Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1670 สายเลือดคุณมาจากผม
- Home
- Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ
- ตอนที่ 1670 สายเลือดคุณมาจากผม
เมื่อรายละเอียดเพิ่มเติมของกองพลังงานปฏิสสารถูกเผยออกมา เอฟเฟคต์กระแสตื่นต้นก็เพิ่มมากขึ้น
สื่อแทบทุกรายในโลกได้ให้ความสนใจกับดาวอังคารซึ่งห่างจากโลกหลายหน่วยดาราศาสตร์
ครั้งล่าสุดที่มีปรากฏการณ์ระดับนี้เกิดขึ้นคือเมื่อสองเดือนก่อน ตอนที่สหการพาน-เอเชียนประกาศโครงการริเริ่มร่วมกันเรื่องพันธมิตรมนุษย์กับหลายพันธมิตรท้องถิ่น
“ปฏิสสาร ความฝันพลังงานสูงสุด” หญิงในชุดทางการพูดขึ้น เธอมองดูแถบโฮโลแกรมตรงหน้าและพูดด้วยอารมณ์เต็มเปี่ยม “มันเป็นเรื่องที่เชื่อได้ยาก… เขาเพิ่งตื่นขึ้นมาได้เพียงหนึ่งปี”
ผู้หญิงสวยงามอีกคนที่นั่งตรงข้ามเธอพยักหน้าให้พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
“สุดท้ายแล้ว เขาก็คือนักวิชาการลู่”
ทั้งสองนั่งอยู่บนยานขนส่งซึ่งกำลังลงจอดที่เมืองเทียนกงคือลู่เสี่ยวเฉียว ซึ่งเป็นประธานกองทุนพิทักษ์สิทธิมนุษยชนแช่แข็ง และ เลขามืออาชีพที่ติดตามเธอมานานหลายปีอย่างหยางฟางฟาง
ทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียน และทั้งคู่เรียกเอกการเงิน หลังจากเรียนจบลู่เสี่ยวเฉียวก็รับต่อกิจการครอบครัว ซึ่งคือกองทุนพิทักษ์สิทธิมนุษยชนแช่แข็ง และหยางฟางฟางที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยทรงเกียรติที่เดียวกันได้ตอบรับข้อเสนองานเลขา
ครั้งนี้ทั้งสองไปดาวอังคารตามคำเชิญของนักวิชาการลู่
เอาตามตรงถึงแม้ว่าจะมีความก้าวหน้าในเทคโนโลยีสตาร์เกท การเดินทางจากโลกไปดาวอังคารยังไม่ได้สะดวกขนาดนั้น
โดยเฉพาะตอนนี้ที่โลกกำลังเข้าสู่ ‘ยุคพันธมิตรมนุษย์’ ในฐานะที่เป็นประธานกองทุนพิทักษ์สิทธิมนุษยชนแช่แข็ง ลู่เสี่ยวเฉียวต้องเข้าร่วมประชุมสำคัญหลายครั้ง แต่ประชุมทั้งหมดถูกเลื่อนออกไปเพราะเรื่องนี้
ก่อนออกเดินทางหยางฟางฟางได้โน้มน้าวให้เธอเลื่อนการเดินทางออกไปสองวันเพื่อที่จะได้สะสางงานสำคัญที่สุดให้เสร็จ
แต่ลู่เสี่ยวเฉียวไม่ได้ทำตามคำแนะนำและยืนยันว่าจะออกเดินทางทันที
“นี่ ทำไมนักวิชาการลู่อยู่ดีๆ ถึงเชิญคุณไปดาวอังคารล่ะ?”
“ฉันก็ไม่รู้” เมื่อครุ่นคิดไปสักพัก ลู่เสี่ยวเฉียวส่ายหน้า “เขาไม่ได้บอกฉันว่าเป็นเรื่องอะไร เขาแค่ขอให้ฉันไปหา”
หยางฟางฟางขมวดคิ้วและกระซิบเสียงเบา “ขอให้เธอมาที่นี่โดยไม่มีเหตุผล มันดูไม่มีหลักการเลย… ตอนนี้เทคโนโลยีการสื่อสารก็ล้ำมากแล้ว เธอไม่จำเป็นต้องมาถึงที่นี่เพื่อคุยกันต่อหน้า”
“อย่าพูดแบบนั้น เขาคงมีเหตุผลที่ขอให้ฉันมาที่นี่”
“เธอแน่ใจใช่ไหมว่ามันเป็นเรื่องดี? ถ้าเกิดเขาตั้งใจจะยึดกองทุนพิทักษ์สิทธิมนุษยชนแช่แข็งล่ะ…?”
“อย่าพูดแบบนั้นเลย”
หยางฟางฟางรู้สึกผิดใจ เธอมองลู่เสี่ยวเฉียวและพูดว่า
“ฉันแค่เป็นห่วงเธอ…”
ลู่เสี่ยวเฉียวมองดูผู้ช่วยคนสนิทและพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “มันเป็นของเขา ฉันแค่ดูแลแทนเขา ถ้าเขาอยากได้ทรัพย์สินของเขาคืน เขาก็มีสิทธิ์จะทำ”
แม้ว่าหยางฟางฟางอยากจะพูดอะไรสักอย่าง เธอล้มเลิกความคิดเมื่อเห็นสีหน้าของลู่เสี่ยวเฉียว
เธอรู้ว่าถึงเสี่ยวเฉียวดูเป็นคนง่ายๆ แต่เมื่อเป็นเรื่องศีลธรรม เธอจะไม่ยอมอ่อนให้ แม้ว่าทั้งบอร์ดบริหารจะพยายามโน้มน้าวเธอ
หลังจากยานลงจอด ทั้งสอบรีบขึ้นรถยนต์พิเศษที่ประตูอาคารผู้โดยสารและมุ่งหน้าไปยังโรงแรมสตาร์สกายในทันที
ภายในห้องรับรองพิเศษ ลู่เสี่ยวเฉียวเห็นบรรพบุรุษของเธอในที่สุด นักวิชาการลู่ผู้ทรงเกียรติ
เมื่อลู่โจวเห็นหญิงสาวที่นั่งตรงข้ามเขา เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างคนแก่ออกมา
เขากระแอมลำคอเบาๆ และพูดทักทาย
“เราพบกันอีกแล้ว”
ลู่เสี่ยวเฉียวก็มีรอยยิ้มบนใบหน้า ถึงแม้ว่าเธอรู้สึกมาตลอดว่านักวิชาการลู่มองเธอแปลกๆ มาตลอด เธอก็ไม่คิดอะไรมากกับเรื่องนี้ เธอเพียงแค่ตอบกลับด้วยเสียงสุภาพ “ใช่ค่ะ… ผ่านมานานกว่าหนึ่งปีตั้งแต่เจอกันครั้งล่าสุดใช่ไหม? เป็นอย่างไรบ้างคะ?”
“ผมเป็นอย่างไรเหรอ? สบายดี” ลู่โจวตัวแข็งทื่อไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาพูดพร้อมรอยยิ้ม “ผมชอบความรู้สึกที่เป็นอิสระและได้มุ่งมั่นกับสิ่งที่ชอบจริงๆ เมื่อผมอยู่ที่ดาวอังคาร ผมรู้สึกตลอดถึงแรงบันดาลใจที่พิเศษ… มันอาจจะเป็นภาพลวงตา บางทีผมคงอยู่บนโลกนานเกินไป และมองความสดใหม่ว่าเป็นแรงบันดาลใจ”
ลู่เสี่ยวเฉียวยิ้มอย่างตื้นตันใจ
“ไม่ว่ามันจะเป็นความสดใหม่หรือแรงบันดาลใจ ฉันดีใจที่คุณสามารถหาวิถีชีวิตที่สบายในยุคนี้และใช้ชีวิตใหม่อีกครั้ง”
“ชีวิตใหม่…”
อยู่ดีๆ ลู่โจวมีสีหน้าหมองเล็กน้อย
เมื่อนิ่งเงียบไปกว่าสองนาที เขาถอนหายใจเล็กน้อยและพูดต่อ “ถ้าเราทำทุกอย่างในอดีตเสร็จ เราถึงจะพูดเรื่องเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ แต่น่าเสียดายที่อดีตของผมยังไม่เสร็จสิ้น มีหลายสิ่งที่เหมือนว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน”
ลู่เสี่ยวเฉียวมีสีหน้ากังวล
“…เป็นเพราะคู่หมั้นใช่ไหมคะ?”
ลู่โจวส่ายหน้า “ไม่ใช่แค่เธอ มันมีคนอีกมาก… ญาติ เพื่อน ผมเชื่อว่าพวกเขามีชีวิตที่แฮปปี้ในที่ที่ผมไม่อาจมองเห็น แต่มีผมคนเดียวที่มีชีวิตอยู่ และครึ่งหลังของการเดินทางนี้ดู… ขอโทษที ผมไม่รู้ว่าจะบรรยายออกมาอย่างไรดี”
“โดดเดี่ยว?” ลู่เสี่ยวเฉียวแตะมือลู่โจวและพูดเสียงเบา “ไม่เป็นไรค่ะ ถึงพวกเขาจากไปแล้ว แต่ก็ยังมีคนที่เป็นห่วงคุณเหลืออยู่ ถ้าคุณรู้สึกโดดเดี่ยว ฉันมาเยี่ยมคุณได้ทุกเมื่อ… และคุณยังมีเพื่อนในโลกนี้อยู่”
“แต่ในท้ายที่สุด เวลาจะพรากพวกเขาไป”
“ทุกคนเลย”
“ถ้าเกิดมีข้อยกเว้นล่ะ?”
ลู่เสี่ยวเฉียวมองตาลู่โจว เธอรู้สึกอึ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินประโยคนี้ เธอไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เขาจะสื่อ
ลู่โจวไม่ได้อธิบายเพิ่มเติม เขาเพียงแค่ยื่นมือขวาออกไปโดยไม่รู้ตัว
“ขอผมดูหน้าคุณหน่อย”
ด้วยเหตุผลบางประการ ลู่เสี่ยวเฉียวไม่ได้คิดจะหลบมือที่ยื่นมาหาเธอ
แต่มือนั้นไม่ได้สัมผัสตัวเธอ ก่อนที่มือจะเข้าใกล้เธอ มันหดกลับไปอย่างรวดเร็ว
“ขอโทษที ผมเกือบลืมไปว่าคุณยังไม่รู้ ผมกะทันหันไปหน่อย”
เมื่อเห็นว่าลู่โจวมีสีหน้าประหม่า ลู่เสี่ยวเฉียวยิ้มให้และพูดติดตลก “เป็นไปได้อย่างไรคะ คุณเป็นปู่ของฉัน”
“ผมเป็นปู่ของปู่คุณน่าจะตรงมากกว่านะ” ลู่โจวพูดติดตลก เขานิ่งไปสักพักและพูดต่อ “มีเรื่องหนึ่งที่ผมยังไม่ได้บอกคุณตั้งแต่ที่ตื่นขึ้นมา”
“เรื่องอะไรเหรอ…”
ลู่โจวมีท่าทีครุ่นคิดว่าจะอธิบายสิ่งที่คิดอยู่อย่างไรดี เขาเกาหัวและดูสับสนเล็กน้อยระหว่างที่ใช้ความคิดอยู่นาน
ลู่เสี่ยวเฉียวไม่สามารถทนเห็นเขาขุ่นมัวได้ เธอจึงพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ถ้าคุณรู้สึกอาย คุณไม่ต้องบอกก็ได้”
“ไม่เลย คุณเข้าใจผิดไป ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่มีปัญหา มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องอายเลย” ลู่โจวส่ายหน้าและพูดต่อ “จริงๆ แล้ว ผมคิดว่าจะปล่อยให้เวลาจัดการ… ผมจะพูดยังไงดีล่ะ? ถึงผมจะมีเวลาอีกเยอะ แต่มันก็แทบไม่มีอะไรทิ้งไว้ให้พวกคุณ”
ลู่เสี่ยวเฉียวรู้สึกอึ้ง หลังจากลังเลอยู่สักพัก เธอพูดด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ “ถ้าคุณอยากเจอฉัน ฉันสามารถมาเยี่ยมได้ตลอดเลย”
“คุณไม่เข้าใจสิ่งที่ผมจะสื่อ ผมจะเดินทางไปไกลในอีกไม่นาน เหตุผลที่ขอให้คุณมา… ช่างมันเถอะ”
ท้ายที่สุดแล้วลู่โจวไม่ได้บอกสิ่งที่จะให้เธอทำเมื่อเขาจากไป เขาสูดลมหายใจเข้าลึกและมองเธอด้วยความแน่วแน่ แล้วทำให้เธออึ้งด้วยคำพูดของเขา
“จริงๆ แล้ว สายเลือดในตัวคุณนั้นเป็นของผม”