Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 86
ตอนที่ 86 เรียนรู้จากคนที่ประสบความสำเร็จ
วันอาทิตย์ ลู่โจวไปบ้านของคุณนายหยางเพื่อสอนพิเศษวิชาคณิตศาสตร์ให้หานเมิ่งฉีตามปกติ
ทันทีที่คุณนายหยางเดินออกนอกประตูไป หญิงสาวก็ดึงแขนเสื้อของลู่โจวแล้วถาม “ฉันได้ยินมาว่านายแก้ข้อคาดการณ์ของโจวได้เหรอ?”
ลู่โจวมองหญิงสาวแปลกๆแล้วพยักหน้าก่อนจะกล่าว “ใช่ นั่นเป็นข่าวอาทิตย์ที่แล้ว”
เมื่อได้ยินแบบนั้น หานเมิ่งฉีก็ขบฟันเล็กน้อยแล้วกระซิบ “งั้น…นายจะไม่สอนคณิตให้ฉันแล้วใช่ไหม?”
ลู่โจวถาม “ทำไมผมจะไม่สอนล่ะ?”
หานเมิ่งฉีพูดเสียงเบา “นายมีเงินล้านแล้ว…นายยังทำงานพาร์ทไทม์อีกเหรอ?”
ตรรกะแบบไหนกัน? บนโลกนี้มีเรื่องอย่างมีเงินมากไปด้วยเหรอ?
ไม่ต้องพูดถึงว่านี่เป็นเงินที่หาได้ง่าย
การเรียนนั้นสนุก แต่ลู่โจวไม่ใช่เครื่องจักร เขาไม่สามารถเรียนตลอดทั้งวัน เพราะเขาจะเหนื่อย
การสอนพิเศษก็เหมือนวิธีผ่อนคลายอย่างนึงสำหรับลู่โจว เขาสามารถนึกถึงโจทย์ง่ายๆแล้วเปลี่ยนมายด์เซ็ตเปลี่ยนอารมณ์ขณะหาเงินไปด้วย แล้วทำไมเขาจะไม่ทำล่ะ?
ลู่โจวถอนหายใจ เขาหยิบหนังสือแล้วเอามาเคาะหัวเธอเบาๆ “เลิกพูดเหลวไหล เงินไม่ได้หากันง่ายๆ อย่าทำให้แม่เสียเงินเปล่าแล้วตั้งใจเรียน เอาสมุดที่จดข้อผิดพลาดกับกระดาษข้อสอบล่าสุดออกมา”
หานเมิ่งฉีจ้องมองลู่โจวอย่างไม่พอใจ
อย่างไรก็ตามเธอนึกได้ว่าเธอยังต้องการความช่วยเหลือของเขา ดังนั้นเธอจึงหยิบสมุดกับข้อสอบจากกระเป๋าเงียบๆ
ลู่โจวรับสมุดจดข้อผิดพลาดจากหานเมิ่งฉีเพื่อตรวจสอบสถานการณ์เดือนนี้ของเธอ
โดยรวมแล้วถือว่าไม่เลว อย่างน้อยหลังจากลู่โจวอธิบายโจทย์ เธอก็ไม่ทำผิดอีก
ขณะที่ลู่โจวกำลังตรวจสอบกระดาษข้อสอบ หานเมิ่งฉีก็กระแอมแล้วถาม “ฉันอยากให้นายสอนเคมีฟิสิกส์…ได้ไหม?”
ลู่โจวครุ่นคิดก่อนจะให้คำตอบเธอ “ได้ แต่ผมไม่คุ้นเนื้อหามัธยมปลายของเจียงซู ผมกลัวว่าผมจะสอนเธอมากไม่ได้ อย่างมากผมตอบคำถามให้เธอได้บางข้อ”
ลู่โจวได้ยินมาว่ากฏการสอบที่มณฑลเจียงซูแตกต่างจากที่เคยสอบมา นอกจากคณิตศาสตร์กับภาษาอังกฤษ พวกเขาเลือกวิชาอื่นได้สี่วิชา
นอกจากนี้ยังมีสอบจำลอง สะสมคะแนนและอื่นๆ มันยุ่งยากมาก
ลู่โจวเคยได้ยินมาจากหลี่เทา เพราะเป็นคนจินหลิง
(ผู้แปล : จินหลิงอยู่ในมณฑลเจียงซู)
หานเมิ่งฉีกล่าวเป็นเชิงเข้าใจ “ไม่ต้องห่วง แค่นี้พอแล้ว”
จากนั้นลู่โจวก็ถาม “เธอสมัครมหาลัยไหน? เธอมีเป้าหมายไหม?”
“ฉันอยากเข้ามหาลัยจินหลิง…” หานเมิ่งฉีกล่าว เธอหยุดสักพักแล้วกล่าวเสริม “…มันเป็นเพราะฉันสัญญากับลูกพี่ลูกน้องว่าฉันจะเข้ามหาลัยเดียวกับเธอ”
ลู่โจวมองเธอด้วยแววตามึนงง เขาคิดว่าเธอจะพูดแบบ ‘ฉันไม่สน ขอแค่อยู่ห่างจากผู้หญิงคนนั้นก็พอ ฉันอยากไปต่างประเทศด้วยซ้ำ’ เขาไม่คิดเลวว่าคำตอบของเธอจะเป็นมหาลัยจินหลิง
แน่นอนว่าเขาไม่ได้พูดเสียงดัง
ท้ายที่สุดแล้วทุกคนก็มีความใฝ่ฝันเป็นของตนเอง
“ถ้าผมจำไม่ผิด ความต้องการนักศึกษาของมหาลัยจินหลิงคือคนที่มีเกรด A สองวิชา เธอต้องขยันให้มากๆ” ลู่โจวกล่าวลวกๆ
หานเมิ่งฉีพยักหน้าอย่างจริงจังและพูด “อึ้ม! ฉันจะตั้งใจ!”
…..
หกโมงเย็น สอนพิเศษจบลงแล้ว
ลู่โจวสวมผ้ากันเปื้อนและทำอาหารสามจาน เขาอยากขอบคุณคุณนายหยาง แต่เขาไม่มีปัญหาซื้ออะไรให้เธอ อย่างน้อยที่เขาทำให้เธอได้ก็คือการทำอาหารให้ลูกสาวเธอ
พอเขาทำเสร็จ เขาก็วางอาหารไว้บนโต๊ะก่อนที่จะแขวนผ้ากันเปื้อนไว้ที่ประตูห้องครัว
หกโมงครึ่ง หยางตันอวิ๋นก็กลับมาถึงบ้าน
เมื่อเธอเดินเข้ามาแล้วได้กลิ่นอาหาร เธอก้มองลู่โจวด้วยสีหน้าประหลาดใจ
ลู่โจวยิ้มแล้วถาม “คุณอยากทานด้วยกันไหม? ผมทำพอทานสามคน”
หยางตันอวิ๋นยิ้มแล้วตอบ “ตกลง ขอบใจ ฉันจะไปเอาข้าว”
หานเมิ่งฉียิ้มเยาะและเธอเดินไปห้องน้ำโดยไม่ได้พูดอะไร
บนโต๊ะอาหารเงียบเช่นเคย
ถ้าเป็นแค่สองคน หานเมิ่งฉีจะจ้อไม่หยุด อย่างไรก็ตามเนื่องจากมีแม่อยู่ด้วย เธอจึงไม่สนใจที่จะพูดคุยและทานข้าวของตนเองอยู่เงียบๆ
ตอนแรกลู่โจวคิดว่าเป็นเพราะผลการเรียนของหานเมิ่งฉี ความสัมพันธ์แม่กับลูกจะดีขึ้น
อย่างไรก็ตามดูเหมือนเขาจะมองโลกในแง่ดีไป
ทุกครอบครัวมีปัญหาของตนเอง…
ลู่โจวอยากหลีกเลี่ยงความเงียบที่กระอักกระอ่วนนี้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจถามคำถาม
มันเป็นเรื่องของแอพแคปปัสเทรนด์
เขาอยากฟังคำแนะนำจากคนที่ประสบความสำเร็จอย่างคุณนายหยาง
หลังจากหยางตันอวิ๋นฟังคำถามของลู่โจว เธอก็ถาม “เธอทำแอพ?”
“ใช่ครับ”
“เธอทำการวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์รึยัง?”
ด้วยความประหลาดใจของลู่โจว คุณนายหยางจึงไม่ได้ถามเรื่องมีผู้ใช้กี่คนหรือซอร์ฟแวร์เป็นไง กลับกันเธอถามคำถามนี้แทน
ลู่โจวคิดก่อนจะส่ายหน้าแล้วกล่าวอย่างสัตย์จริง “ยังครับ”
ถ้าเขากำลังประชุมหาผู้ร่วมทุน เขาคงไม่ซื่อสัตย์ขนาดนี้ อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้อยู่ในการประชุมและเขาก็กำลังพยายามเรียนรู้ เขาจึงพูดตามความจริง
คุณนายหยางคิดแล้วกล่าว “จากมุมมองนักลงทุนของฉัน ฉันสามารถบอกเธอถึงตรรกะขั้นพื้นฐาน การลงทุนที่ดีต้องมี N+1 มากกว่ามาตรฐานอุตสหกรรมเสมอ”
“N+1?”
“ใช่แล้ว 1 นี่คือค่านวัตกรรมของเธอ” คุณนายหยางกล่าวและพยักหน้า จากนั้นเธอก็พูดต่อ “แน่นอนมันยังไม่เพียงพอ นักลงทุนจะดูโปรเจ็คอื่นที่คล้ายกับของเธอ มีแต่นวัตกรรมใหม่ๆเท่านั้นที่จะทำให้เท้าของคุณเดินเข้าสู่ประตู”
คุณนายหยางหยุดชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “เรื่องแรกที่จะพูดเป็นเรื่องของการวิเคราะห์อุตสาหกรรมและโอกาสทางตลาด อย่าพูดถึงส่วนแบ่งการตลาด นั่นมันไร้ประโยชน์ ยุคคนโง่มีเงินนั้นจบลงแล้ว ตอนนี้ถ้าเธออยากระดมทุน เธอก็ต้องแสดงด้านที่น่าประทับใจ เธอต้องใช้คำสั้นๆแต่น่าดึงดูดเพื่อทำให้นักลงทุนเห็นจุดเด่นในโปรเจ็คของเธอ นั่นเป็นส่วน+1เช่นกัน”
เอ่อ มันดูซับซ้อนมาก
อย่างไรก็ตามลู่โจวฟังอย่างตั้งใจ
เขาไม่อาจเรียนเรื่องแบบนี้ได้ในคาบเรียน
“เมื่อเธอเข้าใจส่วน +1 แล้ว งั้นถัดไปคือการวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ ยกตัวอย่างถ้าฉันเป็นนักลงทุน เธอก็ต้องบอกฉันอย่างชัดเจนว่าผู้ใช้เธออยู่ไหน มีผู้ใช้กี่คน มีคู่แข่งกี่คน คู่แข่งอยู่ไหน เป็นต้น นอกจากนี้สิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุดก็คือผลิตภัณฑ์ของเธอจะทำกำไรได้เท่าไหร่”
หยางตันอวิ๋นมองตรงเข้าไปในแววตาของลู่โจว
ดวงตาที่เฉียบแหลมของเธอทำให้ลู่โจวกลั้นใจ
โชคดีที่แรงกดดันนั้นหายไปอย่างรวดเร็ว
คุณนายหยางจิบน้ำซุปแสนอร่อยก่อนจะวางช้อนเบาๆแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสงบ “ดูเหมือนเธอจะไม่ได้คิดถึงเรื่องพวกนี้เลย”
ลู่โจวพยักหน้าเงียบๆ
โปรเจ็คนี้เป็นแค่การฝึกฝนก่อนที่มันจะกลายเป็นกระแสอย่างอธิบายไม่ได้ ถ้ามันไม่เป็นกระแส ศาสตราจารย์จางจากสาขาซอร์ฟแวร์ก็คงไม่มีทางสังเกตโปรเจ็คนี้ ศาสตราจารย์จางไม่มีทางให้เขาเปิดบริษัท[แคมปัสเทรนด์คอปอเรชั่นจำกัด] หรือไม่มอบสินเชื่อทางธุรกิจ 500,000หยวนแก่เขา…
เมื่อเขาทุ่มเทกำลังทั้งหมดไปกับการแข่งขันการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ เขาก็โยนแอพทิ้งไปข้างๆ หลังจากที่เขากลับมา ช่วงนักศึกษากลับมามหาลัยก็หมดลงแล้ว และผู้ใช้ก็ลดลงโดยสิ้นเชิง
ดังนั้นทุกคนบนเว่ยป๋อจึงวิพากษ์วิจารณ์แอพ แม้ว่าลู่โจวจะไม่ชอบคำวิจารณ์ แต่มันก็ไม่ได้ไม่มีเหตุผลจนเกินไป มันมีเหตุผลว่าทำไมนักลงทุนถึงไม่ติดต่อหาเขา…
“อันที่จริงหลังจากฟังคำอธิบายโปรเจ็คของเธอ ฉันก็อยากถามเธอ ถ้าผู้ใช้ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา ทำไมเธอถึงทำแค่ตั๋วรถไฟเท่านั้น? ปีนึงนักศึกษาจะซื้อตั๋วรถไฟมากแค่ไหนเชียว? จะรักษาจำนวนผู้ใช้ยังไง? แล้วถ้าบริษัทซอร์ฟแวร์อย่าง QQ หรือ zhibao ทำระบบจองตั๋วโดยตรงล่ะ? เธอคิดว่าแอพของเธอจะไปรอดหรือ? ฉันไม่คิดอย่างนั้น พวกเขาดีกว่าและมีทรัพยากรมากกว่าเธอ”
เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนี้แข็งแกร่ง ในไม่กี่นาทีเธอก็ทำให้ลู่โจวอึ้งได้แล้ว…
จู่ๆลู่โจวก็ตระหนักว่าเขาดูถูกอุตสหกรรมเทคโนโลยีเกินไป
คุณนายหยางพูดต่อ “แน่นอน โปรเจ็คของเธอยังสดใส เธอดีกว่านักพัฒนาส่วนใหญ่ เพราะส่วนใหญ่จะสร้างตัวต้นแบบแล้วไปหานักลงทุน ถ้าเธอไม่สนใจบริหารบริษัท เธอก็คิดเรื่องจ้างผู้จัดการได้ แต่ฉันไม่แนะนำ สำหรับบริษัทที่ยังอยู่ในช่วงก่อตั้ง ไม่มีใครรู้เรื่องโปรเจ็คดีกว่าเธอ นอกจากนี้ไม่มีผู้จัดการที่มีความสามารถที่แท้จริงคนไหนทำงานให้กับบริษัทเล็กๆที่ไม่มีอะไรเลยของเธอหรอก”
คุณนายหยางพูดอย่างตรงไปตรงมา
อย่างไรก็ตามลู่โจวไม่รู้สึกโดนดูถูกเลย ท้ายที่สุดแล้วเขารู้สถานการณ์บริษัทตนเองดี
ลู่โจวครุ่นคิดก่อนจะถามอย่างจริงจัง “แล้วคุณมีคำแนะนำดีๆไหม?”
“ความสามารถและพลังของคนๆนึงมีจำกัด ถ้าแบบนั้นทำไมเธอไม่หาคนที่มีความคิดแบบเดียวกันมาทำโปรเจ็คนี้ร่วมกันล่ะ? มีศาสตราจารย์วิจัยวิทยาศาสตร์มากมายในมหาลัยจินหลิงที่มีบริษัทเป็นของตนเอง ฉันรู้จักคนนึงที่วิจัยวัสดุศาสตร์ และฉันก็คิดว่าบริษัทเขาจดทะเบียนแล้ว ทำวิจัยทางวิทยาศาสตร์กับการหาเงินไม่ได้ขัดแย้งกันเสมอไป กุญแจสำคัญคือการหาสมดุลที่ดีแล้วรู้ว่าเธอเก่งและไม่เก่งอะไร”
ลู่โจวเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะพยักหน้า “ผมจะเก็บคำแนะนำของคุณไปคิดอย่างจริงจัง”
การสนทนานี้เป็นประโยชน์ต่อเขามาก
อย่างน้อยหลังจากนี้เขาก็รู้เส้นทางปกติที่จะเดินไปต่อแล้ว
คุณนายหยางยิ้มและพยักหน้าเห็นชอบ
เมื่อหานเมิ่งฉีเห็นว่าแม่เธอกำลังคุยกับลู่โจว เธอก็รู้สึกไม่สบายใจ เธอกระซิบ “คุณไม่พูดเรื่องธุรกิจบนโต๊ะอาหารได้ไหม?”
คุณนายหยางตกใจกับคำพูดของลูกสาว เธอหยุดพูดทันที
แม้ว่าลู่โจวจะเป็นคนนอกและไม่อยากมีเอี่ยวด้วย แต่เขาก็ยังอดรู้สึกเศร้าไม่ได้
มันเป็นอย่างที่คุณนายหยางพูด พลังของคนเรามีจำกัด มันมีชนะบ้าง แพ้บ้างตามสถานการณ์
อย่างไรก็ตามมีคนมากแค่ไหนที่สามารถค้นหาสมดุลระหว่างพลังกับการยอมแพ้?
แม้แต่นักธุรกิจหญิงที่ประสบความสำเร็จก็มีข้อบกพร่อง
ข้อบกพร่องของเธอก็คือครอบครัว…