Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 683 ค่ำคืนที่เพอร์เพิลเมาน์เทน
- Home
- Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ
- ตอนที่ 683 ค่ำคืนที่เพอร์เพิลเมาน์เทน
ในช่วงบ่าย พระอาทิตย์ไม่ค่อยจ้ามากนัก เมื่อลมของฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านภูเขาทำให้ทุกคนรู้สึกผ่อนคลายและเย็นสบาย
กิจกรรมช่วงบ่ายก็ยังเป็นการเดินป่า แต่มันต่างกับการเดินป่าในตอนเช้า การเดินป่าครั้งนี้จะแบ่งคนเป็นหกกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีสมาชิกห้าหรือหกคน
ชัดเจนอยู่ที่แล้วที่หวังเผิงจะอยู่กลุ่มเดียวกับลู่โจว หลัวเหวินเซวียนเพิ่งมาอยู่ที่จินหลิงได้ประมาณครึ่งปี เขาจึงไม่ค่อยรู้จักใครในคณะเท่าไหร่นัก อีกอย่างเขาก็ไม่อยากจะจีบผู้หญิงคนไหน เขาจึงอยู่ในกลุ่มของลู่โจว
หานเมิ่งฉี ผู้ช่วยหลิน และผู้หญิงอีกคนจากแผนกภาษาต่างประเทศก็มาร่วมทีมลู่โจว หญิงสาวจากแผนกภาษาต่างประเทศมีผมสีดำยาวสวย เธอเรียนเอกภาษาสเปนและเป็นที่ปรึกษาเมื่อปีที่แล้ว เธอร่าเริงและเข้าสังคมเก่ง แม้ว่าเธอจะเป็นคนเดียวที่มาจากแผนกภาษาต่างประเทศในกลุ่มนี้แต่ก็เข้ากับคนในกลุ่มได้เป็นอย่างดี
“ศาสตราจารลู่ นี่เป็นครั้งแรกที่คุณมาเพอร์เพิลเมาน์เทนหรือเปล่าคะ”
ลู่โจวคิดสักพักและพูด “ก็ไม่นะครับ”
เพราะบ้านของเขาอยู่ตีนเขานี่เอง การเดินรอบๆ บ้านก็นับว่าเป็นการเดินขึ้นเขาเหมือนกัน
“พวกเราที่อยู่ละแวกนี่ไม่ค่อยจะมาที่นี่หรอกครับ”
“คุณมาจากจินหลิงเหรอ”
“ค่ะ แล้วคุณล่ะ”
“ผมมาจากเจียนหลิง”
ที่ปรึกษาจากแผนกภาษาต่างประเทศยิ้มและพูด “เจียนหลิง ชื่อคุ้นๆ ฮ่าฮ่า ดูเหมือนว่าเราสองคนจะเป็นพรหมลิขิตกัน”
ลู่โจวนิ่ง “…? “
คุณว่านี่เป็นพรหมลิขิตไหม
เวลาที่มีคนคุยด้วยระหว่างทาง การเดินป่าก็ไม่น่าเบื่อนัก พวกเขาหยุดพักและเดินต่ออีกประมาณหนึ่งชั่วโมง หลังจากที่ผ่านป่าเมเปิ้ลพวกเขาก็ตัดสินใจหยุดพัก
ก่อนที่ลู่โจวจะหาที่นั่งได้ ที่ปรึกษาหญิงจับแขนเขาและยื่นกล้องให้หวังเผิง ตอนที่หวังเผิงมองหน้าลู่โจว ลู่โจวแสดงสีหน้าช่วยไม่ได้และยิ้มออกมา หวังเผิงส่ายหัวและก้าวถอยหลังเพื่อจะถ่ายรูป
หานเมิ่งฉีนั่งอยู่ที่ม้านั่งใกล้ๆ เธอแกว่งขาไปมาขณะที่กำลังมองทั้งสองคนถ่ายรูปกัน ในตาของเธอมีความอิจฉาซ่อนอยู่
เธอเองก็อยากอยู่ในรูปนั้นเหมือนกัน
แต่เพราะเหตุผลอะไรก็ตาม ทุกครั้งที่ความคิดแบบนี้เข้ามาในหัว เธอจะโมโหและพูดอะไรไม่ออก
“คุณชอบศาสตราจารย์ลู่ไหม”
หานเมิ่งฉีแทบจะกระโดดจากม้านั่ง เธอหันหลังและเห็นผู้ช่วยหลิน เธอจ้องผู้ช่วยหลินตาเขม็ง
“เปล่านะ ไม่! คุณพูดถึงเรื่องอะไร”
หลินอวี่เซียงยิ้มเยาะและกระพริบตาไร้เดียงสา
“เปล่า ก็แค่คุณเอาแต่จ้องเขาทั้งวัน ฉันก็เลยสงสัย”
หานเมิ่งฉีจ้องมองไปที่หลินอวี่เซียงแต่ไม่ได้พูดอะไร
หลักจากนั้นสักพัก เธอกระแอม
“ไม่ต้องสนใจฉันหรอก…แล้วคุณล่ะ”
“ฉันเหรอ?” หลินอวี่เซียงยิ้มและพูด “ศาสตราจารย์ลู่ไม่ใช่สเป็คฉัน ฉันไม่ชอบเขาหรอก”
คำพูดที่ไม่จริงจังของเธอทำให้ยากที่จะบอกว่าเธอพูดจริงหรือโกหก
แต่ปกติเธอก็พูดแบบนั้นอยู่แล้ว
หานเมิ่งฉีจ้องมองเธออยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็บอกไม่ได้ว่าเธอโกหกหรือเปล่า เธอแสร้งทำว่าเธอมองผ่านผู้ช่วยหลินไป
“โกหก”
หลินอวี่เซียงยิ้มเยาะกับข้อความกำกวมพลางพูด “คุณโกหกฉันทำไม อืม แต่ฉันก็คงไม่ว่าอะไรหรอกนะถ้ามีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างเรา”
หานเมิ่งฉีอาย เธอเหมือนกระต่ายขี้กลัว ท่าทางของเธอเปลี่ยนไปหมด
“แปลกใช่ไหมล่ะ?! ถ้าคุณไม่ชอบเขา แล้วคุณอยากให้เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร”
การที่เห็นหญิงสาวสับสน หลินอวี่เซียงก็อดที่จะเย้าแหย่เธอไม่ได้
“มันก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลย เขาทั้งหล่อ รวย ไม่มีข้อเสียเลยสักอย่าง แถมยังมีเสน่ห์อีกด้วย ไม่ใช่แค่ฉันนะ คนอื่นๆ ก็คิดเหมือนกัน อย่างผู้หญิงคนนั้นที่ดึงศาสตราจารย์ลู่ไปถ่ายรูปก็ด้วย ตาเธอแพรวพราวเชียว”
“ก็…”
หานเมิ่งฉีจ้องไปที่หลินอวี่เซียง เธอได้แต่ขยับปากแต่ไม่พูดอะไร
หลินอวี่เซียงมองเธอและรู้สึกขุ่นเคือง
แต่ความขุ่นเคืองนี้ก็หายไปทันที เธอยิ้มและมองไปที่หญิงสาวและพูด “ฉันคิดว่าคุณแปลกดีนะ เห็นได้ชัดว่าคุณเองรู้สึกดีแต่ไม่อยากยอมรับมัน”
ก่อนที่หานเมิ่งฉีจะตอบ ผู้ช่วยหลินหันหลังกลับและเดินไปได้สองก้าว เธอหยุดเดินและพูด “แต่ว่าถ้าวันไหนคุณอยากอยากพูดตรงๆ กับศาสตราจารย์ลู่ ฉันช่วยคุณได้นะ”
เธอหันหลังและเดินจากไป
หานเมิ่งฉีมองหลินอวี่เซียงที่เดินจากไปและบ่นกับตัวเอง ‘ทำไมฉันต้องเชื่อคุณด้วย…’
‘ไม่นะ ฉันไม่ได้ชอบเขา!’
หานเมิ่งฉีกระทืบเท้า เธอไม่รู้ว่าเธอโกรธเพราะอะไร เธอลุกขึ้นและเดินออกไป
…
ในช่วงเย็น พระอาทิตย์ค่อยๆ หายลับไปหลังภูเขา
ทีมทั้งหกทีมมาถึงจุดหมาย พวกเขามาที่จุดสูงสุดของเพอร์เพิล เมาน์เทน
แม้ว่าที่ตรงนี้น่าจะเป็นจุดสูงสุดแล้ว แต่ลู่โจวรู้สึกว่าพวกเขาน่าจะเดินไปได้ไกลกว่านี้ แต่ไม่มีทางเรียบที่สามารถไปต่อได้แล้ว มีแค่ครูผู้ชายกำยำและครูผู้หญิงไม่กี่คนที่สำรวจภูเขาต่อ คนที่เหลืออยู่ที่จุดรวมตัวและเริ่มก่อไฟ
จุดนี้เป็นจุดที่เหมาะสมสำหรับย่างบาร์บีคิว พวกเขาจึงสามารถจุดไฟได้ แต่พวกเขาต้องเก็บขยะและไม่ทิ้งเพ่นพ่าน
หวังเผิงเดินเข้ามาพร้อมถังพลาสติกในมือ ตอนที่เขาเห็นลู่โจวนั่งเงียบๆ เขายิ้มและถาม “ทำไมคุณไม่เลือกปลาไปย่างล่ะ”
“คุณเลือกให้ผมได้เลย ผมชอบกินแต่ไม่ชอบย่าง”
“ถ้าอย่างนั้นก็โอเค” หวังเผิงโยนปลาดุกลงในถังพลาสติกและยืนขึ้น “ผมจะไปเอามาเพิ่มก็แล้วกัน”
ท้องฟ้ากลายเป็นสีส้มหลายเฉดสี ขณะที่ใบแปะก๊วยสีทองเอนอ่อนเข้ากับท้องฟ้า
ไฟบนเตาถ่านค่อยๆ พวยพุ่ง สาวๆ จากแผนกภาษาต่างประเทศหยิบโทรศัพท์ออกมาและถ่ายรูปหมู่ท่ามกลางบรรยากาศที่งดงาม
สำหรับลู่โจว เขาไม่ได้สนใจจะถ่ายรูป เขานั่งพิงต้นไม้และหยิบโทรศัพท์มาอ่านวิทยานิพนธ์
พื้นที่ตรงนั้นถูกเติมเต็มด้วยบรรยากาศการย่างปลา
หวังเผิงถือปลาดุกเสียบไม้ในมือ เขายิ้มและพูด “บาบีคิวไม่ใช่ทักษะเดียวในการทำอาหารของผม”
ลู่โจวถาม “คุณทำอาหารอะไรได้อีก”
“หม้อไฟ”
ลู่โจว “นั่นนับว่าเป็นการทำอาหารเหรอ”
หวังเผิงยิ้มและพูด “อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับอาหารก็นับว่าเป็นการทำอาหารทั้งนั้น”
ปาร์ตี้บาบีคิวจัดขึ้นจนถึงสองทุ่ม
พวกเขาเก็บขยะและขึ้นรถบัสเพื่อกลับโรงแรม
ลู่โจวอยากจะพักผ่อนในห้องแต่ท่านผู้เฒ่าถังแนะนำว่าเขาควรลองทำสปาของโรงแรม
ลู่โจวยอมรับว่าน้ำพุร้อนค่อนข้างดีทีเดียว เขาไม่สนใจหรอกว่ามนุษย์จะสร้างขึ้นหรือเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
ลู่โจวเช็ดตัวจนแห้งและสวมเสื้อผ้าสะอาด เขาซื้อกาแฟกระป๋องที่เครื่องหยอดเหรียญและกำลังจะกลับไปที่ห้อง เขาเห็นหานเมิ่งฉีเดินมาพร้อมผมที่เปียก เธอนั่งลงบนเก้าอี้ใกล้ๆ
ลู่โจวมองไปที่เครื่องหยอดเหรียญและพิจารณาครู่หนึ่ง เขาซื้อนมอุ่นและเดินตรงไปที่เธอ เขานั่งลงข้างๆ เธอ
“ผมคุณยังไม่แห้งเลย เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก” ลู่โจวนำนมอุ่นๆ ไปให้เธอ เขาเปิดกาแฟกระป๋องและจิบมัน
หานเมิ่งฉีเลี่ยงที่จะสบตาขณะพยักหน้า
“โอเค เดี๋ยวฉันค่อยเช็ดทีหลัง”
ลู่โจวพยักหน้าและไม่ได้พูดอะไร
เขามองไปที่วิวนอกหน้าต่าง เขายืนขึ้นและกำลังจะกลับห้อง
ก่อนที่เขาจะเดินออกไป หานเมิ่งฉีหยุดเขา
“รอเดี๋ยว”
ลู่โจวหันหลังและถาม “ทำไม”
หานเมิ่งฉีจับเข่าตัวเองและนั่งลง เธอถามเบาๆ “นั่งกับฉันตรงนี้สักพักได้ไหม”
ลู่โจวคิดครู่หนึ่งและพยักหน้า
“แน่นอน”
ลู่โจวนั่งลง ทั้งสองคนเงียบไป
ลู่โจวดื่มกาแฟและมองไปที่หานเมิ่งฉี
เขารู้สึกว่าหานเมิ่งฉีมีอะไรที่อยากจะพูด
แต่เขาไม่ได้อยากรู้มากขนาดนั้นก็เลยไม่ได้ถามอะไร
ทุกคนต่างก็มีเรื่องที่ต้องกังวลและความลับกันทั้งนั้น การจะถามเรื่องพวกนี้จึงเป็นการเสียมารยาท
ไม่กี่นาทีผ่านไป
หานเมิ่งฉีจับเข่าแน่นและมองไปที่ลู่โจว เธอถามคำถามทำที่ให้ลู่โจวประหลาดใจ
“คุณคิดอย่างไรกับพี่สาวของฉัน”
“เฉินยู่ซานเหรอ”
ลู่โจวมองแสงไฟในเมืองที่อยู่ไกลออกไปและสัมผัสกับลมเย็นๆ ยามค่ำคืนที่ปะทะใบหน้า เขาพิจารณาคำถามนี้สักพักก่อนที่จะตอบ “เธอเป็นเพื่อนสนิทที่เข้ากับฉันได้ดี”
เพื่อนมีสองประเภท
ประเภทแรกคือเพื่อนที่มีความสนใจคล้ายๆ กันอย่างหลัวเหวินเซวียน
อีกประเภทคื่อเพื่อนที่ไม่เหมือนกันเลยแต่เข้ากันได้ดี
สำหรับเขาแล้ว เฉินยู่ซานเป็นเพื่อนที่หายากมากๆ คือเข้ากันได้ดีแต่กลับมีความสนใจไม่ตรงกันสักอย่างเดียว
ส่วนความรู้สึกอื่น…
เขาพยายามคิดและไม่รู้สึกว่าเขามีความรู้สึกพวกนั้นกับเธอ
หานเมิ่งฉีดูผิดหวังเล็กน้อย เธอมองต่ำและพึมพำเบาๆ “แค่นั้นเหรอ”
ลู่โจวมองไปที่เธอและพูด “ทำไม เกิดอะไรขึ้น”
“เปล่า…”
หานเมิ่งฉีก้มหน้าซุกกับเข่าตัวเอง
แสงที่ส่องเข้ามาทำให้ลู่โจวมองไม่เห็นหน้าเธอ เขาได้ยินเพียงเสียงกระซิบเบาๆ
“เปล่า…”
……………………………………………