Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 510 ผมคิดมาครึ่งปีแล้ว
- Home
- Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ
- ตอนที่ 510 ผมคิดมาครึ่งปีแล้ว
ณ ห้องทำงานของคณบดีของสถาบันพรินซ์ตัน
มีแม่บ้านคนหนึ่งกำลังกวาดห้องพร้อมกับเดินไปเช็ดหน้าต่าง
หลังจากทำความสะอาดภายในห้องเสร็จหมดแล้ว เธอก็ยกถังน้ำและเดินออกไป
ก่อนเดินออกไป เธอมองไปยังศาสตราจารย์ปีเตอร์ ก็อดดาร์ดที่กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานด้วยความประหลาดใจ
แม้เธอจะไม่รู้เรื่องวิชาการมากนัก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นว่าชายชราคนนี้แสดงสีหน้าไม่พอใจ
แน่นอนถึงแม้ว่าเขาจะได้รับตำแหน่งคณบดีก็เถอะ แต่นั่นมันก็ห้าหรือหกปีมาแล้ว
ชายชราผมขาวนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานดันแว่นขึ้นและมองไปยังชายหนุ่มตรงหน้า
“ในช่วงต้นปีนี้ มีการเสนอให้นำนายเข้าร่วมไว้ในทีมนักวิจัยของสถาบันการศึกษาขั้นสูงพรินซ์ตัน ฉันรู้ว่าตอนนี้ไม่เหมาะที่จะพูดเท่าไหร่ แต่…นายคิดดีแล้วงั้นเหรอ?”
สถาบันวิจัยแต่ละแห่งของพรินซ์ตันมีทีมวิจัยขนาดเล็กที่จะต้องทำงานไปตลอดชีวิต นักวิชาการที่ถูกรวมเข้าไปในทีมหลักนี้ถือเป็นบุคคลที่เก่งที่สุดในโลก อีกทั้งงานวิจัยที่พวกเขาทำก็เป็นงานวิจัยขั้นสูงของแต่ละสาขาทั้งนั้น
ในด้านวิชาการนักวิจัยที่ทำงานในสถาบันการศึกษาขั้นสูงพรินซ์ตันนั้นไม่เพียงแต่จะได้รับเงินทุนวิจัยและมาตรฐานการครองชีพเท่านั้น แต่มันยังเป็นเกียรติสูงสุดอีกด้วย
และในปัจจุบันมีนักวิจัยด้านคณิตศาสตร์เพียงไม่กี่คนที่สามารถทำงานมาเป็นสิบปี หนึ่งในนั้นคือศาสตราจารย์ปิแยร์ เดอลีงย์ เพราะถ้าหากลู่โจวยังคงอยู่ที่พรินซ์ตันภายในอีกสองถึงสามปี เขาจะกลายเป็นนักวิจัยที่ดำรงตำแหน่งคนที่สิบเอ็ด
แต่ทว่า…
ลู่โจวพลันส่ายหัวและกล่าวว่า
“ผมคิดมาครึ่งปีแล้วครับ”
ก่อนที่จะได้รับรางวัลโนเบล ทรัพย์สมบัติของลู่โจวนั้นมีไม่มาก และหลังจากที่ได้รับรางวัลโนเบลแล้ว ทรัพย์สมบัติที่เขาได้รับจากสถาบันพรินซ์ตันนั้นมีมากเกินกว่าจะหาอะไรมาเปรียบเทียบได้
คงไม่ผิดถ้าจะบอกว่าเขาเป็นคนเห็นแก่ตัว แต่ท้ายที่สุดแล้ว เขาจะพิจารณาทางเลือกที่ดีที่สุดเป็นจุดเริ่มต้น
หลังจากได้ยินคำตอบของลู่โจว คณบดีปีเตอร์ก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม เขาหันหลังไปหยิบแบบฟอร์มใบลาออกและยื่นให้ลู่โจว
“อ่า ถ้านายคิดว่าตัวเองตัดสินใจดีแล้ว ฉันก็ไม่มีอะไรจะต้องพูดอีก ยังไงก็เถอะ จงรับใช้ชาติและโลกใบนี้… นี่เป็นคติประจำของสถาบันพรินซ์ตัน นายคงเลือกเส้นทางที่ดีที่สุดแล้ว”
คณบดีปีเตอร์เผยท่าทีที่ผ่อนคลายมากขึ้นทันทีที่วางแบบฟอร์มลาออกลงบนโต๊ะ
“ยังไงก็เถอะ สถาบันของเรายังมีอาจารย์แล้วก็นักวิจัยระดับสูงที่สามารถทำงานแทนนายได้อยู่ ขอเดาว่านี่คือทางเลือกสุดท้ายของนายแล้วสินะ”
“ครับ เดี๋ยวผมว่าจะไปที่ห้องโถงใหญ่ต่อด้วย”
คณบดีปีเตอร์เผยยิ้ม “ฝากทักทายศาสตราจารย์อิสโบรด์แทนฉันด้วยล่ะ”
ลู่โจวพยักหน้าพร้อมหยิบแบบฟอร์มขึ้นมาจากโต๊ะ “ได้เลย”
ลู่โจวคิดว่าหลังจากที่เขาเดินออกจากที่นี่ ก็จะตรงไปยังห้องโถงใหญ่ของมหาวิทยาลัยพรินซ์ตันทันที
เมื่อเทียบกับความผิดหวัง ปฏิกิริยาของคณบดีปีเตอร์ค่อนข้างสงบ
หลังจากฟังความตั้งใจที่จะลาออกของลู่โจว เขาก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ คณบดีปีเตอร์หยิบแบบฟอร์มที่มีคุณสมบัติคล้ายกันอีกฉบับออกมาจากลิ้นชัก
“ฉันจำได้ว่าเมื่อยี่สิบปีก่อน ตอนที่ยังเป็นผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ ศาสตราจารย์ฟอลตินส์บอกให้ฉันรอ เพราะว่าเขากำลังเดินทางกลับจากเยอรมัน แต่ตอนนี้ฉันเองก็คิดได้แล้วว่าเราไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นอีกต่อไป คนเราสามารถตัดสินใจได้ภายในวันหรือสองวัน และคำพูดไม่กี่คำก็คงไม่อาจเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจเหล่านั้นได้”
เขาผลักแว่นขึ้นและส่งแบบฟอร์มให้กับลู่โจว
“เราเองก็รู้สึกเสียใจที่ต้องเสียนายไป”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ คณบดีปีเตอร์ก็เงียบไปชั่วครู่และพูดต่อด้วยน้ำเสียงติดตลก “งั้นเพื่อชดเชยความสูญเสีย หวังว่านายคงจะยอมรับในตำแหน่งศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์ระหว่างที่กำลังตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งศาสตราจารย์นะ”
หลังจากได้รับแบบฟอร์มแล้ว ลู่โจวก็กระแอมขึ้น “แค่นี้ก็ถือเป็นเกียรติมากแล้วครับ”
…
กว่าลู่โจวจะสะสางธุระของตนเสร็จ มันก็ค่ำเสียแล้ว
เขาเขียนใบลาออกไปสองฉบับ และในระหว่างทางกลับบ้าน ลู่โจวก็แทบจะรู้สึกไม่มีแรง
ความรู้สึกของลู่โจวในตอนนี้คงไม่ต่างอะไรกับการเดินทางไกล เขาต้องการที่จะมีเวลาเหลือในชีวิตมากกว่าเมื่อก่อน
ลู่โจวเองก็ได้อาศัยอยู่ที่นั่นมานาน อีกทั้งยังได้รับประสบการณ์มากมาย เขาไม่มีทางที่จะลืมสถาบันพรินซ์ตันแน่
ระหว่างที่เดินผ่านทะเลสาบคาร์เนกี ลู่โจวก็คิดถึงช่วงเวลาที่เคยมาวิ่งออกกำลังกาย ทันใดนั้นเองลู่โจวก็เห็นบุคคลที่คุ้นเคยนั่งอยู่บนม้านั่งริมทะเลสาบ
เขาพลันเดินไปยังตู้หยอดเหรียญและซื้อเครื่องดื่มกีฬาและกาแฟมาอย่างละกระป๋อง จากนั้นก็เดินไปยังทะเลสาบ
ทันทีที่ลู่โจวเดินเข้าไปใกล้ เขาก็เห็นโมลิน่าที่สวมชุดกีฬาสีน้ำเงินกำลังเช็ดเหงื่อบนใบหน้าด้วยผ้าขนหนูอยู่
ทันใดนั้นลู่โจวก็ยื่นเครื่องดื่มให้กับเธอ
โมลิน่าที่นั่งอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมองลู่โจว
เธอจึงเอื้อมมือไปหยิบเครื่องดื่มพร้อมกับเลิกคิ้ว แล้วตอบกลับไปว่า “ขอบคุณ” เธอดึงสลักกระป๋องออกและยกดื่ม
“ด้วยความยินดี”
ลู่โจวเผยยิ้มและนั่งลงตรงข้ามม้านั่งพร้อมจิบกาแฟ
แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยชอบดื่มกาแฟสำเร็จรูป แต่กาแฟเอสเปรสโซกระป๋องจากโรงงานก็มีรสชาติไม่เลวเช่นกัน
“คุณกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“เมื่อเที่ยงนี่เอง ตอนแรกฉันวางแผนว่าจะออกมาวิ่งสักหน่อย แต่กว่าจะเคลียร์งานเสร็จก็ค่ำแล้ว”
ลู่โจวกล่าวพร้อมหันหน้าไปทางนักเรียนที่กำลังวิ่งอยู่ริมทะเลสาบ
ทันใดนั้น โมลิน่าก็มองมายังลู่โจว
“ผ่านมาครึ่งปีแล้วนะตั้งแต่ที่คุณไปอยู่ที่สถาบันพรินซ์ตัน”
“ใช่ เวลาก็ผ่านไปเร็วแบบนี้แหละ” ลู่โจวพลันมองไปยังแสงที่ส่องอยู่กลางทะเลสาบ เขาเผยยิ้มและพูดขึ้น “บางที ฉันก็รู้สึกเหมือนกับว่าเพิ่งจะเรียนจบเมื่อวานนี้เหมือนกันนะ แต่ตอนนี้ฉันก็อายุยี่สิบห้าแล้วน่ะสิ”
“ฉันคิดว่าคนส่วนใหญ่เพิ่งจะเรียนจบตอนอายุยี่สิบห้ามากกว่านะ”
ลู่โจวรู้สึกเขินอายและเผยยิ้ม “ที่พูดมาก็ไม่ผิด… แล้วตอนนี้เป็นยังไงบ้างล่ะ? เรื่องหัวข้อวิจัย?”
โมลิน่าเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ค่อนข้างน่าพอใจ “ฉันเรียนจบแล้ว และก็กำลังจะได้เป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน”
ลู่โจวเหลือบมองเธอด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “จบแล้ว? ยินดีด้วย! งั้นเราต้องมาฉลองกันหน่อยแล้วแหละ เธอได้เป็นอาจารย์ ส่วนฉันได้ลาออก”
โมลิน่าพลันมองไปยังเครื่องดื่มบนมือ “ฉลองกับน้ำกระป๋องนี้สินะ”
“แค่นั้นคงไม่พอหรอก” ลู่โจวลุกขึ้นพร้อมตบฝุ่นที่ขากางเกง “ถ้ามีโอกาส ก็ไปเที่ยวประเทศจีนได้นะ ไว้ฉันจะเลี้ยงเธอที่นั่นเอง”
“แล้วถ้าไม่มีโอกาสนั้นล่ะ?” เธอพูดติดตลก
“งั้นเธอก็ต้องรอจนกว่าจะมีงานประชุมวิชาการนู่นแหละ”
ทั้งคู่ยังคงคุยกันต่อไปเป็นปกติ
มันเป็นบทสนทนาที่เริ่มต้นโดยไม่รู้ตัว และจบลงโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน
โมลิน่าไม่ได้พูดอะไรต่อ เธอหยิบก้อนหินโยนลงทะเลสาบพร้อมมองไปยังลู่โจว
นอกจากคณิตศาสตร์แล้ว เธอก็ไม่ได้สนใจเรื่องอื่นเลย อีกทั้งเธอยังเปรียบลู่โจวเป็นเสมือนเพื่อนคนหนึ่งอีกด้วย
ถึงอย่างไรแล้วพอคิดว่าชายคนนี้จะไม่ได้อยู่ที่นี่อีก เธอก็เริ่มรู้สึกเหงาใจขึ้นมาอย่างกะทันหัน…
………………………………………