Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 770 ความหวังบนฟากฟ้า
“ห้า!
สี่!
สาม!
สอง!
หนึ่ง!
ศูนย์!
อิกนิชั่น!”
แสงสีฟ้าฉายมาจากปีกสะพรั่งของยานอวกาศ
สตาร์ไลท์ถูกปล่อยตัวจากไซต์ปล่อยตัวยานอวกาศจินหลิง ทางศูนย์บัญชาการภาคพื้นดินดูมันลับหายไปในก้อนเมฆ
แผนการปล่อยตัวเป็นไปอย่างราบรื่น
หลังจากที่ผ่านชั้นโทรโพสเฟียร์ ปีกสั้นคู่ของสตาร์ไลท์ค่อยๆ หมุนและเปลี่ยนองศาการบิน
แสงสีฟ้าฉายสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ และสตาร์ไลท์ต้านแรงโน้มถ่วงแล้วบินสู่ห้วงอวกาศไร้พรมแดนในเส้นทางที่สัมผัสกับโลก
เวลาผ่านไปเชื่องช้า…
หลังจากที่บินเกือบชั่วโมง สตาร์ไลท์ทำตามได้ที่ตั้งเป้าไว้และผ่านทะลุชั้นบรรยากาศได้อย่างมั่นคง ไปถึงวงโคจรต่ำของโลก นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการบินโคจร 72 ชั่วโมง
นักบินทดสอบสวี่เจ็งฮงที่นั่งอยู่ในห้องนักบินมองดูอัลติจูด อุณหภูมิ และข้อมูลการบินอื่นใกล้ชิดขึ้น
หลังจากที่ยืนยันว่าทุกอย่างทำงานได้ตามปกติ เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก
มันเป็นภารกิจทดสอบการบินครั้งที่ 57 ของเขา เป็นการทดสอบการบินที่สูงที่สุดที่เขาเคยทำมา เขาไม่เคยคิดว่าเขาจะได้บินออกจากชั้นบรรยากาศ
จนกระทั่งวันหนึ่ง ผู้บัญชาการติดต่อและจัดแจงให้เขาบินทดสอบสตาร์ไลท์…
ถึงแม้ว่าจะมีแคปซูลหลบหนีอยู่ที่ยานอวกาศ มีเพียงพระเจ้าที่จะรู้ว่ามันทำงานได้หรือไม่
สวี่เจ็งฮงเอื้อมมือไปเปิดโหมดบินอัตโนมัติ เขาปลดการเชื่อมต่อชุดนักบินจากระบบช่วยชีวิตในเคบินและกดที่ด้านข้างของหมวกนิรภัย เขาสูดหายใจเข้าลึกและพูดขึ้น
“นี่คือสตาร์ไลท์ เราได้ถึงวงโคจรเป้าหมายสำเร็จ ขอคำสั่งเพิ่มเติมด้วยครับ”
มีเสียงดังมาจากช่องการสื่อสาร
หลังจากสัญญาณการสื่อสารมั่นคง ศูนย์บัญชาการรีบตอบสนองอย่างรวดเร็ว
“นี่คือศูนย์บัญชาการภาคพื้นดิน ขอแสดงความยินดีด้วยกับการสำเร็จขั้นตอนแรกของการทดลองบิน โปรดรักษาอัลติจูดเป็นเวลาสองชั่วโมง การทดสอบการบินครั้งต่อไปจะเริ่มในอีกสองชั่วโมง”
สวี่เจ็งฮงพูดตอบ “รับทราบครับ ยานอวกาศได้เข้าสู่โหมดบินอัตโนมัติแล้ว”
หลิวเปียวนั่งในที่นั่งผู้ช่วยนักบิน เขาก็ถอดการเชื่อมต่อกับระบบช่วยชีวิต เขามองดูนอกหน้าต่างและพูดด้วยรอยยิ้ม
“วิวตรงนี้สวยงามดีทีเดียว”
สวี่เจ็งฮงมองดูแสงประกายบนโลกและจักรวาลไร้ขีดจำกัดข้างบน จากนั้นเขายิ้มและตอบกลับว่า “อืม ไม่เลวเลยนะ”
มันอาจจะเป็นสิ่งที่สวยที่สุดที่เขาเคยเห็นในชีวิต
ทันใดนั้น ยานอวกาศสีเงินค่อยๆ ออกห่างจากขอบชั้นบรรยากาศจากไกลสายตา
หลิวเปียวเหล่ตามองและถามว่า “นั่นมันอะไร?”
“น่าจะเป็นยานอวกาศ BFS ของสเปซเอ็กซ์ ผมได้ยินมีว่าพวกเขาก็ปล่อยตัววันนี้” สวี่เจ็งฮงมองดูเขาและพูดว่า “ผมรู้สึกเซอร์ไพรส์ที่คุณเห็นมัน มันดูเล็กมากจากตรงนี้”
หลิวเปียวยิ้มอย่างประหม่า
“เราบินไปที่นั่นแล้วทักทายพวกเขาดีกว่า”
สวี่เจ็งฮงพูดตอบ “ไอเดียเยี่ยมเลย คุณน่าจะบอกศูนย์บัญชาการไปนะ”
หลิวเปียวเกาหัวและพูดว่า “อืม ผมน่าจะบอก”
สวี่เจ็งฮงนิ่งไปสักพักและพูดว่า “เออ หยุดพูดเป็นเล่นเถอะ พักสักสิบนาที แล้วเริ่มทำงาน”
หลิวเปียวนั่งหลังตรงในที่นั่งผู้ช่วยนักบิน
“ครับท่าน!”
…
อีกซีกหนึ่งของโลก
ยานอวกาศ BFR ก็สังเกตเห็นสตาร์ไลท์
ถึงแม้ว่าไม่มียานไหนที่ติดตั้งเรดาร์ตรวจจับยานอวกาศโดยเฉพาะ แต่เพราะว่ายานทั้งสองโคจรใกล้กันที่ความสูงเดียวกัน ยานทั้งสองจึงสามารถเห็นได้อย่างเลือนราง
ทราวิสมองดูยานอวกาศสีเงินนอกหน้าต่าง และพูดขึ้นกะทันหันว่า “มันเป็นธรรมเนียมของทหารเรือที่จะเขียนอะไรบางอย่างลงกระดาษและติดไว้ที่หน้าต่าง”
จอห์นสันเลิกคิ้วและพูดขึ้น
“มันไม่ใช่ธรรมเนียมของทหารเรือ เป็นทหารอากาศต่างหาก…ถึงพวกเราจะติดอะไรไว้ที่หน้าต่าง มันก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะอ่านได้”
“อืม ผมก็ว่าแบบนั้น” ทราวิสพึมพำกับตัวเอง
จูเลียรู้สึกตราตรึงใจกับดาวสีฟ้าข้างหลังยานอวกาศไม่เหมือนชายอีกสองคน
หลังจากที่มองดูนอกหน้าต่างมานาน จูเลียพูดว่า “ช่างงดงามเหลือเกิน…”
ทราวิสมองดูจูเลียและตอบกลับ “สวยจริงครับ”
“ว่าไปแล้วเราต่างฝึกที่ศูนย์ฝึกคนละที่” จอห์นสันมองดูสองคนนี้แล้วยิ้มในระหว่างที่พูดว่า “มาทำความรู้จักกันดีกว่า”
ทราวิสมองดูเขาและถามว่า “เราคุยเรื่องอะไรกันดี?”
“พูดเรื่องชีวิต ความฝัน ทำไมเรานั่งอยู่ตรงนี้กัน ทำไมเราถึงสมัครไปดาวอังคาร…ให้ตาย ถ้ามีวิสกี้สักขวดนะ” จอห์นสันพูดในขณะที่กำลังเกาหัว
จูเลียพูดเสียงเบาว่า “ทรัพยากรดำรงชีพจะถูกปลดล็อกหลังจากลงจอด…ฉันได้ยินมาช่วงที่ฝึกอยู่”
ทราวิสไม่ได้ใส่ใจเรื่องวิสกี้
“เราไม่ได้พูดเรื่องชีวิตและความฝันที่ทอล์กโชว์แล้วเหรอ?”
จอห์นสันยักไหล่และทำท่าอย่างช่วยไม่ได้
“ผมพูดไปแล้ว พวกคุณไม่ได้พูด”
ทราวิสลังเลอยู่สักพักแล้วมองจูเลีย
“ผู้หญิงก่อนเลย”
“โอ้? ฉันเหรอ?” จูเลียมองดูรอบๆ แล้วถอนหายใจ จากนั้นเธอพูดว่า “โอเคเลย แต่สัญญาก่อนนะว่าจะไม่หัวเราะเยาะฉัน ฉันมาที่นี่เพราะว่ามีปัญหากับความสัมพันธ์ของฉัน…”
จอห์นสัน “ปัญหาความสัมพันธ์ของคุณ? เลิกกัน? หย่า? โอ้ เดี๋ยวก่อน…ขอโทษที ผมไม่น่าถามเลย”
“เลิกกันค่ะ” จูเลียเงียบไปชั่วครู่แล้วพูดต่อ “มันอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับพวกคุณ แต่มันทำให้ฉันแตกสลายจริงๆ ฉันอยากรักษาใจตัวเองแล้วไปใช้ชีวิตที่อื่น”
ทราวิสเลิกคิ้วและพูดอย่างไม่เชื่อสายตา “นี่เป็นเหตุผลที่คุณสมัครโครงการแอรีส?”
“ถูกต้อง” จูเลียฝืนยิ้มและพูดว่า “เซอร์ไพรส์ใช่ไหมล่ะ เพื่อนร่วมงานของฉันช็อกกันหมด ไม่มีใครคิดว่าฉันจะถูกเลือกจริงๆ…แผนกตรวจคนเข้าเมืองอนุมัติฉันอย่างรวดเร็วและสเปซเอ็กซ์ซื้อตั๋วเครื่องบินให้ฉัน ฉันคิดเรื่องนี้อยู่แล้วตัดสินใจว่านี่เป็นไอเดียที่ดี ก็เลย…”
จูเลียยักไหล่และพูดว่า “ฉันก็เลยมาอยู่ที่นี่”
“ฟังดูเหลือเชื่อ…” ทราวิสมองดูจูเลียและพูดต่อ “ถ้าคุณจากโลกเพราะอกหัก ผมคงต้องออกจากระบบสุริยะแล้ว”
“เฮ้ อย่าพูดแบบนั้น” จอห์นสันแตะไหล่ทราวิสและพูดว่า “เธอพูดเสร็จแล้ว ถึงตาของคุณ ผมสงสัยมาตลอด ทำไมนักฟุตบอลควอเตอร์แบ็คอย่างคุณถึงกลายเป็นนักบินอวกาศ?”
ทราวิสลังเลอยู่สักพักแล้วยักไหล่
“เพราะว่า…หนี้”
จอห์นสันรู้สึกเซอร์ไพรส์และเขาถามต่อ “บัตรเครดิต?”
“ประมาณนั้น…” ทราวิสเบือนหน้าหนี
จอห์นสันยิ้มและตบบ่าเขาให้กำลังใจ
“ฮ่าๆ ที่ดาวอังคารไม่มีคนทวงหนี้ คุณเป็นอิสระแล้ว”
ทราวิสยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ
จูเลียมองดูเขา จากสัญชาตญาณหญิงของเธอ เธอสามารถบอกได้ว่าทราวิสไม่ได้เล่าเรื่องทั้งหมด
เหตุผลที่เขาสมัครร่วมการสำรวจนี้น่าจะไม่ใช่แค่เพราะหนี้สิน
แต่จอห์นสันไม่ได้คิดถึงรายละเอียดพวกนี้ เขาแค่รู้สึกว่าทราวิสไม่อยากเล่า เขาเลยไม่ได้คุยเรื่องนี้ต่อ
อดีตของคนไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งที่สำคัญคือพวกเขารับมือกับอนาคตอย่างไร
ทุกคนเป็นเพื่อนร่วมทีมและพวกเขากำลังเผชิญกับปัญหาเดียวกัน…
หลังจากที่ประตูสู่บทสนทนาถูกเปิดขึ้น บรรยากาศค่อยๆ อบอุ่นมากขึ้น
จอห์นสันมองดูเพื่อนร่วมทีมสองคนแล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
ในฐานะ ‘กัปตัน’ ของเที่ยวบินนี้ นอกจากต้องรับผิดชอบการปฏิบัติงานในภาพรวมแล้ว เขายังต้องรับผิดชอบสภาวะจิตใจของเพื่อนร่วมทีม
ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาต้องอยู่ในยานอวกาศแออัดนี้เป็นเวลาสองเดือน มันไม่ต่างจากการนั่งอยู่ในคุก
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ดาวสีฟ้าค่อยๆ เลือนหายไป
ยานอวกาศ BFS จากวงโคจรไปในจังหวะเดียวกัน จากนั้นมันล่องลอยไปในอวกาศกว้างใหญ่ตามทางของดาวสีแดงเพลิง…
………………………………………………..