Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 267 คำเชิญ
หลังจากเลือกภารกิจที่สองลู่โจวก็ออกจากมิติของระบบและได้สติกลับคืนมา
เขาลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานแล้วกำลังจะไปชงกาแฟ แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงเสี่ยวถงโวยวายจากห้องนั่งเล่น
“พี่! พี่อยู่ในทีวี!”
“ทีวี?”
ลู่โจวเดินไปดูบนหน้าจอทีวี
บนหน้าจอกำลังแสดงภาพตอนลู่โจวกำลังรับรางวัลคลอฟอร์ดจากกษัตริย์แห่งสวีเดน คำบรรยายเป็นประวัติส่วนตัวของเขา
จากนั้นบนหน้าจอก็เปลี่ยนไปเป็นห้องแล็บของมหาวิทยาลัย
ศาสตราจารย์เคอร์ที่กำลังถูกสัมภาษณ์โดยนักข่าวโคลัมเบียพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ในครึ่งปีหรือหนึ่งปี คุณจะได้ใช้โทรศัพท์ติดกันเป็นอาทิตย์โดยการชาร์จครั้งเดียว ในอีกไม่กี่ปี คุณจะได้ขับรถเทสล่าได้หลายพันไมล์โดยการชาร์จครั้งเดียว…เชื่อผม ผมน่าเชื่อถือมากกว่าสื่อแน่นอน”
การสัมภาษณ์ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
สองนาทีผ่านไปก่อนที่ช่องจะเปลี่ยนไปเป็นข่าวต่อไป
เมื่อลู่โจวหันกลับมา เขาก็เห็นน้องสาวจ้องมองมาด้วยสายตาระยิบระยับ
“มีอะไร?”
เสี่ยวถงถามอย่างตื่นเต้น “พี่! สิทธิบัตรเกี่ยวกับอะไร?”
โอ้ น้องฉลาดไม่เบานี่
น้องเข้าใจคำว่าสิทธิบัตรด้วย?
ลู่โจวมองน้องสาวแล้วกล่าว “มันเกี่ยวกับแบตเตอรี่ลิเธียม วัสดุศาสตร์ น้องไม่เข้าใจรายละเอียดเฉพาะหรอก”
“สิทธิบัตร?” แววตาของเสี่ยวถงเปล่งประกาย “มันมีค่ามากไหม?”
เด็กโลภ!
วันๆคิดแต่เรื่องเงิน ความรู้คือความมั่งคั่ง มันจะวัดด้วยเงินได้ยังไง?
ลู่โจวส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม
พูดตามตรง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิทธิบัตรจะมีค่าเท่าไหร่
อย่างไรก็ตามเนื่องจากสิทธิบัตรเป็นกุญแจสำคัญของเทคโนโลยี มันควรมีค่ามาก
“น้องอยากรู้งั้นเหรอ?”
เสี่ยวถงพยักหน้าแล้วกล่าว “ใช่!”
“ถ้าอยากรู้ก็ไปอ่านหนังสือเอา ในอนาคต น้องจะได้ช่วยพี่จัดการเรื่องเงิน และน้องจะได้รู้ว่ามันมีแค่มากแค่ไหน”
“พี่จะจ่ายเงินเดือนให้อย่างดี”
ลู่โจวหัวเราะ ไม่ว่าเสี่ยวถงจะประท้วงยังไง เขาก็ไม่สน เขาหันหลังกลับและเดินไปที่โต๊ะคอม
แสร้งถ่อมตนนี่รู้สึกดีจริงๆ
…
ตอนแรกลู่โจวคิดว่าวิทยานิพนธ์ฉบับเดียวคงไม่ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตเขามากนัก
เมื่อเขาแก้ข้อคาดการณ์ของก็อลท์บัคและชนะรางวัลครอว์ฟอร์ดแม้ว่าสื่อจะพูดชื่อเขาครึกโครม แต่ชีวิตส่วนตัวของเขาไม่ได้เปลี่ยนอะไร อย่างน้อยก็ไม่มีใครมาขอเขาจับมือในที่สาธารณะ
นี่เป็นเหตุผลที่ทำไมลู่โจวถึงไม่ปฏิเสธการณ์สัมภาษณ์ของสื่อ
อย่างไรก็ตามวิทยานิพนธ์ในเนเจอร์นั้นต่างกัน
ประชาชนทั่วไปไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแบตเตอรี่ลิเธียมกับแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนต่างกันยังไง ดังนั้นวิทยานิพนธ์ฉบับนี้จึงไม่น่าตื่นเต้นเท่าข้อคาดการณ์ของก็อลท์บัค แต่ถึงกระนั้นสำหรับวงการแบตเตอรี่ วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ได้สร้างผลกระทบที่น่าตื่นเต้นมาก
แม้ว่าจะไม่มีใครมาขอลายเซ็นกลางถนน แต่โทรศัพท์ของเขาก็ดังไม่หยุด
“สวัสดีครับ ศาสตราจารย์ลู่ เราบริษัท เจอเมสันนาโนแมททีเรียลส์จำกัด จากซิลิคอนแวลลีย์ เราสนใจในเทคโนโลยีฟิล์ม PDMS ดัดแปลงที่คุณตีพิมพ์บนเนเจอร์เคมิสทรี คุณสนใจมาร่วมมือกับแล็บเราไหม?”
ข้อเสนอร่วมมือกันอีกที่…
ลู่โจวรู้สึกรำคาญ
“ขอโทษ ฉันยุ่ง ฉันยังต้องมอบหมายงานให้กับลูกศิษย์ ถ้าหากมันเป็นเรื่องสำคัญ ลองพูดให้ชัดเจนกว่านี้หน่อย ไม่งั้นฉันจะวางสายแล้ว”
เมื่ออีกฝ่ายได้ยินลู่โจวเร่ง พวกเขาก็เริ่มพูดอย่างรวดเร็ว
“พวกเรามีข้อตกลง R&D กับยูมิคอร์ ถ้าคุณอยากขายสิทธิบัตร คุณจะได้ราคาที่สูงกว่าผ่านข้อตกลง R&D”
ลู่โจววางสายแล้วโยนโทรศัพท์บนโซฟา จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในครัวและหยิบไข่มาสองใบ
เนื่องจากเนเจอร์ทำให้วิทยานิพนธ์ของเขากลายเป็นจุดสนใจ นี่จึงเป็นสายที่สิบหกที่เขาได้รับ
พูดตามตรง ถ้าอุตสาหกรรมยอมรับเทคโนโลยีนี้ ลู่โจวเต็มใจอนุญาตให้บริษัทที่เชื่อถือได้ผลิตและได้ผลตอบแทนจากมัน
ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่สามารถผลิตได้เอง การทดลองในห้องแล็บกับการผลิตเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ต่อให้สิทธิบัตรจะทำให้เขาได้เปรียบด้านต้นทุน แต่ลู่โจวไม่มีประสบการณ์ด้านสายการผลิต
แถมเขายังอยากใช้เวลาไปทำอย่างอื่นมากกว่า
ตัวเลือกที่ดีที่สุดก็คืออนุญาตให้บริษัทที่มีชื่อเสียงใช้สิทธิบัตรและคิดค่าธรรมเนียมสิทธิบัตรจากพวกเขา
อย่างไรก็ตาม เขาสามารถพิจารณาการจดทะเบียนบริษัทต่างประเทศอย่างในหมู่เกาะเคย์แมนและจ้างผู้เชี่ยวชาญมาจัดการสิทธิบัตรแทน
ส่วนการสร้างสายผลิตเอง เขาควรลืมไปได้เลย
สิ่งที่ทำให้ลู่โจวปวดหัวก็คือสายส่วนใหญ่จาก ‘แล็บวัสดุศาสตร์ MIT xx’ หรือ ‘การวิจัยวัสดุศาสตร์ซิลิคอนแวลลีย์’ และบริษัทส่วนใหญ่อยากหารือเกี่ยวกับความร่วมมือด้านสิทธิบัตร
แต่เมื่อเขาถามถึงเนื้อหาการร่วมมือ ส่วนใหญ่อยากเป็นคนกลางให้สิทธิบัตรเขา
ลู่โจวไม่ได้โง่ เขารู้ว่าสิทธิ์ในสิทธิบัตรอยู่ในมือเขา
เขารู้คุณค่าของสิทธิบัตร เมื่อถึงเวลา เขาจะเจรจากับผู้ประกอบการโดยตรง เขาไม่ต้องไปยุ่งกับห้องแล็บ
เสี่ยวถงขยี้ตาเดินออกจากห้องนอนด้วยชุดนอน เธอถามขณะหาว “พี่ ใครโทรมา?”
“ไม่มีอะไร คนขายประกันน่ะ”
ลู่โจวทำแซนด์วิชไข่เบคอนสองชิ้น เขาวางไว้บนโต๊ะและเทนมใส่แก้วให้เสี่ยวถง
เสี่ยวถงนั่งบนโต๊ะ เธอเอียงคอแล้วกล่าว “แต่หนูได้ยินว่า’สิทธิบัตร'”
เด็กคนนี้นี่ เธอยังไม่ตื่นเต็มตาด้วยซ้ำ แล้วจะได้ยินได้ยังไง?
ลู่โจว “…”
เสี่ยวถงเสนอ “ถ้าพี่ตัดสินใจไม่ได้ ทำไมพี่ไม่ถามพี่ซานซานล่ะ? เธอเป็นนักศึกษา MBA มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย เรื่องนี้น่าจะง่ายๆ”
ลู่โจวมองเสี่ยวถงแล้วถาม “น้องรู้ได้ไงว่าเธอเรียนอะไร?”
เขาจำได้ว่าเขาไม่เคยบอกเสี่ยวถงเลยว่าเฉินยู่ซานเรียนอะไร
เสี่ยวถงกลอกตามองบน “หนูคุยกับพี่สาวบนวีแชท หนูไม่ได้บอกพี่เหรอว่าจะลงวิชาเอกการเงิน? พี่สาวซานซานยังมอบคำแนะนำที่มีประโยชน์แก่หนูด้วย”
ลู่โจว “พี่จะถามเธอถ้าจำเป็น”
เสี่ยวถงกินแซนด์วิชแสนอร่อยและถอนหายใจ เธอพูดขณะเคี้ยวอาหารอยู่ในปาก “นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมลูกผู้ชายต้องเป็นผู้นำ ไม่งั้นพอถึงเวลา…โอ้ย! พี่ทำอะไรเนี่ย มันเจ็บนะ!”
เสี่ยวถงถูกเขกหัว เธอเงยหน้ามองลู่โจว
ลู่โจวไม่ได้ใส่แรงสักนิด เขาจึงรู้ว่าเสี่ยวถงแกล้งทำ
“วันๆน้องคิดอะไรอยู่ในหัวเนี่ย?”
ลู่โจวที่พึ่งทำอาหารเช้าให้เสี่ยวถงเสร็จ ทิ้งเธอไว้คนเดียวและเดินเข้าไปในครัว
เขาหยิบแซนด์วิชและนั่งอยู่หน้าโต๊ะคอม จากนั้นเขาก็เช็คอีเมลตามปกติ
และก็บังเอิญที่มีอีเมลที่ไม่ได้อ่านฉบับหนึ่งอยู่ในกล่องขาเข้า
ลู่โจวเดาว่ามันอาจมาจากห้องแล็บที่ไหนสักที่ เขาเกือบลบอีเมลด้วยซ้ำ
คำเชิญเข้าร่วมประชุม MRS
เขาเลิกคิ้วด้วยความสนใจ
น่าสนใจ…
…………………………………….