Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 781 ‘ไซบอร์ก’
จริงๆ แล้ว สิ่งที่เรียกว่าไซบอร์กนั้นเป็นการผสานระหว่างมนุษย์และเครื่องจักร ไม่ใช่แค่แนวคิดไซไฟ
ในปี 2002 เมื่อสิบกว่าปีก่อน นักไซเบอร์เนติกส์ชื่อดังชาวอังกฤษ เควิน วอร์วิก ทำการทดลองที่สุ่มเสี่ยง เขาติดตั้งชิปตัวส่งสัญญาณเซนเซอร์ซิลิโคนเข้าในสมองของเขาและกลายเป็น ‘ไซบอร์กคนแรกของโลก’
จากเทคนิคควบคุมจิตใจอย่างเรียบง่าย เขาสามารถควบคุมอุปกรณ์เน็ตเวิร์กพื้นฐาน และการส่งสัญญาณภายนอกนั้นซับซ้อนพอที่จะควบคุมแขนกลได้
หลักการทำงานอุปกรณ์ของวอร์วิกคล้ายกับเทคโนโลยีเข้าถึงเส้นประสาทที่ใช้โดยลู่โจว เว้นแต่ว่าแทนที่จะเก็บสัญญาณประสาทจากเส้นประสาท วอร์วิกเก็บสัญญาณประสาทที่อาจจะเกิดขึ้นโดยตรงจากสมอง…สัญญาณถูกสร้างขึ้นเมื่อได้จินตนาการว่าขยับแขนขาโดยที่ไม่ได้ขยับแขนขาจริงๆ
ดังนั้น สตาร์สกายเทคโนโลยีไม่ได้เป็นที่แรกที่ทดลองไซบอร์ก
การเก็บสัญญาณประสาท ประมวลผลพวกมันผ่านชิปคอมพิวเตอร์ แล้วจ่ายสัญญาณโดยตรงไปให้อุปกรณ์หุ่นยนต์อิเล็กทรอนิกส์ สิ่งนี้เป็นหนึ่งในปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในวงการไซเบอร์เนติกส์สมัยใหม่
เควิน วอร์วิก ทำการคาดการณ์ว่าถ้าเทคโนโลยีไซเบอร์เนติกพัฒนาต่อไป วันหนึ่งมันจะช่วยให้คนตาบอด ‘มองเห็น’ คนหูหนวก ‘ได้ยิน’ และทำให้คนพิการลุกขึ้นจากรถเข็นได้…ในที่สุด มนุษย์จะไม่ถูกสร้างขึ้นจากเลือดเนื้อ พวกนั้นจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับเครื่องจักร สังขารการมีอยู่ที่เหนือขึ้นไป
ศาสตราจารย์เควิน วอร์วิก ได้ทำการวิจัยมาโดยต่อเนื่อง เขาบริจาคร่างกายตัวเองให้งานวิจัยโดยการฝังชิปฐานซิลิกอนเข้าไปในระบบประสาท อาเรย์ไมโครอิเล็คโทรดที่ถูกใส่เข้าไปมี 100 อิเล็คโทรด
อย่างน้อยก็ในตอนนี้ สิ่งนี้น่าจะทำให้เกิดผลลบกับชีวิตของเขา แต่ผลกระทบในอนาคตต้องรอดูต่อไป
อย่างไรเสีย การผ่าตัดร่างกายของหลี่เกาเหลียงนั้นก็ประสบความสำเร็จโดยไร้ข้อกังขา
สองสัปดาห์หลังการผ่าตัด ด้วยการช่วยเหลือจากพยาบาล หลี่เกาเหลียงสามารถลุกออกจากเตียงได้
ไม่ใช่แค่นั้น ด้วยการช่วยเหลือจากเครื่องจักรไฟฟ้า ตอนนี้เขาสามารถควบคุมกระเพาะปัสสาวะได้…
โดยสรุปแล้ว ขั้นตอนบำบัดเป็นไปอย่างราบรื่น
สามสัปดาห์หลังการผ่าตัด ลู่โจวมาเยี่ยมโรงพยาบาลทหารจินหลิงอีกครั้ง เมื่อเขาเห็นหลี่เกาเหลียงในห้องบำบัด หลี่เกาเหลียงกำลังฝึกเดินด้วยไม้ค้ำยัน
ลู่โจวเดินไปข้างๆ เขาและถามว่า “คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง? กระบวนการฟื้นฟูเป็นยังไงครับ?”
“มันโอเค ผมกำลังชินกับมัน” เสียงของหลี่เกาเหลียงเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ในระหว่างที่เขาพูด “เอาตามตรง ตอนผมเห็นผลตรวจร่างกาย ผมคิดว่าชีวิตตัวเองจบแล้ว ผมไม่คิดว่าจะได้รับโอกาสที่สองที่จะทำให้ผมลุกเดินได้…ผมไม่รู้จะขอบคุณคุณอย่างไรดี”
“ไม่ต้องขอบคุณผม ขอบคุณความก้าวหน้าในเทคโนโลยีการแพทย์แทนนะครับ” ลู่โจวพูดแซว
หลี่เกาเหลียงยิ้มประหม่า
เขาลังเลอยู่สักพักก่อนที่เขาจะพูดขึ้นกะทันหัน “อ่อ ใช่แล้ว ผมอยากถามอะไรคุณบางอย่าง ผมไม่รู้ว่าคุณจะตอบได้ไหม”
ลู่โจวตอบว่า “ถามมาเลย”
“ตอนนี้ผมมีชีวิตและกำลังเดินอยู่ มันหมายความว่า…การผ่าตัดนี้ได้ผ่านการทดลองคลินิก และคนที่เป็นอัมพาตคนอื่นมีโอกาสที่จะลุกเดินได้อีกใช่ไหมครับ?”
หลี่เกาเหลียงฟังดูตื่นเต้น
เขาคิดถึงทหารพิการที่นอนติดเตียง
ถ้าเทคโนโลยีสามารถซ่อมแซมเส้นประสาทไขสันหลังได้ นั่นหมายความว่า…
ลู่โจวมองดูว่าเขาตื่นเต้นแค่ไหน เขารู้ว่าหลี่เกาเหลียงกำลังคิดอะไรอยู่ หลังจากเงียบไปสักพัก ลู่โจวพูดขึ้น
“ถ้าเป็นอาการบาดเจ็บที่ผ่านมาไม่นาน มันคุ้มที่จะลอง แต่ผมต้องบอกคุณก่อน โอกาสที่การผ่าตัดของคุณประสบความสำเร็จมีน้อยกว่า 10% แม้แต่ศัลยแพทย์ก็รู้สึกประหลาดใจ มันเป็นปาฏิหาริย์ที่ทุกอย่างผ่านไปอย่างราบรื่น”
ลู่โจวพูดต่อว่า “แล้วก็อย่าเพิ่งดีใจมากเกินไป เรายังไม่รู้ว่าเทคโนโลยีนี้เสถียรหรือไม่ มันอาจมีอะไรผิดพลาดในอนาคต”
ดูเหมือนว่าลู่โจวเพิ่งเทน้ำราดกองไฟในใจของหลี่เกาเหลียง
หลี่เกาเหลียงเพิ่งพบว่าความจริงเป็นอย่างไร
“ผมยินดีที่จะให้ความร่วมมือกับทุกการทดสอบ”
ลู่โจวเลิกพูดประเด็นนี้แล้วพูดขึ้นว่า “ลืมเรื่องการทดลองไปเถอะ ตอนนี้คุณควรทำให้ตัวเองคุ้นเคยกับอุปกรณ์”
“ผมเข้าใจ…” หลี่เกาเหลียงพยักหน้าและพูดทันทีว่า “อ่อ คุณคิดว่าคุณสามารถแทนที่ส่วนอื่นของร่างกายด้วยกระดูกไทเทเนียมไฟฟ้าได้ไหม?”
ลู่โจวตอบ “มันเป็นไปได้ทางทฤษฎี แต่ผมไม่แนะนำให้คุณทำแบบนั้น จากเทคโนโลยีที่มีอยู่ตอนนี้ มันมีความเสี่ยงในการผ่าตัดอย่างมาก มันเป็นปาฏิหาริย์ที่เราสามารถทำให้คุณเข้ากับขาอัลลอยไทเทเนียมสองข้างได้ อย่าไปคาดหวังให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นอีก”
มันมีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่ลู่โจวไม่ได้พูด
ซึ่งนั่นคือทุกคนมีสภาพร่างกายแตกต่างกัน อุปกรณ์เข้าถึงเส้นประสาทนี้ยากที่จะทำให้เป็นมาตรฐาน และมันต้องถูกสร้างขึ้นเฉพาะให้เข้ากับทุกคน
โดยผิวเผิน มันดูเหมือนว่าจะต้องผ่าตัดเพียงครั้งเดียว แต่ก่อนการผ่าตัดจะเริ่มขึ้น สถาบันจินหลิงเพื่อการศึกษาขั้นสูงได้จัดการประชุมพิเศษหลายครั้งเพื่อพูดคุยเรื่องลักษณะเทคนิคของอุปกรณ์
ถึงแม้ว่ากระทรวงป้องกันราชอาณาจักรยินดีที่จะให้งบเทคโนโลยีนี้ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะอุปกรณ์ราคาแพงนี้กับทหารทุกคน
หลี่เกาเหลียงพูดตอบ “รับทราบครับ”
ลู่โจวพยักหน้าและพูดว่า “ครับ ผมหวังว่าคุณจะฟื้นอาการได้เร็ว ผมต้องกลับไปที่สถาบันแล้ว ไว้เจอกันนะครับ”
ลู่โจวหันหลังกลับแล้วกำลังจะเดินออก
ทันใดนั้น เขาได้ยินเสียงหลี่เกาเหลียง
“เดี๋ยวก่อนครับ!”
ลู่โจวหันกลับไปและพูดว่า “มีอะไรครับ?”
หลี่เกาเหลียงพูดว่า “ผมควรบอกเรื่องเกษียณให้กองทัพฟังเมื่อไหร่ดี?”
ถึงเขาจะไม่อยากเกษียณ ด้วยสภาพร่างกายตอนนี้ เขาไม่สามารถอยู่ในกองพันที่ 4 ต่อได้
แต่ว่าลู่โจวรู้สึกสับสน
“เกษียณ? ทำไมคุณจะเกษียณล่ะ?”
หลี่เกาเหลียงรู้สึกสับสน
ตาของเขาประกายด้วยความเซอร์ไพรส์
เขากลืนน้ำลายและพูดด้วยเสียงสั่น
“งั้นคุณกำลังจะบอกว่า…ผมยังมีโอกาสกลับไปเป็นทหารอยู่ใช่ไหม?”
“คุณไม่อยากแก้แค้นหรือครับ?”
ลู่โจวยิ้มและตบไหล่ของหลี่เกาเหลียง
“คุณจะได้เอาคืน”
…
เวลาผ่านไปรวดเร็ว ตอนนี้เดือนมิถุนายนแล้ว
ลู่โจวไปหาหวังเผิงเพื่อถามเรื่องการโจมตี แต่ดูเหมือนว่าการสอบสวนไม่ได้ราบรื่นมากนัก
จนถึงตอนนี้ พวกเขารู้ว่าองค์กรที่เข้าโจมตีนั้นตั้งอยู่ใกล้ตุรกี ซีเรีย และอิรัก แต่พวกว่าประเทศพวกนี้ประสบสภาวะสงคราม มันมีหลายหน่วยทหารติดอาวุธและทหารรับจ้างในพื้นที่นั้น มันยากที่จะตามหาตัวตนที่แท้จริงของคนที่โจมตี
ที่สำคัญที่สุด ไม่มีองค์กรไหนออกมาอ้างว่าอยู่เบื้องหลังการโจมตี
สำหรับ ‘รอยสัก’ บนร่างคนที่มาจู่โจม มันเป็นรอยสักที่มาจากภาพยนตร์ ถ้าคนที่โจมตีไม่อยากเปิดเผยตัวตน พวกนั้นคงไม่ทิ้งร่องรอยกายภาพที่พบได้บนร่างกาย ถึงแม้ว่าอาวุธนั้นไม่ทราบแหล่งที่มา
จนถึงตอนนี้ มีสิ่งเดียวที่หน่วยข่าวกรองมั่นใจคือมันเป็นองค์กรที่มีการเตรียมตัวมาอย่างดี
ท้ายที่สุดแล้ว พวกนั้นเดินทางมาจากตะวันออกกลางไปที่ทะเลทรายซูโซตอยน์ เอลีเซ็น ข้ามผ่านเกือบทั้งเขตเอเชียกลาง
การเคลื่อนพลทหารที่ติดอาวุธหนักและฝึกฝนเป็นอย่างดีผ่านหลายพรมแดนเป็นเรื่องที่ยากอยู่แล้ว
มันมีเพียงแค่สองประเทศในโลกที่มีความสามารถและแรงจูงใจที่จะจัดการโจมตีเช่นนี้…
แผนการ์เด้นจึงถูกพักไปก่อนในช่วงนี้
สถาบันวิศวกรรมและสถาบันวิทยาศาสตร์ประกาศผลการคัดเลือกนักวิชาการบนเว็บไซต์
เป็นไปตามคาด ชื่อของลู่โจวอยู่ในทั้งสองรายชื่อ
เรื่องนี้ทำให้เกิดกระแสพูดคุย และมันกลายเป็นประเด็นร้อนในกระทู้มหาวิทยาลัย
แต่ว่ามันน่าสนใจที่ถึงคนส่วนหนึ่งจะแสดงความเกลียดชังต่อผลลัพธ์ ไม่มีใครตั้งคำถามกับความยุติธรรมของการคัดเลือก
ท้ายที่สุดแล้ว ด้วยรางวัลโนเบลและเหรียญฟิลด์ รวมทั้งระบบขับเคลื่อนทรัสเตอร์ไอออนและฟิวชั่นที่ควบคุมได้ ลู่โจวนั้นยิ่งกว่าเหมาะสมกับการได้รับสองตำแหน่งนักวิชาการ
ระหว่างการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ลู่โจวยุ่งกับการเป็น ‘หัวหน้าดีไซเนอร์’ ของเครื่องปฏิกรณ์ฟิวชั่นผานกู
ไม่เช่นนั้น เขาคงได้เป็นนักวิชาการไปนานแล้ว…
……………………………………………….