Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 437 ผมต้องการขายโดรน (รีไรท์)
- Home
- Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ
- ตอนที่ 437 ผมต้องการขายโดรน (รีไรท์)
การประชุมเริ่มขึ้นอีกครั้ง
เมื่อก้าวเข้ามาในห้องประชุม ศาสตราจารย์แคริเบอร์ก็นำเอกสารสำเนาหลายชุดมาวางบนโต๊ะพร้อมให้สัญญาณแก่ผู้ช่วยของตนด้านหลังให้นำเอกสารไปแจก
ทั้งศาสตราจารย์และวิศวกรท่านอื่นที่โต๊ะประชุมต่างมองหน้ากัน พวกเขาไม่รู้ว่าศาสตราจารย์แคริเบอร์กำลังทำอะไรอยู่
ทันทีที่ศาสตราจารย์เอดอร์หยิบเอกสารขึ้นมา เขาก็เริ่มกวาดสายตาและขมวดคิ้วเล็กน้อย
“นี่มันอะไรกัน?”
ศาสตราจารย์แคริเบอร์กล่าวคำพูดออกมาพร้อมวางมือไว้บนโต๊ะ
“นี่คือสิ่งที่พวกเราตั้งตารอมานาน!”
มันเป็นอะไรที่ค่อนข้างน่าอึดอัดหากถูกจ้องมองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหิวกระหาย ศาสตราจารย์เอดอร์ถึงกับลังเล
“แน่ใจนะว่ามันเชื่อถือได้?”
ศาสตราจารย์แคริเบอร์กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลมากขึ้น “ผู้แต่งวิทยานิพนธ์นี้คือศาสตราจารย์ลู่จากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน! ซ้ำเขายังเป็นผู้ที่ได้รับรางวัลเหรียญฟิลด์ในปีนี้ด้วย ถ้าแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของเขาไม่น่าเชื่อถือ เราก็คงเชื่อใครไม่ได้แล้วแหละ!”
“ความปั่นป่วนของพลาสมา… แค่อ่านก็ปวดหัวแล้ว” ผู้เชี่ยวชาญด้านฟิสิกส์พลาสมาที่นั่งอยู่มุมโต๊ะประชุมเริ่มขมวดคิ้วและวางเอกสารลง “ผมเป็นนักฟิสิกส์ที่พลาสมานะ ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อหารือเรื่องกลศาสตร์ของไหลสักหน่อย”
เหล่าศาสตราจารย์บางคนถึงกับพูดอะไรไม่ออก พวกเขาจ้องมองเอกสารในมือและตรวจดูกระบวนการอันซับซ้อน ภายในที่ประชุมนั้นมีผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากที่มาจากสถาบันมักซ์พลังค์ อีกทั้ง ยังมีนักวิชาการที่มาเยี่ยมชมจากทั่วทุกมุมโลกอีกด้วย
นอกจากนี้ บางคนก็เป็นถึงผู้เชี่ยวชาญในด้านคณิตศาสตร์
แต่ถึงบางคนจะไม่เชี่ยวชาญ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
เช่นเดียวกับแคริเบอร์
แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่เข้าใจในบางส่วนของการสนทนา แต่หลายคนก็ยังสามารถเข้าใจแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ในหัวข้อบทสรุปและผลการคำนวณขั้นสูงที่แนบมากับวิทยานิพนธ์ได้
แคริเบอร์กล่าวอย่างจริงจังพร้อมมองไปยังศาสตราจารย์เฮซิงเกอร์ “ก็รู้หรอกว่ามันน่าตกใจ เพราะในแวดวงฟิสิกส์เองก็รู้กันดีอยู่แล้วว่าปัญหาเรื่องความปั่นป่วนของพลาสมามันแก้ไขไม่ได้ ยังไงก็เถอะ ถ้าแบบจำลองนี้ถูกต้อง เราก็น่าจะใช้มัน ในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการควบคุมเพื่อลดการชนกันของพลาสมากับผนังชั้นแรกได้”
หลังจากที่เงียบอยู่นาน ศาสตราจารย์เฮซิงเกอร์ก็ได้ตัดสินใจ
“งั้นลองดูก็แล้วกัน”
วิธีที่ดีที่สุดในการทดสอบความจริงคือการทดลอง
เช่นเดียวกับแบบจำลองเชิงปรากฏการณ์วิทยาที่พวกเขาใช้อยู่ ทุกอย่างต้องมีการทดลองนับไม่ถ้วน
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ศาสตราจารย์เอดอร์ก็พลันขยับตัวและมองไปยังศาสตราจารย์เฮซิงเกอร์อย่างไม่เชื่อสายตา “แน่ใจนะว่าต้องการเปลี่ยนรูปแบบการควบคุมของพลาสมา? เพียงเพราะแค่ดูจากวิทยานิพนธ์ฉบับนี้?”
ศาสตราจารย์เฮซิงเกอร์พลันชำเลืองมอง
“แล้วเรามีทางเลือกอื่นไหมล่ะ?”
การเปลี่ยนแผนการควบคุมไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่ทว่า มันก็ยังง่ายกว่าการเปลี่ยนแปลงทั้งระบบ…
…
หลังจากส่งวิทยานิพนธ์แล้ว ลู่โจวก็พลันผ่อนคลาย
สำหรับคราวนี้ ลู่โจวก็ได้โพสต์วิทยานิพนธ์ลงในเว็บไซต์ arXiv แต่ทว่า มันก็ไม่ได้ทำให้ภารกิจของระบบนั้นสำเร็จ
ดูเหมือนว่ากฎสำหรับวิทยานิพนธ์แบบประยุกต์ประเภทนี้จะแตกต่างจากวิทยานิพนธ์แบบพิสูจน์ทางคณิตศาสตร์ การเผยแพร่วิทยานิพนธ์สู่สาธารณะนั้นไม่ใช่เกณฑ์ในการบรรลุภารกิจ
ลู่โจวพลันจำคำอธิบายของถารกิจได้ “สร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์สำหรับความปั่นป่วนของพลาสมาในเครื่องสเตลลาเรเตอร์ให้ได้…”
ต้องมีเครื่องสเตลล่าเรเตอร์อย่างน้อยหนึ่งเครื่องใช่ไหม?
หากเป็นเช่นนั้น ภารกิจนี้คงจะยากใช่เล่น…
แม้แต่วารสารระดับสูงอย่าง พีอาร์เอ็กซ์ เองก็มีโอกาสที่จะถูกนำไปใช้ในสถาบันวิจัยน้อยมาก
และที่สำคัญที่สุดก็คือโลกนี้มีเครื่องสเตลลาเรเตอร์ที่น้อยเกินไป…
แน่นอน วิทยานิพนธ์ของลู่โจวก็อาจมีปัญหาเช่นกัน
แต่ลู่โจวก็รู้สึกได้ว่าความน่าจะเป็นของมันนั้นต่ำมาก…
และหลังจากที่วิทยานิพนธ์กำลังถูกตรวจสอบ ลู่โจวเองก็ได้หยุดพักทำงานไปพักหนึ่ง
จากสมการนาเวียร์-สโตกส์ไปจนถึงการศึกษาปัญหาความปั่นป่วนของพลาสมาในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา นอกเหนือจากวันที่เขาไปบราซิลเพื่อเปิดการประชุม เขาก็แทบจะไม่ได้หยุดพักเลย
ถึงอย่างไร เขาไม่ใช่เครื่องจักร เขาเองก็ต้องการพักผ่อนเช่นกัน…
เด็กมหาลัยกลุ่มหนึ่งกำลังทดสอบโดรนกันอยู่ข้างทะเลสาบคาร์เนกี
การแข่งขันฤดูใบไม้ร่วงประจำปีกำลังจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง และตอนนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดสำหรับการฝึกซ้อม
ในฐานะที่ปรึกษา ลู่โจวก็จะมาที่นี่เพื่อคุยเล่นกับพวกเขา
ในแง่หนึ่ง ลู่โจวมักจะให้คำแนะนำกับเหล่านักศึกษาเกี่ยวกับปัญหาทางเทคนิค นอกจากนี้ เขาก็จะใช้โอกาสนี้ในการออกมาเดินเล่นรอบทะเลสาบเพื่อรับแสงแดด
ในตอนนั้นเอง จิมมี่ซึ่งเป็นประธานสโมสรก็เดินมานั่งอยู่ข้างลู่โจวและกล่าวคำพูด
“ศาสตราจารย์ ปีหน้าผมจะเรียนจบแล้วนะ”
“งั้นเหรอ? ฉันคงต้องให้คำแนะนำดีๆ กับนายหน่อยแล้วแหละ อย่างเช่น แนะนำศาสตราจารย์ที่น่าเชื่อถือสักสองสามคนเป็นไง?”
สำหรับลู่โจวแล้ว เขายังคงประทับใจในตัวนักศึกษาไม่เคยเปลี่ยน
แม้ว่าลู่โจวจะรู้จักศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมไม่มากนัก แต่มันก็ถือเป็นเรื่องดีที่จะรู้จักศาสตราจารย์คนอื่นด้วย
ทว่า จิมมี่กลับส่ายหัว
“ผมไม่ได้วางแผนที่จะเรียนต่อสักหน่อย ผมแค่อยากเรียนให้จบ”
ลู่โจวมองไปยังจิมมี่พร้อมกล่าวคำถาม
“เรียนจบ? แล้วนายอยากทำอะไรต่อจากนั้นไหมล่ะ?”
“โดรน!” จิมมี่จ้องมองโดรนที่บินอยู่บนท้องฟ้าพร้อมเผยยิ้ม “ความฝันของผมคือการเปิดบริษัทโดรนครับ”
“น่าสนใจดีนะ แต่นายจะใช้โดรนทำอะไรล่ะ?” ลู่โจวกล่าว
จิมมี่ตอบด้วยรอยยิ้ม “ทำได้เยอะเลยล่ะครับ ไม่ว่าจะใช้โดรนเพื่อส่งของหรือส่งพิซซ่า”
โดรนส่งพัสดุ?
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น…
ลู่โจวพลันมองไปยังโดรนที่บินอยู่บนท้องฟ้าและนึกย้อนไปถึงวิทยานิพนธ์สองสามเล่มแรกที่เขาตีพิมพ์ในสมัยเรียนมหาวิทยาลัย
เขายังจำข้อเสนอครั้นอดีตได้อยู่เลย
ทันใดนั้น ลู่โจวก็อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าในตอนนั้นเขาไม่ได้ปฏิเสธข้อเสนอ แล้วเลือกที่จะพักการเรียนเพื่อไปศึกษาการระบบขนส่งโดรน ชีวิตของเขาจะเป็นเหมือนตอนนี้หรือเปล่า?
มันเป็นเรื่องราวในชีวิตที่น่าอัศจรรย์เสียจริง…
“ศาสตราจารย์?” จิมมี่กล่าว
“ว่าไง?” ลู่โจวหันกลับไป
“คิดยังไงกับการใช้โดรนเป็นเครื่องมือขนส่งเหรอครับ?”
จิมมี่มองไปยังลู่โจวอย่างจริงจังพร้อมขอคำแนะนำ
“มันก็ดี จะพูดยังไงดีล่ะ… ฉันเองก็มองว่ามันเป็นเรื่องที่เจ๋งมากเลยนะ แค่ยังไม่คิดที่จะลงทุนอะไรแบบนั้นในเร็วๆ นี้หรอก”
จิมมี่เผยยิ้ม “ไม่ใช่ อาจารย์กำลังเข้าใจผิดอยู่ ผมไม่ได้ต้องการให้อาจารย์มาลงทุนด้วย พ่อผมยินดีที่จะให้เงินมาลงทุนห้าล้านดอลลาร์อยู่แล้ว ต้นทุนแค่นี้มันก็เพียงพอแล้ว”
ลู่โจวพลันขมวดคิ้ว
ดูเหมือนว่าเขาจะสำคัญตัวมากไปหน่อย…
ทำไมลูกศิษย์ของเราถึงรวยกันจังนะ?
“ถ้านายทำได้แบบนั้น ก็ถือว่าเยี่ยมเลยล่ะ ยังไงก็เถอะ ฉันอาจช่วยนายไม่ได้ในบางเรื่องนะ แต่ฉันแนะนำวิทยานิพนธ์ดี ๆ สักเล่มสองเล่มให้ได้นะ… ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเหมือนความรู้ทั่วไปก็เถอะ” ลู่โจวกล่าวต่อ “อีกอย่าง วิทยานิพนธ์รพวกนั้นก็ถูกตีพิมพ์ออกไปสู่สาธารณชนแล้วด้วย แต่ฉันเองก็ยังไม่แน่ใจว่าในห้องสมุดไฟร์สโตนจะมีไหม นายก็คงต้องอดทนหาเอาสักหน่อยล่ะ”
ความน่าเศร้าของห้องสมุดก็อาจจะอยู่ตรงนี้แหละ
อันที่จริง ลู่โจวใช้คะแนนทั่วไปเพื่อทำให้ภารกิจให้สำเร็จ เพราะแบบนั้น จึงเป็นระบบต่างหากที่เขียนวิทยานิพนธ์ขึ้นมา
เมื่อลองคิดดูแล้ว ลู่โจวก็รู้สึกว่าคุณภาพของวิทยานิพนธ์เหล่านั้นยังคงดีอยู่ แม้ว่ามันจะถูกเปิดอ่านไปหลายครั้งแล้วก็ตาม
ถึงกระนั้น จิมมี่ก็ไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง ทันทีที่ได้ยินคำพูดของลู่โจว ดวงตาของจิมมี่ก็สว่างขึ้นทันทีพร้อมกล่าวคำพูด “งั้นช่วยแนะนำผมหน่อยเถอะ!”
ลู่โจวไม่ได้พูดไปเรื่อย เขาพลันหยิบเอกสารวิทยานิพนธ์ฉบับหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
เขาเองก็จำไม่ได้แล้วว่าต้นฉบับพวกนี้มาจากการประชุมรอบไหน แต่เขาก็มักจะใช้มันเป็นเหมือนเครื่องมือที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจ อีกทั้ง เขายังได้เขียนสูตรการคำนวณและสัญลักษณ์บางอย่างที่มีแค่ตัวเองที่เข้าใจได้เท่านั้นลงไปด้วย
หลังจากฉีกแผ่นกระดาษเปล่าออก ลู่โจวก็เขียนชื่อวารสารวิชาการพร้อมวันที่ลงไป จากนั้น เขาก็ส่งให้จิมมี่
“เอาไปสิ”
“ขอบคุณครับ!”
ทันทีที่ได้รับกระดาษจากลู่โจว จิมมี่ก็รีบเอาใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็วราวกับได้รับสมบัติล้ำค่า
เมื่อมองดูจิมมี่ ลู่โจวก็หวังเอาไว้ว่ามันคงช่วยอะไรได้บ้าง
ทันใดนั้น โทรศัพท์ในกระเป๋าของลู่โจวก็ดังขึ้นสองครั้ง
ลู่โจวยืนขึ้นพร้อมตบหญ้าที่กางเกงแล้วเดินไปริมทะเลสาบ เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
มันมาจากเสี่ยวไอ
ทันทีที่สไลด์หน้าจอโทรศัพท์ขึ้น ลู่โจวก็เปิดลิงก์และลงชื่อเข้าใช้อีเมลเพื่ออ่านจดหมาย
ทั้งนี้ มีจดหมายที่ยังไม่ได้อ่านอยู่สองฉบับ
ฉบับแรกมาจาก พีอาร์เอ็กซ์ พวกเขาต้องการแจ้งให้ลู่โจวทราบว่าการตรวจสอบวิทยานิพนธ์เสร็จสิ้นแล้ว
และอีกฉบับหนึ่ง มันถูกส่งมาสถาบันมักซ์พลังค์…
………………………………………….