสำหรับคนทั่วไป]
[ผมได้ยินมาจากนักวิชาการลู่ว่าการรักษาและเปิดช่องทางไฮเปอร์สเปซไม่น่าจะมีราคาสูงมากใช่ไหม?]
[อ่อ ใครจะไปรู้ล่ะ?]
ไม่ได้มีแค่ชาวเน็ตที่พูดคุยถึงประเด็นนี้อย่างเร่าร้อน แต่ชุมชนวิชาการเองก็ได้ถกเถียงกันอย่างดุเดือดในประเด็นข่าวมหัศจรรย์นี้
ยกตัวอย่างเช่น นักวิชาการหวังฉวนจีจากสถาบันวิทยาศาสตร์พาน-เอเชียนเขียนบทความอย่างประมาณหนึ่งหมื่นคำ ในบล็อกของเขาที่ LSPM
เขาวิเคราะห์ผลกระทบที่เป็นไปได้ของเทคโนโลยีนี้ต่อโลกจากมุมมองสังคมวิทยา
[ตามกฎของการพัฒนาประวัติศาสตร์ ตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเราอย่างใกล้ชิด อย่างเช่น ขอบเขตของกิจกรรมมนุษย์และขอบเขตของอารยธรรมไม่สามารถแยกออกจากการพัฒนาเทคโนโลยีการขนส่งและการสื่อสารได้]
[นับตั้งแต่ช่วงเริ่มยุคอวกาศ แม้ว่าจะเกิดการอุบัติอย่างต่อเนื่องของเทคโนโลยีที่หลากหลายจำนวนมาก พื้นที่ของกิจกรรมเราไม่ได้ขยายออกไป ซึ่งส่งผลให้เรายังถูกจำกัดอยู่ที่แถบดาวเคราะห์น้อยแคบนี้]
[แต่ตอนนี้การกำเนิดของทฤษฎีไฮเปอร์สเปซและการอุบัติของเทคโนโลยีความเร็ววาร์ปได้ทำให้สถานการณ์พลิกผันไปในระดับพื้นฐาน ซึ่งขยายขอบเขตจินตนาการของเราให้ขยายไปไกลกว่าระบบสุริยะ]
[คาดเดาได้ว่าเทคโนโลยีนี้ไม่เพียงแต่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตของเรา แต่มันจะพลิกโฉมรูปแบบการเมืองบนโลกไปโดยสิ้นเชิง เหมือนกับการเปลี่ยนแปลงที่โคลัมบัสนำมาสู่ทวีปยุโรป ผมทำนายได้เลยว่ากระบวนการโลกาภิวัฒน์ที่จบลงในศตวรรษก่อนจะกลับมาอีกครั้ง และเราจะยังมุ่งสู่พันธมิตรที่แกร่งกล้าขึ้นและการรวมกันเพื่อร่วมแบ่งปันโชคชะตาในอนาคต]
เมื่อบทความนี้ถูกเผยแพร่ออกไป มันได้เรียกเสียงตอบรับจำนวนมากจากโลกวิชาการ
ไม่เป็นเพราะแค่วิสัยทัศน์ของนักวิชาการหวังกับเทคโนโลยีนี้ แต่คำบรรยายของเขาที่ส่วนท้ายของบทความได้ทำให้ผู้คนนึกถึงสหพันธ์สัมพันธมิตรมนุษย์จากศตวรรษที่แล้ว
เพื่อเป็นการตอบโต้ภัยจากอารยธรรมต่างดาว หลายประเทศร่วมกันก่อตั้งองค์กรมหาอำนาจที่มีอำนาจจัดการมากว่าสหประชาชาติเพื่อเป็นกระบอกเสียงของมนุษยชาติ
แต่เนื่องจากหลักฐานการมีอยู่ของอารยธรรมต่างดาวยังไม่ถูกพบ และการสำรวจซากอารยธรรมดาวอังคารยังคงซบเซา พันธมิตรนี้สิ้นสุดอย่างรวดเร็วด้วยเหตุผลหลายประการ และมันยังถูกแทนที่ด้วยพันธมิตรภูมิภาคในที่สุด
ช่วงร้อยปีที่ผ่านมา ชุมชนวิชาการได้แสดงให้เห็นนับครั้งไม่ถ้วนว่ามันใช้ไม่ได้จริงที่ก่อตั้งกลุ่มที่รวมตัวทางการเมืองซึ่งรวมหลายประเทศทั่วโลก ในทางกลับกันพันธมิตรภูมิภาคระดับเล็กกลับเข้ากับความจำเป็นในการพัฒนาสังคมมนุษย์มากกว่า
แต่ตอนนี้ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ นักวิชาการหวังได้นำเสนอมุมมองที่ไม่ตรงกับความเห็นกระแสหลักในโลกวิชาการ
โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาพื้นเพการเมืองของชายชราผู้นี้ หลายคนได้เริ่มคาดการณ์ว่ามีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ก่อตัวที่สหการพาน-เอเชียนหรือไม่…
…
ไม่ว่ามีแผนการใหญ่อะไรกำลังก่อตัวอยู่ ประชาชนส่วนใหญ่ของสหการพาน-เอเชียนอยู่ในอารมณ์ปลื้มปีติยินดี
แต่ในอีกมุมหนึ่ง อารมณ์ของพันธมิตรอื่นไม่ได้มีความสุขเท่าไหร่
สำนักงานใหญ่กลุ่มพันธมิตรอเมริกาเหนือ
ภายในออฟฟิศประธาน
หัวหน้าเจ้าหน้าที่ในชุดสูทรีบเดินเข้ามาในห้อง เขาเท้ามือบนโต๊ะและมองดูประธานที่นั่งอยู่หลังโต๊ะ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ
“มีรายงานว่าสหการพาน-เอเชียนตั้งใจจะรื้อฟื้นพันธมิตรมนุษย์ขึ้นมาอีก”
หลังจากที่ได้ฟังประโยคนี้ ประธานรู้สึกอึ้งอยู่สักพัก จากนั้นเขาพูดเยาะเย้ย “พันธมิตรมนุษย์? สิ่งที่ถูกกวาดลงหลุมของประวัติศาสตร์ไปแล้วน่ะเหรอ? ฮ่าฮ่า คราวนี้พวกนั้นมีข้ออ้างอะไรอีกล่ะ? มนุษย์ต่างดาวจากดาวพฤหัส? หรือว่าจากดาวเสาร์?”
“ไม่ใช่ทั้งคู่…”
หัวหน้าทีมงานกลืนน้ำลายและวางรายงานข่าวแพน-เอเชียไว้ที่หน้าจอโฮโลแกรม
ประธานมีสีหน้าคลางแคลงใจและหันไปมองหน้าจอโฮโลแกรม
แต่ว่าตอนนี้สีหน้าของเขาชัดเจน
พวกนั้นไม่มีข้ออ้าง
มันไม่ได้มีคำเตือนหรือการข่มขู่
มันเป็นแค่คำบอกกล่าวที่น่าสะพรึง—
[จากข่าวลือหลายแหล่ง ผู้บริหารแพน-เอเชียกำลังวิจัยการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการใช้งานเทคโนโลยีสตาร์เกตสำหรับประเทศสมาชิกที่ร่วมกับการร่วมมือครั้งนี้]
“ผมไม่อยากเชื่อว่าพวกนั้นใช้สตาร์เกทส์เป็นเครื่องมือต่อรอง…”
หัวหน้าทีมงานลดศีรษะลงด้วยสีหน้าหนักใจและพูดว่า “ใช่ครับ… ผมไม่คาดคิดว่าพวกมันจะไร้ยางอายขนาดนี้”
“…”
ประธานค่อยๆ นั่งเอนหลังที่เก้าอี้ นิ้วชี้กำลังสั่นเทาระหว่างที่เขาเขี่ยสันจมูกตัวเองเบาๆ
กลุ่มพันธมิตรอเมริกาเหนือไม่ใช่ประเทศ แต่เป็นแค่พันธมิตรระดับภูมิภาค
ถ้าสหการพาน-เอเชียนเข้าร่วมพันธมิตรมนุษย์หรือองค์กรที่คล้ายกันเพื่อใช้งานเทคโนโลยีสตาร์เกท และยื่นความหวังดีให้สมาชิกของกลุ่มพันธมิตรอเมริกาเหนือ เขาสามารถเห็นการล่มสลายของกลุ่มพันธมิตรอเมริกาเหนือทั้งหมดได้เลย…
มันเป็นข้อเสนอที่ประเทศอื่นไม่อาจปฏิเสธได้
หัวหน้าทีมงานที่ยืนตรงหัวโต๊ะกลืนน้ำลายและพูดว่า
“ท่านประธาน…”
“ออกไป” เสียงของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนล้าราวกับว่าเขาแก่ขึ้นสิบปีโดยฉับพลัน ชายที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้พูดว่า “ผมอยากอยู่คนเดียว”
…………………………………………………..