Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 37
ตอนที่ 37 ผมเห็นด้วย
ณ ห้องประชุมมหาลัยจินหลิง มีการจัดประชุมฉุกเฉินขึ้น อาจารย์ใหญ่ขอให้คณบดีสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์มานำเสนอโดยเฉพาะ
มีศาสตราจารย์จำนวนมากอยู่ในห้องแล็บตอนที่ถูกเรียกประชุมด่วน
หัวข้อการประชุมนั้นเรียบง่ายมาก มันเกี่ยวกับปัญหาหนึ่ง ซึ่งเป็นบทความที่กำลังเป็นกระแสบนเว่ยป๋อ [ในหัวข้อของนักวิชาการมหาลัยจีนสมัยใหม่ : การเริ่มต้นจากวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาปริญญาตรี]
บทความนี้พูดถึงว่านักศึกษาปริญญาตรีตีพิมพ์วิทยานิพนธ์วิทยาการคอมพิวเตอร์เก้าฉบับในหนึ่งเดือน มันถูกใช้เป็นจุดเริ่มต้นของการวิพากษ์วิจารณ์บรรยากาศทางวิชาการของสถาบันระดับอุดมศึกษาในประเทศจีนและกระบวนการตรวจสอบวารสารที่หละหลวม มันยังพูดถึงเช่นกันว่าเป็นนักศึกษาจากมหาลัยจินหลิง
บทความนี้ย่อมเป็นการด่ามหาลัยจินหลิง
ระหว่างการประชุม ศาสตราจารย์ชราจากสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ดันกรอบแว่น เขาลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวอย่างเฉยเมย “ฉันเคยอ่านวิทยานิพนธ์ทั้งเก้านี้ อันที่จริงมันเขียนได้ไม่เลว มันค่อนข้างน่าประทับใจที่นักศึกษาปริญญาตรีสามารถเขียนได้เช่นนี้ เขาพยายามส่งวิทยานิพนธ์ค่อนข้างมาก แต่วิทยานิพนธ์ของเขาซับซ้อนมากกว่าวิทยานิพนธ์วิทยาการคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่เสียอีก นักวิจารณ์ทางการศึกษาจูฟางไฉคนนั้นอาจไม่ได้รู้เรื่องวิทยาการสารสนเทศมากนัก บางทีเราควรคุยกับเขา ทำให้เขายอมรับความผิดพลาดและขอให้เขาลบบทความ”
ทำไมถึงมีคนที่ควรถูกวิพากษ์วิจารณ์เพราะตีพิมพ์วิทยานิพนธ์มากเกินไป?
ศาสตราจารย์รู้สึกสับสนมาก เขาไม่รู้ว่าทำไมการประชุมนี้ถึงจำเป็น!
“เป็นไปไม่ได้…ชายคนนี้ จูฟางไฉ รู้ระดับของตนเอง ดูสมญานามของเขาสิ นักวิจารณ์ทางการศึกษา นักเขียนงานวิทยาศาสตร์ เขาทำงานสาขาที่แตกต่างจากเรา” เลขาของโต๊ะประชุมกล่าว เขาส่ายหน้าแล้วกล่าว “เขากำลังมองหาความขัดแย้ง เขาไม่สนใจคุณหรอก”
สถานการณ์นี้ยากที่จะจัดการ
นักศึกษาไม่ได้ทำอะไรผิด มหาลัยย่อมไม่อาจไล่นักศึกษาออกไปได้ ปัญหาคือประชาชนมองความด้านเดียวและพวกเขาก็กล่าวโทษทางมหาลัย
สถานการณ์นี้เหลวไหลสิ้นดี คนนอกวงการกำลังใช้ประโยชน์จากสถานะและอิทธิพลของตนเองชี้นิ้วลงมา
ผู้บริหารมหาลัยไม่เข้าใจแรงจูงใจ
ขอบคุณพระเจ้าที่เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นระหว่างช่วงที่มหาลัยเปิดรับสมัครนักศึกษา ไม่งั้นคนในห้องประชุมนี้จะโกรธมากแน่นอน
ไม่ว่ายังไงสถานการณ์นี้ก็สร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงมหาลัยอย่างร้ายแรง
สีหน้าของอาจารย์ใหญ่สุ่ยย่ำแย่มาก เขาเงียบไปครึ่งนาทีก่อนจะพูดช้าๆ “ตอนนี้มันไม่สำคัญว่าวิทยานิพนธ์มีคุณภาพดีไหม สิ่งสำคัญคือสังคมได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับความซื่อสัตย์ของเรา อันดับแรกเราต้องลบข้อสงสัยเหล่านั้นและทำให้สถานการณ์ชัดแจ้ง ในทางกลับกัน เราต้องหาด้วยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!”
พวกเขาคุยกันตลอดช่วงบ่ายและในที่สุดก็ได้ตัดสินใจสองอย่าง
ด้านนึงทางมหาลัยต้องรักษาชื่อเสียงและอธิบายคุณค่าทางวิชาการของวิทยานิพนธ์เหล่านั้น พวกเขาต้องส่งจดหมายเตือนทางกฏหมายและร้องขอให้ขอโทษ ในทางกลับกันพวกเขาต้องขอให้คณบดีค้นหาว่าใครคือคนแซ่ลู่และสอบถามสถานการณ์ให้แน่ชัด
วิทยานิพนธ์SCIเก้าฉบับในหนึ่งเดือน มันฟังดูแหม่งๆ ศาสตราจารย์จากสาขาต่างๆเหล่านี้ล้วนเคยส่งวิทยานิพนธ์ที่ต่ำกว่ามาตรฐานเพื่อเงินกันทั้งนั้น แต่พวกเขาไม่เคยทำอะไรบ้าคลั่งแบบนี้!
อย่างไรก็ตามเวลานี้คณบดีทั้งหลายไม่รู้ว่าจริงๆแล้วลู่โจวส่งวิทยานิพนธ์ไป 10 ฉบับ แทนที่เขาจะส่งวิทยาการคอมพิวเตอร์ อันสุดท้ายเป็นคณิตศาสตร์…
…..
คอมเมนต์เว่ยป๋อ
[เชี่ย นักศึกษาปริญญาตรีตีพิมพ์วิทยานิพนธ์ SCI 9 ฉบับ ต้องเป็นเรื่องหลอกลวงแน่ มันจะตีพิมพ์ได้ง่ายขนาดนั้นเลยจริงเหรอ?]
[…ฉันคิดว่าฉันทำได้เช่นกัน (อิโมจิสุนัข)]
[สนับสนุนครูโจว! ต่อสู้กับมะเร็งโลกวิชาการ! ดัดนิสัยเจ้าต้มตุ๋นนี้! (กำปั้น)(กำปั้น)]
[นักศึกษาที่มาจากMITบอกว่าเรื่องนี้ไม่มีวันเกิดขึ้นในอเมริกา วารสารต้องได้ผลประโยชน์และกระบวนการตรวจสอบเป็นของปลอม…]
[เศร้า! มหาลัยฉันผลิตนักศึกษาแบบนี้มาได้ยังไง! เขียนวิทยานิพนธ์มีประโยชน์อะไร? คุณเปลี่ยนวิทยานิพนธ์เป็นระเบิดนิวเคลียร์ได้เหรอ? แม้แต่นักศึกษาปริญญาตรีก็ตีพิมพ์วิทยานิพนธ์ได้มากมาย โลกวิชาการของประเทศเราหมดหวังแล้ว…]
[เจ้าพวกนักรบคีย์บอร์ด แกลองไปเขียนวิทยานิพนธ์เก้าฉบับในหนึ่งเดือนสิ]
บัดซบ นี่มันอะไรกันเนี่ย?
ไม่มีใครที่มี IQ ปกติอยู่ข้างฉันเลย?
แชร์สองหมื่น คอมเมนต์หนึ่งหมื่นและยอดวิวนับไม่ถ้วน!
ลู่โจวนั่งอยู่ในห้องเรียนที่ว่างเปล่าแล้วไถอ่านเว่ยป๋อ เขาไม่มีทางออก
ไม่มีใครอยากรู้ความจริง พวกเขาแค่อยากเชื่อะไรก็ได้ที่อยู่ตรงหน้า
เป็นอย่างที่คุณจูกล่าว วิทยานิพนธ์นั้นไร้ค่า แต่จะมีคนอ่านจริงๆสักกี่คน?
มันเป็นไปไม่ได้
ลู่โจวอยากแก้แค้นข้อกล่าวหาเหล่านี้ เขาลงทะเบียนบัญชีเว่ยป๋อ เขาพิมพ์คอมเมนต์ลงไปเช่นกัน แต่ก็ไม่มีใครมาไลค์เลย
บางทีนี่อาจเป็นผลที่ตามมาของการมีบัญชีเว่ยป๋อที่ไม่เป็นที่นิยม…
เขาคิดว่าเขาเลือกภารกิจที่ง่ายขึ้น เขาไม่คิดเลยว่าเขาจะเจอปัญหามากมาย
นี่เป็นเพราะความประมาทของเขาเช่นกัน ถ้าเขาใช้นามแฝงในการตีพิมพ์วิทยานิพนธ์ คงไม่มีใครสังเกต และตอนนี้มันก็สายเกินไปแล้ว
ทันใดนั้นเองโทรศัพท์เขาก็ดังขึ้น
มันเป็นสายจากศาสตราจารย์ถัง
ลู่โจวทำหน้าสับสน มันไม่มีเหตุผลที่ศาสตราจารย์ถังจะโทรหาเขา
มันเป็นเพราะวิทยานิพนธ์? หวังว่าไม่นะ
ลู่โจวรู้สึกถึงความไม่แน่นอนขณะรับสาย
“ฮัลโหล?”
“โจวน้อย เธอทำอะไรอยู่?”
ลู่โจวได้ยินแบบนั้นเสียงเขาก็สงบมาก เขาผ่อนคลายแล้วตอบ “ผมกำลังเรียนอยู่ในห้องเรียน มีอะไรเหรอครับ?”
ศาสตราจารย์ถังชะงักชั่วครู่ก่อนจะกล่าวต่อ “ถ้าเธอว่างให้มาออฟฟิศฉันด้วย”
“ตอนนี้?”
“ใช่ ตอนนี้”
…..
ลู่โจวเก็บโน๊ตบุ๊คกับหนังสือก่อนจะตรงไปออฟฟิศศาสตราจารย์ถัง
เขาเดินเข้าไปแล้วเห็นคณบดีหลู่จากเอกคณิตศาสตร์และคณบดีจางจากวิทยาการคอมพิวเตอร์อยู่ด้วยเช่นกัน
ลู่โจวเดินเข้าไป ศาสตราจารย์ทั้งสามก็ยิ้ม พวกเขาสบตากันแล้วใช้ภาษากายคุยกัน สุดท้ายศาสตราจารย์ถังก็ถอนหายใจแล้วกล่าว “ลู่โจว อาจารย์ขอถามเธอบางอย่าง”
ลู่โจวถาม “ศาสตราจารย์ เชิญถามมาได้เลยครับ”
ศาสตราจารย์ถังกล่าวต่อ “ช่วงนั้น…หลังจากที่เธอส่งวิทยานิพนธ์คณิตศาสตร์ เธอได้ส่งSCIอีกไหม?”
ลู่โจวรู้ว่าเขาไม่อาจเก็บซ่อนความจริงได้ เขาจึงตอบตามตรง “ใช่ครับ”
คณบดีจางมองคณบดีหลู่ก่อนจะพูดอย่างจนปัญญา “อาจารย์คิดไว้แล้ว มีนักศึกษาในสาขาเราไม่มากนักที่แซ่ลู่ ส่วนคนที่เขียนวิทยานิพนธ์เป็นนั้นมีน้อยกว่ามาก”
ศาสตราจารย์ถังเป็นกังวล เขาถาม “เธอส่งวิทยานิพนธ์คณิตศาสตร์ใช่ไหม?”
“ครับ…” ลู่โจวกล่าวตามตรงและพยักหน้า จากนั้นเขาก็กล่าวเสริมด้วยเสียงอันเบา “และวิทยานิพนธ์อื่นๆ…เกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์และระบบระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์”
ดวงตาของศาสตราจารย์ถังแทบถลนออกมา “เธอ…ทำไมเธอถึงข้ามมาวิทยาการคอมพิวเตอร์! ไม่ใช่ว่าไม่กี่วันก่อนเธอกำลังวิจัยจำนวนเฉพาะของแมร์แซนเหรอ?”
“ผมเห็นว่าการส่งจะได้รับเงิน 150 หยวนต่อวิทยานิพนธ์หนึ่งฉบับ” ลู่โจวกล่าวเชิงขอโทษ เขามองศาสตราจารย์ถังแล้วกล่าวเงียบๆ “จากนั้นผมเลยแบ่งงานวิจัยของผมเป็นเก้าส่วนแล้วส่งไป…”
ศาสตราจารย์ถัง “…”
คณบดีหลู่ “…”
คณบดีจาง “…”
มันมีปัญหาไหม?
เห็นได้ชัดว่าไม่มีปัญหา เพราะยังไงมหาลัยก็สนับสนุนให้นักศึกษาส่งวิทยานิพนธ์ การส่งเพื่อเงินนั้นแปลกเล็กน้อย แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้าย…
อย่างไรก็ตามสถานการณ์นี้ได้สร้างปัญหา
ออฟฟิศเงียบสนิท สุดท้ายคณบดีหลู่ก็กระแอมแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงใจดี “เอ่อ…นักศึกษาลู่ เธอเขียนวิทยานิพนธ์เอง?”
“แน่นอนครับ” ลู่โจวกล่าว เขาพยักหน้าและกล่าวต่อ “ผมเขียนในห้องสมุด”
เขาไม่ได้โกหก เพราะการซื้อความรู้จากระบบไม่เพียงพอที่จะเขียนวิทยานิพนธ์ เขายังต้องค้นคว้าส่วนที่ไม่เข้าใจ อย่างมากเขาก็แค่คัดลองขั้นตอนการคำนวณ
เขาอ่านเอกสารมากกว่าร้อยฉบับและหนังสืออีกนับไม่ถ้วนเพื่อวิทยานิพนธ์เหล่านี้
พวกเขาไม่ต้องไปดูกล้องวงจรปิดด้วยซ้ำ พวกเขาสามารถถามคำถามเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์หรือระบบGISกับลู่โจว แล้วลู่โจวจะตอบคำถามทั้งหมดเอง
แน่นอนถ้าพวกเขาถามคำถามยากๆอย่างการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในงานสาขาอื่น เขาอาจตอบไม่ได้ อย่างไรก็ตามเขายังสามารถใช้แต้มทั่วไปเพื่อซื้อคำตอบทันที มันแค่สิ้นเปลืองก็เท่านั้น
คณบดีหลู่ไม่รู้จะพูดอะไร เป็นคณบดีจางที่ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าว “คณบดีหลู่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เขาแค่ประหลาดใจที่เธอชำนาญวิทยาการคอมพิวเตอร์ อาจารย์เห็นสอบภาษา C เธอแล้ว เธอได้95คะแนน ดีมาก อาจารย์เชื่อว่ามันเป็นวิทยานิพนธ์ที่เขียนมาด้วยตนเอง…แต่ก็มีคนที่ไม่เชื่อเธอแล้วเขียนบทความขึ้นมา เธอเคยเล่นเว่ยป๋อไหม?”
อันที่จริงพูดตรงๆ ปัญญาประดิษฐ์ส่วนใหญ่เขียนด้วยภาษา C++ ซึ่งมันค่อนข้างแตกต่างจากภาษา C อาจารย์จะสอนแค่รูปแบบพื้นฐานของภาษา C++ เท่านั้นและไม่ได้ลงลึกในภาษาเลย
คณบดีจางรู้ว่าใครก็ตามที่เขียนวิทยานิพนธ์ได้แบบนั้น เขาจะต้องชำนาญภาษา C เช่นกัน 95 คะแนนก็เป็นไปตามความคาดหวังของเขาแล้ว
“อาจารย์กำลังพูดถึงบทความนั้นเหรอครับ?” ลู่โจวถาม
“ใช่” คณบดีจางกล่าว เขาจ้องมองลู่โจวแล้วพยักหน้า “เธออ่านแล้ว?”
ลู่โจวตอบ “ผมอ่านแล้ว” แม้ว่าเขาจะโกรธมาก แต่ภายนอกเขาก็ยังทำตัวสงบ เขาส่ายหน้าแล้วกล่าวลวกๆ “บทความนี้ไม่มีสมอง ผมไม่ลดตัวเองไปอยู่ในระดับเดียวกับพวกเขา”
อันที่จริงในใจของเขา เขาอยากถือมีดไปแทงคนเขียนบทความให้ยับ
“นักศึกษาลู่ อาจารย์ต้องอธิบายให้เธอสักหน่อย” คณบดีหลู่กล่าว เขามองลู่โจวอย่างจริงจัง “เธอไม่ใช่แค่คนๆเดียว เธอเป็นนักศึกษาของทางมหาลัย เธอเป็นตัวแทนชื่อเสียงของมหาลัย! เราจะไม่ยกโทษให้นักศึกษาที่ผิดศิลธรรม แต่เราจะไม่ยอมให้มีคนมาทำให้ชื่อเสียงของนักศึกษาของเราแปดเปื้อนเช่นกัน อาจารย์หวังว่าเธอจะปรับทัศนคติแล้วให้ความสำคัญกับเหตุการณ์นี้อย่างจริงจัง”
“แต่คณบดีหลู่ ผมทำอะไรไม่ได้ ผมเขียนถึงเขาแล้ว แต่เขาก็ไม่ตอบเลย” ลู่โจวกล่าวอย่างไม่มีทางเลือก
“อันที่จริง คณบดีหลู่แค่อยากให้เธอมีทัศนคติเชิงบวกมากขึ้น” คณบดีจางกล่าวด้วยน้ำเสียงปลอบโยน “เกี่ยวกับความคิดเห็นของสาธารณชน มหาลัยจะทำการแถลงข่าว เราหวังว่าเธอจะร่วมมือกับเราแล้วออกมาพูดให้ตัวเองกับทางมหาลัย ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
พวกคุณแค่อยากให้ฉันออกมาพูด?
ง่ายมาก ทำไมคุณไม่บอกฉันแต่แรก?
ลู่โจวโล่งอกแล้วพยักหน้า
“ผมเห็นด้วย!”