Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 500 มูลค่าสี่พันล้าน
“จากเครื่อง WEGA สู่ STAR มูลค่าสี่พันล้าน?”
ภายใต้การพาดหัวข่าวที่มุ่งเน้นความขัดแย้ง เนื้อหาของข้อความมีประมาณสามย่อหน้า เป็นคำอธิบายในเรื่องเครื่อง STELLARATOR ทั้งในอดีตและปัจจุบัน
ถึงอย่างไร มันมีไม่ถึงห้าร้อยคำด้วยซ้ำ
ทว่า เนื้อหาภายในเป็นเพียงการปูทางไปสู่การสันนิษฐาน
เมื่อเห็นเช่นนั้น ลู่โจวพลันเลิกคิ้วด้วยความสนใจ เขารู้สึกสงสัยว่านักวิชาการโจวตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ แล้วเขาก็มองไปยังเนื้อความบรรทัดต่อไป
ลู่โจวพลันอ่านเนื้อหาอย่างรวดเร็ว
แนวคิดทั่วไปของบทความวิจารณ์ทางวิทยาศาสตร์ตรงหน้ามีเพียงสองข้อเท่านั้น
ประเด็นแรกคือช่วงเวลาในการกักเก็บพลาสมาในเชิงวิทยาศาสตร์ มันดูจะไม่ได้มีความแปลกใหม่อะไรในด้านนิวเคลียร์ฟิวชันแบบควบคุม
ประเด็นที่สองคือหัวข้อการประชุมในฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงภายใต้โครงการเครื่อง STELLARATOR ที่ต้องใช้เงินกว่าสี่พันล้านหยวน
สำหรับแนวคิดหลักของบทความฉบับเต็ม นอกเหนือจากการวิพากษ์วิจารณ์วิธีการทางเทคนิคของเครื่อง STELLARATOR แล้ว นักวิชาการโจวได้เพิ่มหัวข้อการสิ้นเปลืองทรัพยากรของชาติและผลกระทบที่อาจจะมีต่อประเทศหากมีการพัฒนานิวเคลียร์ฟิวชันแบบควบคุมลงไปด้วย
สาเหตุที่นักวิชาการโจวทำเช่นนี้ ลู่โจวก็พอจะเดาได้
มันคือการเอาชนะ
ท้ายที่สุดแล้ว การลงทุนของรัฐในเรื่องนิวเคลียร์ฟิวชันแบบควบคุมได้นั้นยังคงมีข้อจำกัด ซึ่งอาจจะเหนือความคาดหมายของลู่โจวก็ได้
แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรไหม?
ก็อาจจะมี แต่คงไม่มากนัก
บทความวิจารณ์นี้ถูกลงนามโดยผู้คนที่มีอิทธิพลระดับสูง
ยิ่งไปกว่านั้น มันไม่ใช่บทความวิจารณ์ทั่วไป
บทความนี้ถูกเขียนโดยโจวเฉิงฟู่ หัวหน้าทีมโครงการ ITERLAND จากประเทศจีน อีกทั้ง เขายังเป็นหัวหน้าบริหารโครงการพลังงานนิวเคลียร์ฟิวชันนานาชาติอีกด้วย
หากเขาไม่ใช่นักวิชาการที่มีชื่อเสียง บทความนี้อาจจะไม่ได้รับความสนใจอะไร
แต่สำหรับลู่โจวแล้ว…
มันอาจจะส่งผลกระทบต่อเขาอยู่บ้าง แต่ยังมีข้อจำกัดอยู่
กลิ่นอายของรางวัลโนเบลพลันสะท้อนให้เห็นถึงเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น
และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่โจวเฉิงฟู่คิดจะโจมตีลู่โจว
“ผมว่าเขาเขียนได้ดีนะ” ลู่โจวเผยยิ้มและพลิกดูหนังสือพิมพ์ในมือ
ทว่า ลู่โจวก็ไม่ได้โกรธอะไร เขาพลันกล่าวชมว่าเขียนได้ดีด้วยซ้ำ เซิ่งเซียนฟู่อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “นายไม่โกรธเลยหรืออย่างไรกัน?” สำหรับลู่โจวแล้ว การเอาชนะหรือแข่งขันกันในเชิงวิชาการถือเป็นเรื่องปกติ
แล้วหากเข้าใจความเป็นจริงของโลก ก็จะไม่ทำการตอบโต้กลับ
ลู่โจวเผยยิ้มและถามขึ้นมา “แล้วคุณเห็นนักวิชาการผานโกรธไหมล่ะ?”
“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน… แต่ว่าเราจะทำเป็นไม่สนใจไปเลยอย่างนั้นเหรอ?” เซิ่งเซียนฟู่กล่าวด้วยท่าทีที่แปลกไป
“ทำไมล่ะ? จะเขียนบทความวิจารณ์เครื่องโทคาแมคตอบโต้กลับหรืออย่างไรกัน? ถ้าทำแบบนั้น คนใหญ่คนโตจะต้องไม่ชอบใจแน่” ลู่โจวกล่าวขึ้นพร้อมโยนหนังสือพิมพ์ไปข้างกาย “อย่างไรก็เถอะ ผมเองก็กำลังทำรายงานการวิจัยอยู่ เดี๋ยวก็ต้องเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์อีกเหมือนกัน”
แท้จริงแล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นไปไม่ได้
หากปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขยังมีจุดบอด วิธีการทางเทคนิคก็สามารถพบจุดบอดได้เช่นกัน
ตัวอย่างเช่น เครื่องโทคาแมคถือเป็นสนามแม่เหล็กภายนอกที่ทำงานควบคู่ไปกับสนามแม่เหล็กที่สร้างขึ้นโดยกระแสพลาสมา ซึ่งมันไม่ต่างอะไรกับการใช้กระแสไฟฟ้าหลายสิบล้านแอมป์บนตัวนำที่ไม่เสถียรและปั่นป่วนอยู่ตลอดเวลาเลย
ปัญหาร้ายแรงอย่างรูปลักษณ์ที่บิดเบี้ยวหรือความผุพังของแม่เหล็กเองก็สามารถนำไปสู่การล่มของระบบทั้งหมดได้ และผลที่ตามมานั้นอาจจะอันตรายกว่าการจำลองดาวฤกษ์เสียด้วยซ้ำ มันอาจทำให้อุปกรณ์ทดลองทั้งหมดเสียหายได้
ด้วยเหตุนี้ ทุกการทดลองที่ใช้เครื่องโทคาแมค ผู้ใช้จึงต้องระมัดระวังและรอบคอบเป็นอย่างมาก
บางครั้ง ลู่โจวก็มีความคิดสุดประหลาดผุดขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเหตุผลทางคณิตศาสตร์ การแก้ปัญหาสมการที่ซับซ้อนและปัญหาการไหลทะลักของพลาสมา เขาคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ ทว่าปัญหาร้ายแรงอย่างรูปลักษณ์ที่บิดเบี้ยวหรือความผุพังของแม่เหล็กอาจจะไม่สามารถแก้ไขได้
ถ้านักวิชาการโจวมีเหตุผลมากพอ เขาจะไม่ใช้ข้อโต้แย้งที่ไร้สาระนี้เพื่อโจมตีคู่ต่อสู้เลยด้วยซ้ำ
ทว่าเซิ่งเซียนฟู่ยังคงรู้สึกอึดอัดใจ จากนั้นลู่โจวก็พูดต่อ
“ข้อเท็จจริงมันน่าเชื่อถือกว่าคำพูดนะ อีกอย่างผลลัพธ์ของเราก็คือการตอบโต้กลับที่ดีที่สุด”
“งานหลักของนายตอนนี้คือเตรียมการทดลองในเดือนสิงหาคมให้พร้อม”
“ครั้งต่อไป เราต้องลองอีกสักสามสิบนาที”
ทันทีที่ได้ยินว่าสามสิบนาที ท่าทีของเซิ่งเซียนฟู่ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“สามสิบนาที…สำหรับอุปกรณ์สตาร์แล้ว มันจะไม่ยากไปหน่อยหรืออย่างไรกัน?”
แม้ว่าไดเวอร์เตอร์ระบายความร้อนจะได้รับการอัพเกรดและปรับปรุงรูปแบบการควบคุมของหินเกลียวแล้ว แต่ก็ยังคงยากที่จะแตะเวลาสามสิบนาที
“กลัวหรืออย่างไรกัน?”
เซิ่งเซียนฟู่เงียบไปชั่วครู่เมื่อเห็นท่าทีสุดมั่นใจของลู่โจว
ผ่านไปสักพัก จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขาลุกโชนอีกครั้ง
“งั้นมาลุยกัน”
…
สำหรับโลกวิชาการ ปัญหาที่เกี่ยวกับวาล์วอาจมีมาช้านานแล้ว
แทนที่จะพูดถึงประเด็นทางวิชาการที่เฉพาะเจาะจงมากกว่านี้ แต่เรากลับหยิบยกประเด็นทางวิชาการหรือการถกเถียงทางวิชาการที่เกี่ยวกับศีลธรรม ผู้คนและความสูงส่งทางการเมืองเข้ามาหารือกันแทน อีกทั้งยังมีการใช้ช่องว่างทางความรู้ ความคิดเชิงอนุรักษนิยม และระบบข้าราชการเพื่อปลุกระดมความยุติธรรมขึ้นมาอีกด้วย
สำหรับแนวความคิดเรื่องชาติพันธุ์และความเชื่อในการโจมตีคู่ต่อสู้ของผู้คน อาจกล่าวได้ว่านี่คือวิธีแห่งการเอาชนะ
แม้แต่คนใหญ่คนโตในโลกวิชาการอย่างศาสตราจารย์ชิวเหลาเองก็ยังได้รับความเดือดร้อนจากการเผชิญกับโลกวิชาการในประเทศ
ที่สำคัญ ห้ามโต้เถียง แต่ควรพยายามหาหลักฐานมาหักล้าง จงเลือกรายงานตามข้อเท็จจริงที่เป็นประโยชน์ต่ออีกฝ่ายและขยายความ
ลู่โจวคิดว่าวิธีการของนักวิชาการโจวดูจะโบราณเกินไป
แม้ว่าลู่โจวต้องการที่จะตอบโต้กลับ แต่เขาคิดว่าหาข้อพิสูจน์มาหักล้างเสียดีกว่า
อย่างไรเสีย ลู่โจวก็ไม่ได้คิดจะทำอะไรอยู่แล้ว
เพราะผลลัพธ์คือเครื่องพิสูจน์ที่ดีที่สุดเสมอ
สำหรับสิ่งที่โจวเฉิงฟู่พูดมา เขาไม่ได้สนใจเลยตั้งแต่แรก
และแม้ว่าลู่โจวจะไม่สนใจ แต่ก็ยังมีคนที่สนใจอยู่มาก
อย่างเช่นนักวิชาการผาน
แม้จะเกษียณอายุไปแล้ว แต่เขายังคงมีความกังวลในทุกเรื่องที่เกิดขึ้นภายในวงการนี้
ทันทีที่เห็นบทความที่ลงนามโดยโจวเฉิงฟู่ ปฏิกิริยาแรกของนักวิชาการผานคือการโทรหาลู่โจวและบอกเขาว่าอย่าตอบโต้อะไร
ในตอนนั้น หากหุนหันพลันแล่นไป ก็จะต้องเข้าทางโจวเฉิงฟู่แน่
สำหรับเรื่องนี้ ลู่โจวไม่ได้รู้เป็นคนแรก
ลู่โจวรู้ดีอยู่แก่ใจว่าอะไรควรทำและไม่ควรทำ
นอกจากนักวิชาการผานจะรู้เรื่องแล้ว อีกคนที่รู้ก็คือคณบดีหรืออาจารย์ใหญ่สวี่แห่งมหาวิทยาลัยจินหลิง
อารมณ์ของอาจารย์ใหญ่สวี่นั้นไม่เย็นเท่านักวิชาการผานทันทีที่รู้เรื่อง
โครงการ TAR ถือเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญของมหาวิทยาลัยจินหลิง
และลู่โจวก็เป็นหน้าเป็นตาของมหาวิทยาลัยอีกด้วย อย่างไรก็ตาม อาจารย์ใหญ่สวี่ก็ยังคงเป็นห่วงความรู้สึกของคนอื่นที่ต้องเผชิญหน้ากับโจวเฉิงฟู่อยู่ดี
ทันทีที่ลู่โจวพบกับอาจารย์ใหญ่สวี่และพร้อมที่จะหารือ เขาก็พลันพูดเรื่องแผนการควบคุมเครื่อง STELLARATOR ขึ้นมาทันใด
“แล้วเรื่องโจวเฉิงฟู่เป็นอย่างไรบ้างล่ะ?”
……………………………………………