Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 891 สงสัยว่าตัวเราก็ค่อนข้างสำคัญล่ะมั้ง?
- Home
- Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ
- ตอนที่ 891 สงสัยว่าตัวเราก็ค่อนข้างสำคัญล่ะมั้ง?
ทันใดนั้นสถานการณ์ก็กลายเป็นน่าอึดอัดทันที
คนจากทั้งสภาเมืองและสภามณฑลก็อยู่ที่นี่แล้ว แถมพวกผู้สื่อข่าวจากสถานีโทรทัศน์ก็พร้อมแล้วด้วย สุดท้ายพวกเขาก็รออย่างตั้งใจอยู่ที่ทางเข้าหน้าฐานอุตสาหกรรมเซมิคอนดัคเตอร์
แต่พวกเขาก็ทำอะไรนอกจากนั้นไม่ได้เลย
เพราะพวกเขาไม่ได้นัดไว้ล่วงหน้า หรือมีเบอร์โทรศัพท์มือถือของนักวิชาการลู่เป็นการส่วนตัว ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะไล่ตามลู่โจวบนทางหลวงแล้วพาตัวเขากลับมาที่นี่ได้เสียหน่อย
ถ้าทำแบบนั้นเรื่องนี้จบไม่สวยแน่ๆ
ตอนนี้ลู่โจวอยู่บนทางหลวงเรียบร้อยแล้ว เขากำลังกลับเมืองบ้านเกิดของเขา เมืองเจียงหลิง
เมื่อรถของเขามาถึงทางออกทางหลวงเจียงหลิง เขาก็ตกใจเมื่อมองเข้าไปในสถานีจ่ายค่าผ่านทาง
แท่งไฟสปอตไลต์ขนาดใหญ่หลายแท่งถูกนำมาติดไว้บนบูธ มันส่องแสงสีขาวสว่างจ้าขึ้นไปบนท้องฟ้า อย่างกับที่นี่หลุดมาจากงานคอนเสิร์ตหรือไม่ก็งานกีฬาอะไรสักอย่าง
ลู่โจวไม่ใช่คนเดียวที่ตกใจ หวังเผิงเองก็ตกใจไม่แพ้กัน
“ทำไมบูธเก็บค่าผ่านทางถึงมีสปอตไลต์ได้ล่ะเนี่ย?”
โชคดีที่แสงสปอตไลต์มันส่องไปบนท้องฟ้า ไม่ใช่บนทางหลวง
ไม่อย่างนั้นน่าจะมีอุบัติเหตุรถชนกันสักสองสามครั้งเกิดขึ้นแล้ว
“…”
ลู่โจวมองไปที่สถานีเก็บค่าผ่านทางพักหนึ่ง ก่อนจะเข้าใจในที่สุดว่าลำแสงพวกนี้ไม่ได้ส่องขึ้นไปบนฟ้า แต่พวกมันส่องไปที่ป้ายเหนือสถานีเก็บค่าผ่านทางต่างหาก
เขามองเข้าไปใกล้ๆ แล้วก็ต้องประหลาดใจมาก
ชื่อของเขาปรากฏอยู่บนป้าย
“พวกเราควรจะไปเข้าทางอื่นดีไหมนะ?” ลู่โจวทัก เขามีท่าทางอายนิดหน่อย
หวังเผิงกระแอมด้วยท่าทางอึกอัก
“พวกเรามาถึงที่นี่แล้วนะครับ จะให้ไปเข้าที่ไหนอีกล่ะครับ?”
ต่อให้ลู่โจวจะไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่นี่ก็เป็นทางเลือกเดียวของเขา
หวังเผิงขับรถซีดานสีดำไปที่ทางออกของถนนหลวง กลุ่มคนในชุดสูทยืนอยู่ข้างบูธเก็บค่าผ่านทางในความหนาวเหน็บ
วินาทีที่พวกเขาเห็นรถซีดานสีดำ ซุนเสี่ยวเฟิงก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ซุนเสี่ยวเฟิงมองไปที่เทศมนตรีแล้วเรียกเขาอย่างรวดเร็ว “ท่านเทศมนตรีครับ! คันนั้นแหละ!”
คนรอบตัวเขาก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอกเช่นกัน
พวกเขามารอที่นี่ตั้งแต่เที่ยงวันแล้ว ตอนนี้ก็ตกกลางคืนเรียบร้อย โชคดีที่พวกเขาไม่ต้องรอข้ามคืน
คนกลุ่มนั้นเริ่มกระซิบกระซาบกันเงียบๆ
“นั่นใช่รถนักวิชาการลู่เหรอ?”
เจ้าหน้าที่รัฐบาลที่ทำงานมานานจนใกล้เกษียณทักขึ้นมาด้วยแววตาอิจฉาว่า “รถซีดานสีดำกับธงสีแดง…ไม่เลวนี่นา ทางปักกิ่งคงจะมอบรถคันนั้นให้กับเขานั่นแหละ?”
“นี่คุณได้ดูข่าวบ้างไหมเนี่ย?”
“ไม่ดูมั้งแหม ถามจริงคุณ นักการเมืองคนไหนไม่ดูข่าวมั่ง?”
“ถ้าอย่างนั้นคุณคงไม่ได้ดูละเอียดพอน่ะสิ”
“ทำไมคุณพูดแบบนั้นล่ะ?”
“ลองดูโมเดลรถดีๆ สิ”
คนในกลุ่มนั้นอุทานออกมาด้วยเสียงเบาๆ
เจ้าหน้าที่วัยหนุ่มอีกคนอดถามขึ้นมาไม่ได้ว่า “ผมได้ยินว่าเขามีรถสปอร์ตที่ไม่เหมือนใครอยู่คันหนึ่งใช่ไหม? แล้วทำไมเขาไม่ขับคันนั้นมาล่ะ?”
อีกคนหนึ่งเริ่มอธิบาย
“การขับรถสปอร์ตมาจะเป็นการเปิดเผยตัวตนมากเกินไปน่ะสิ รถซีดานคันนี้คงจะได้มาจากทางรัฐ แถมมันยังทำให้มาเงียบๆ ได้อีกด้วย แล้วก็ยังกว้างกว่า เหมาะกับการนั่งรถนานๆ ด้วย เหมือนว่านักวิชาการลู่จะไม่ใช่คนไม่เอาไหนนะ เขาเป็นคนค่อนข้างระมัดระวังคนหนึ่งเลยทีเดียว”
เทศมนตรีอู๋แอบได้ยินบทสนทนาทั้งหมด เขาจึงพูดขึ้นมาว่า “คุณหมายความว่าอะไรที่ว่าไม่เอาไหน เขาต้องไม่ใช่คนไม่เอาไหนอยู่แล้วสิ!”
“ครับท่าน ผมพูดผิดไปเองครับ…”
คนคนนั้นก้มหัวลงแล้วไม่พูดอะไรต่อ
รถซีดานสีดำขับมาและผ่านบูธเก็บค่าผ่านทางไป จากนั้นมันก็ขับเข้าไปที่พื้นที่จอดรถใกล้กับบูธ
อู๋ติงหรงเดินนำหน้าคณะของเขา เขายื่นมือออกไปหาพร้อมกับพูดอย่างกระตือรือร้นว่า
“นักวิชาการลู่ครับ คุณต้องเดินทางมาไกลแน่ๆ !”
“ไม่ๆ ไม่เป็นไรหรอกครับ” ลู่โจวลงจากรถแล้วมองไปทางเทศมนตรีอู๋ เขาจับมือกับเทศมนตรีแล้วพูดต่อ “ผมแค่จะกลับบ้านช่วงวันหยุดเอง ไม่ต้องทำระเบียบอะไรขนาดนี้ก็ได้ครับ…”
“นี่เป็นหน้าที่ของพวกเรานะครับ” อู๋ติงหรงจับมือกับลู่โจวแล้วพูดไปพลางๆ “มีนักวิชาการในเมืองเจียงหลิงเพียง 17 คนเท่านั้น คุณเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดและประสบความสำเร็จมากที่สุด คุณคือความภาคภูมิใจของเจียงหลิง และความภาคภูมิใจของประเทศเรา พวกเราแค่ต้องการแสดงความยินดีกับสหายในเมืองบ้านเกิดของพวกเราเท่านั้นเอง”
เทศมนตรีเตรียมบทพูดไว้เรียบร้อยแล้ว
ถึงแม้ลู่โจวจะยังอายอยู่เล็กๆ แต่เขาก็ยินดีรับคำชมพวกนั้น
แต่เขาก็ยังรู้สึกหดหู่นิดๆ อยู่ดี
พิธีต้อนรับนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้เขาเสียเวลาเท่านั้น แต่ยังทำให้คนอื่นเสียเวลาชีวิตตัวเองอีกด้วย
หลังจากที่ลู่โจวปล่อยมือเทศมนตรีอู๋แล้ว เขาก็พูดขึ้นมาด้วยท่าทีจริงจัง
“คุณเทศมนตรีครับ ครั้งหน้าอย่าทำแบบนี้อีกเลย พวกเราทั้งหมดก็เป็นคนเจียงหลิงกันทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องเอาเงินภาษีมาใช้กับผมหรอกครับ มันจะทำให้ผมรู้สึกแย่ที่กลับบ้านมาแทน”
หลังจากคุยกันเล็กน้อยแล้ว ลู่โจวก็ปฏิเสธข้อเสนอของเทศมนตรีที่จะช่วยพาเขาไปส่งบ้านอย่างอ้อมๆ ในที่สุด ลู่โจวก็สามารถจัดการสลัดพวกสภาเมืองแล้วเดินกลับไปขึ้นรถซีดานสีดำได้
ลู่โจวกลับไปนั่งที่หลังรถแล้วถอนหายใจ
“ในที่สุดก็สลัดไปได้หมดเสียที”
หวังเผิงสตาร์ตรถแล้วเอ่ยว่า “กลุ่มผู้นำของคนชั้นผู้น้อยนี่เขากระตือรือร้นดีนะครับ”
ลู่โจวยิ้มแล้วถามไปว่า “สภาเมืองไม่ได้อยู่ในระดับชั้นผู้น้อยใช่ไหม?”
“ตอนอยู่จินหลิงคุณอาจจะไม่สังเกตนะครับ แต่หลังจากที่คุณอยู่ในปักกิ่งมาสักพัก คุณก็จะรู้ว่า…” หวังเผิงส่ายหัวแล้วพูดต่อ “ตำแหน่งเทศมนตรีมีแค่บทบาทเล็กๆ เองครับ”
ลู่โจวคิดครูหนึ่งก็รู้ว่าหวังเผิงพูดถูก
ทุกคนที่เขาเจอในปักกิ่งต่างก็มีระดับสูงกว่าเทศมนตรีเมืองทั้งนั้น…
แล้วลู่โจวก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาจึงถามไปว่า
“ถ้าอย่างนั้นแล้วผมล่ะอยู่ระดับไหน?”
พอหวังเผิงได้ยินอย่างนี้ เขาแทบจะขับรถชนข้างทางเลยทีเดียว
“คุณไม่รู้จริงๆ เหรอครับ?”
“…ผมไม่เคยคิดเรื่องนี้น่ะ”
ลู่โจวใช้เวลาอยู่ในออฟฟิศของมหาวิทยาลัยเสียส่วนใหญ่ นานๆ ครั้งเขาก็จะไปจัดการงานในฐานะคณะกรรมการวงโคจรรอบดวงจันทร์ ในฐานะหัวหน้านักออกแบบแล้ว หน้าที่รับผิดชอบของเขาจะอยู่ที่การตัดสินใจและการวิจัยมากกว่าการมอบหมายงานเฉพาะทางต่างๆ
นอกจากเข้าร่วมการประชุมกับคณะกรรมการวงโคจรรอบดวงจันทร์และกระทรวงป้องกันราชอาณาจักรแล้ว ลู่โจวก็ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์อะไรใดๆ กับคนอื่นจากทางรัฐเลย เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอยู่ในห้องแล็บ
เขายังจำเรื่องเมื่อนานมาแล้วที่เป็นเรื่องการดูแลในระดับหน่วยงานรัฐบาลหลายแห่ง แต่เขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้นแล้วก็ลืมไปนานแล้วด้วย
หวังเผิงรู้ตัวว่าลู่โจวไม่ได้พูดเล่น เขาจึงมองอีกฝ่ายผ่านกระจกมองหลังแล้วอธิบายว่า
“คณะกรรมการวงโคจรรอบดวงจันทร์นั้นถูกควบคุมโดยตรงจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนครับ มีสมาชิกจากกองทัพมากกว่าสิบคนที่กำลังดูแลบ้านของคุณอยู่ แล้วยังมีรถที่พวกเรากำลังนั่งอยู่ตอนนี้…คุณคิดว่าระดับตัวเองอยู่เท่าไรล่ะครับ?”
ลู่โจวเงียบไปและเริ่มใช้ความคิด
เอิ่มมม…
เขาไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้มาก่อนเลย เขาแค่รู้ว่านักวิชาการจะได้รับการดูแลเป็นพิเศษ
แต่ตอนนี้เขาเพิ่งรู้ตัวว่า…
สงสัยว่าตัวเราก็ค่อนข้างสำคัญล่ะมั้ง?
………………………