Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 24
ประมุขเกาะกาลมิติมองปากคูหาทรงกลมสีดำทะมึนกลางท้องฟ้าตรงหน้าพลางพูดขึ้นอย่างสบายๆ ว่า “อาจจะเป็นเพราะความเคลื่อนไหวที่เจ้า คมมีดโลหิตประมือกับเจ้าลัทธิทั้งห้าของลัทธิจอมมารดาใหญ่โตเกินไป จนส่งผลกระทบต่อกาลมิติและก่อให้เกิดทางเชื่อมกาลมิติเช่นนี้ขึ้นมา หรืออาจจะเป็นทางเชื่อมกาลมิติสายหนึ่งที่ซ่อนอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรกแล้วก็เป็นได้”
“เห็นทีคงจะเป็นทางเชื่อมจักรวาลขนาดเล็ก” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตยื่นมือขวาออกไป มือขวาเหยียดยาวออก แล้วมุ่งหน้าเข้าไปในทางเชื่อมจักรวาล
ขณะที่ยื่นมือเข้าไปในทางเชื่อมจักรวาลนั้น ไอหมอกสีเทารอบด้านก็พลันเริ่มสั่นสะเทือน พละกำลังอันไร้รูปร่างระลอกหนึ่งผลักไสเขา
“ใกล้เคียงกับที่ข้าคาดการณ์เอาไว้เลย เทพแท้ที่หลุดพ้นแล้วล้วนมิอาจเข้าไปได้” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกล่าว ขณะเดียวกันเขาก็มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงที่ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าใดนักข้างกาย แล้วยิ้มพลางอธิบายว่า “ยิ่งพลังแข็งแกร่งขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งกดดันทางเชื่อมจักรวาลมากขึ้นเท่านั้น! ตามที่ข้ารู้ โดยทั่วไปขนาดของทางเชื่อมจักรวาลแบ่งเป็นสามระดับ ต่ำที่สุดก็เหมือนอันนี้ จะต้องเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยังมิได้หลุดพ้น พวกเขายังอยู่ภายในมหานทีแห่งกาลเวลา ได้รับการปกป้องจากจักรวาล จึงเข้าออกทางเชื่อมจักรวาลได้อย่างไร้ข้อจำกัด ระดับที่สองเทพแท้ทั่วไปและเทพแท้ระดับผู้เคารพล้วนสามารถเข้าไปได้! ส่วนระดับที่สามซึ่งเป็นระดับสูงที่สุด ผู้ปกครองก็สามารถเข้าไปได้”
“ส่วนอันตรงหน้านี้เป็นระดับต่ำที่สุด” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตส่ายศีรษะ “ราคานั้นค่อนข้างจำกัด หากเป็นทางเชื่อมจักรวาลขนาดใหญ่ จึงจะล้ำค่ามาก เพราะถึงอย่างไรการไปยังจักรวาลอื่นได้สักครั้ง…ก็เป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง อย่างข้า ผู้ครองชิงและผู้ปกครองนรกโลกันตร์ล้วนเคยไปยังจักรวาลอื่นมาก่อน ท้ายที่สุดพลังจึงมีการบรรลุอย่างมหาศาล”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
ได้ยินมาว่าหลังจากศิษย์พี่ผู้ครองชิงไปยังจักรวาลอื่นก็บรรลุเป็นผู้ปกครอง อีกทั้งตามการสำรวจของวิญญาณอาวุธน้ำเต้าสีดำ พลังน่าจะเป็นอันดับสามในจักรวาลผู้บำเพ็ญแล้ว!
“ตงป๋อเสวี่ยอิง เจ้ายังมิได้หลุดพ้น สามารถไปลองดูได้” ประมุขเกาะกาลมิติที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้น
“ถูกต้อง” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพูดขึ้นบ้าง “เจ้าไปลองดูได้”
“แต่สงครามกับลัทธิจอมมารดา…” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้
ประมุขเกาะกาลมิติส่ายหน้า “เจ้าไม่ต้องเข้าร่วมหรอก แค่กลเม็ดเล็กน้อยนั่นของเจ้า เมื่อทำสงครามครั้งใหญ่ หากไม่ระวังก็อาจต้องเอาชีวิตไปทิ้ง ถึงตอนนั้นจะไม่ใช่การลอบโจมตีของเจ้าลัทธิไม่กี่คนแล้ว หากแต่จะเป็นการห้ำหั่นยกสุดท้ายของทั้งลัทธิจอมมารดา!”
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็พูดขึ้นว่า “จะเข้าร่วมก็ได้ ถึงตอนนั้นแค่ฟังคำสั่งของข้าก็พอ น้ำเต้าสีดำของเสวี่ยอิงยังพอจะช่วยอะไรได้อยู่บ้าง”
ประมุขเกาะกาลมิติสะดุ้งแล้วมองจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนจะเบ้ปาก “ก็ได้ ศิษย์ของท่าน ท่านตัดสินใจเอาเองเถิด”
พูดจบประมุขเกาะกาลมิติก็หายวับไปเสียงดังสวบ
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตมองตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “หากเจ้าอยากเข้าร่วมสงครามกับเหล่าเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดา ก็ยังต้องฝึกฝนให้มากหน่อย บรรดาผู้ปกครองแต่ละคนล้วนเข้าถึงวิถีขั้นนิรันดร์กาล วิถีได้กลายเป็นกฎเกณฑ์และก่อให้เกิดบริเวณกฎเกณฑ์ไปแล้ว พูดคำไหนกฎเกณฑ์ก็เป็นไปตามนั้น…เมื่อต่อสู้ก็จะไม่เหมือนกับผู้เคารพสักเท่าใดนัก ครั้งนี้เจ้าถูกลอบโจมตี คงจะพอสัมผัสได้บ้างแล้ว ว่าการต่อสู้ของเหล่าเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดานั้นทึ่มทื่อกว่าบรรดาผู้ปกครองของเรามากทีเดียว”
“เข้าใจพ่ะย่ะค่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสงบเสงี่ยม
ใช่แล้ว
ตอนที่เขาถูกลอบโจมตีก่อนหน้านี้ เมื่อตนพบศัตรู อาวุธของศัตรูมาถึงตรงหน้าแล้ว ตั้งแต่ต้นจนจบตนไม่ได้เห็นร่างจริงของพวกเขาปรากฏขึ้นมาเลย! แน่นอนว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะอีกฝ่ายร่วมมือกันลอบโจมตีด้วย แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของพลังของทั้งสองฝ่ายด้วยเช่นเดียวกัน! อีกฝ่ายตั้งใจลอบโจมตี ‘ฟ้าดินโลกเทียม’ ของตนก็มิอาจพบศัตรูได้
“จะลำพองตนไม่ได้ บัดนี้พลังของข้า หากไม่อาศัยน้ำเต้าสีดำก็แค่พอจะประมือกับผู้ปกครองได้อย่างพอถูไถเท่านั้น และยังต้องแพ้อยู่ดี! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนั้นเป็นการต่อสู้ระหว่างเผ่าพันธุ์ด้วยเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงได้สติขึ้นมาบ้าง
“ข้าจะส่งเจ้ากลับไปก่อน เพื่อป้องกันมิให้พวกลัทธิจอมมารดาหน้าหนาลอบโจมตีอีก” ขณะที่จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพูดก็ลงมือวางค่ายกลรอบด้าน ค่ายกลเข้าปกคลุมและซ่อนเร้นทางเชื่อมจักรวาลเอาไว้ “นี่คือวิธีการเข้าออกค่ายกล! หากลัทธิจอมมารดามาถึงที่นี่ ก็จะถูกพวกเราพบอย่างแน่นอน”
วัตถุส่งสารของตงป๋อเสวี่ยอิงได้รับวิธีการเข้าออกจากค่ายกลชุดหนึ่ง
จากนั้นจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็พาตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนที่ด้วยกาลมิติ เพื่อส่งตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไปยังทะเลหมอกดำก่อน จากนั้นตัวเขาเองค่อยกลับไปยังตำหนักเทพคมมีดโลหิต
……
ภายในโถงตำหนักอันกว้างขวางของลัทธิจอมมารดา
เจ้าลัทธิผู้มีเขี้ยวคมนั่งขัดสมาธิพลางมองเจ้าลัทธิทั้งหาที่ปรากฏกายขึ้นตรงหน้า บนร่างของเจ้าลัทธิทั้งห้าล้วนได้รับบาดเจ็บ เจ้าลัทธิหญิงเกราะดำอาการสาหัสที่สุด ตรงท้องทะลุเป็นหลุมขนาดมหึมา ทว่ามันกำลังสมานกัน
“น่าอนาถถึงเพียงนี้เชียวหรือ” เจ้าลัทธิผู้มีเขี้ยวคมมองพวกเขา
“พบจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเข้าแล้ว จู่ๆ เขาก็ปรากฏกายขึ้นมาลอบโจมตี จนเราเสียเปรียบไปบ้าง”
“น้ำเต้าสีดำเล่า”
“ตงป๋อเสวี่ยอิงประสบกับการลอบโจมตีของพวกเรา แต่กลับแค่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเท่านั้น และยังใช้น้ำเต้าสีดำทันทีอีกด้วย พวกเราห้าคนล้วนถูกระลอกคลื่นน้ำเต้าสีดำโจมตี การลอบโจมตีมิได้ทำให้เขาตาย จะสังหารเขาในชั่วระยะเวลาสั้นๆ ย่อมไม่มีหวังแน่ ทั้งยังกังวลว่าบรรดาผู้ปกครองเช่นจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตจะมาถึง พวกเราจึงถอนกำลังทันที แต่จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็ยังคงไล่ตามมาสังหารอยู่ดี”
บรรดาเจ้าลัทธิต่างพากันดูแคลน
ห้าคนร่วมมือกันสังหารเจ้าหนุ่มขั้นบุกเบิกคนหนึ่ง ก็ยังมิอาจทำให้เขาสิ้นใจได้
เจ้าลัทธิผู้มีเขี้ยวคมเงียบงัน มิได้ถามให้มากความอีกต่อไป
ในเมื่อล้มเหลว…ก็หมายความว่าความสามารถในการรักษาชีวิตของตงป๋อเสวี่ยอิงร้ายกาจกว่าข้อมูลที่ได้มามากนัก
“เช่นนั้นก็พักผ่อนกันก่อนเถอะ” เจ้าลัทธิผู้มีเขี้ยวคมพูดเสียงเรียบ “ที่ลงมือกับตงป๋อเสวี่ยอิงในครั้งนี้ อย่างแรกก็เพื่อระบายอารมณ์ อย่างที่สองก็เพื่อน้ำเต้าสีดำนั่น! แม้น้ำเต้าสีดำจะพอมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่ไม่ได้มาก็ไม่เป็นไร บัดนี้ลัทธิจอมมารดาของเราความแตกแล้ว จักรวาลผู้บำเพ็ญก็ล่วงรู้เป้าหมายของพวกเราแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องปกปิดอีกต่อไป รีบกระชับเวลา ก่อนที่ค่ายกลสองขั้วฟ้าของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตจะพบพวกเราเข้า พวกเราต้องรีบเริ่มเก็บเกี่ยวทรัพยากรอย่างบ้าคลั่ง เพื่อเตรียมการสำหรับสงครามครั้งสุดท้าย!”
“ได้” เจ้าลัทธิทั้งห้าพยักหน้า
ก่อนหน้านี้พวกเขากลัวความแตก
ตอนนี้ถูกฉีกหน้าเสียแล้ว ก็ย่อมต้องเก็บเกี่ยวทรัพยากรอย่างบ้าคลั่ง!
“ห้ำหั่นอย่างสุดกำลังสักตั้ง ด้วยการสั่งสมอันไร้ที่สิ้นสุดของจักรวาลเรา และการทุ่มสุดชีวิตของเหล่าเจ้าลัทธิ ก็มีหวังที่จะพลิกสถานการณ์และสังหารผู้ปกครองทั้งหมดเพื่อชนะศึกแล้วตั้งแท่นบูชาจอมมารดาได้อยู่แล้ว…และหลังจากนั้นจักรวาลนี้ก็จะกลายเป็นของพวกเรา” นัยน์ตาของเจ้าลัทธิผู้มีเขี้ยวคมมีความบ้าคลั่งลุกโชน
“ต้องรอการห้ำหั่นครั้งสุดท้ายแล้ว” เจ้าลัทธิทั้งห้าก็มีแววกระหายสงครามลุกโหม
******
ณ ลานเรือนไม้หลังเล็ก ตำหนักเทพคมมีดโลหิต
ประมุขหยวนชู บรรพชนหุบเหวลึกและจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตทั้งสามคนล้วนอยู่ที่นี่
“บัดนี้ลัทธิจอมมารดาลงมืออย่างโหดเหี้ยมมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นคร้านที่จะปกปิดแล้ว” ประมุขหยวนชูขมวดคิ้วพลางพูดเสียงต่ำ “ที่ผ่านมาพวกเขาก็ลอบเก็บเกี่ยวทรัพยากรอยู่แล้ว เกรงว่าต่อไปคงจะยิ่งเก็บเกี่ยวอย่างไร้ความเกรงกลัวมากยิ่งขึ้น”
“หอสุราคมมีดโลหิตและตำหนักเทพกาลมิติล้วนกำลังเก็บเกี่ยวทรัพยากร และกำลังสอดส่องทั่วทั้งจักรวาล ทันทีที่พบว่ามีผู้ใดเก็บเกี่ยวตามอำเภอใจ ก็จะตรวจสอบทันที หากพบว่าเป็นคนทรยศ จับเป็นได้ก็จับเป็น หากจับเป็นไม่ได้ก็ฆ่าทิ้งเสียให้เกลี้ยง” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเอ่ยเสียงเย็นชา
บรรพชนหุบเหวลึกก็พูดด้วยเสียงก้องกังวานว่า “คมมีดโลหิต วิถีร่างแยกของเจ้า…บัดนี้ข้าและหยวนชูได้ศึกษาหมดแล้ว ต่อไปเจ้าคิดจะถ่ายทอดให้ผู้ใดหรือ”
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็ครุ่นคิดก่อนจะกล่าวว่า “เรื่องนี้ต้องปรึกษากันให้ดีเสียก่อน ว่ากันตามตรง ในบรรดาผู้เคารพมีคนทรยศอย่างภูเขาไม้ไผ่โผล่ขึ้นมา ข้าก็กังวลว่าในบรรดาผู้ปกครองจะมีคนทรยศปรากฏขึ้นมาเช่นกัน ประมุขหยวนชูและท่านบรรพชนล้วนเป็นผู้ปกครองที่เก่าแก่ที่สุดสองท่าน ไม่มีทางเป็นคนทรยศไปได้ เพราะตอนนั้นลัทธิจอมมารดายังมิได้รุกรานเข้ามาเลย แต่กับผู้ปกครองบางคน ข้ากลับไม่มั่นใจสักเท่าใดนัก”
“อื้ม” บรรพชนหุบเหวลึกพยักหน้า “เมื่อดูจากระยะเวลาในการบำเพ็ญ ทางฝ่ายหุบเหวลึกดำมืดของเรา ข้ามาก่อนใครเพื่อน ถัดมาก็คือผู้ปกครองนรกโลกันตร์ นรกโลกันตร์มีความสัมพันธ์อันดียิ่งกับข้า ข้าก็เห็นเขาเติบโตมาทีละก้าวๆ กับตา จึงเชื่อมั่นในตัวเขามาก ส่วนคนสุดท้ายก็คือผู้ปกครองคลุ้งคาวเลือดหนีหลัว หนีหลัวเยาว์วัยที่สุด และมีความสัมพันธ์กับเจ้า คมมีดโลหิตแน่นแฟ้นที่สุดด้วย”
“ผางอีก็ไม่มีทางเป็นคนทรยศ เขาเป็นหนึ่งในห้าเหี้ยมแห่งโลกเทพ หากพูดถึงระยะเวลาในการบำเพ็ญแล้วก็ใกล้เคียงกันกับข้า” ประมุขหยวนชูเอ่ย “เจ้าแม่กานเหอก็ย่อมไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน ประมุขเกาะกาลมิติข้าก็เชื่อใจเขา ประมุขตำหนักหมื่นเทพก็บำเพ็ญมานานมาก ส่วนผู้ครองชิง…ผู้ครองชิงศิษย์คนโตของเจ้า เหมือว่านิสัยจะเปลี่ยนแปลงไปมากทีเดียว เพียงแต่เขาก็ไม่น่าจะเป็นคนทรยศไปได้ เพราะหากเขาเป็นคนทรยศ ตอนที่เขายังเป็นผู้เคารพ ก็คงจะสามารถช่วยลัทธิจอมมารดาให้ได้เรือบินอลวนมาได้อย่างง่ายดาย”
“เมื่อได้ฟังเช่นนี้ ก็เหมือนจะไม่มีไส้ศึกแล้วกระมัง” บรรพชนหุบเหวลึกเอ่ย
“ลัทธิจอมมารดาที่สามารถกลับชาติมาจุติได้จะมีสักกี่คนกัน คิดจะบำเพ็ญจนสำเร็จเป็นผู้ปกครองได้นั้นยากเย็นเพียงใด” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเอ่ย “มีความเป็นไปได้สองทาง หนึ่งคือไม่มีคนทรยศ สอง หากมีคนทรยศ เช่นนั้นก็จะต้องเป็นผู้ปกครองคลุ้งคาวเลือดหนีหลัว! ส่วนผู้ครองชิง ข้าเชื่อใจเขามาก! อีกทั้งวิถีร่างแยกก็ได้ถ่ายทอดให้เขาไปตั้งนานแล้วด้วย”
“เจ้าสงสัยหนีหลัวหรือ”
หยวนชูและบรรพชนหุบเหวลึกล้วนตกตะลึง
“ถูกต้อง” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพยักหน้า จากนั้นก็ยิ้มออกมา “หากมีคนทรยศ ก็ถือเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเรา พวกเราสามารถใช้คนทรยศทำให้ลัทธิจอมมารดาเสียเปรียบอย่างใหญ่หลวงได้”
แม้สงครามจวนจะปะทุขึ้นมาอยู่รอมร่อแล้ว
แต่ทางฝ่ายผู้บำเพ็ญกลับมั่นใจมากอย่างเห็นได้ชัด
เรือบินอลวนเป็นอาวุธลับอย่างหนึ่ง วิถีร่างแยกของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็เป็นอาวุธลับอย่างหนึ่งเช่นกัน ด้วยวิถีร่างแยก และการฝึกฝน ‘หัวใจศิลาจักรวาล’ ของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ผู้ปกครองแต่ละคนล้วนสามารถมีร่างแยกได้ถึงสามร่าง! ทำให้พลังการต่อสู้โดยรวมของผู้ปกครองทางฝ่ายผู้บำเพ็ญพุ่งทะยานขึ้นอย่างพรวดพราด
……
ลัทธิจอมมารดาและทางฝ่ายผู้บำเพ็ญล้วนกำลังเตรียมการเพื่อสงครามตัดสินครั้งสุดท้าย ทันทีที่สงครามเริ่มขึ้น ก็จะตัดสินชะตาของทั้งจักรวาล
ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็กลับไปอยู่เป็นเพื่อนภรรยาที่ทะเลหมอกดำ
อวี๋จิ้งชิวเดินอยู่ข้างทะเลสาบกับสามี “สามารถไปยังจักรวาลอีกแห่งหนึ่งได้ ก็เป็นโอกาสอันหาได้ยาก อีกทั้งท่านก็บอกแล้วว่า สงครามครั้งสุดท้ายกับลัทธิจอมมารดาใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว พลังของท่านยิ่งแข็งแกร่งเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น”
“นี่คือทางเชื่อมจักรวาลขนาดเล็ก ข้าจะไปสำรวจเส้นทางก่อน ถึงตอนนั้นจะพาเจ้าไปด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“พาชิงเหยาและอวี้เอ๋อร์ไปด้วยล่ะ” อวี๋จิ้งชิวเอ่ย
“ใช่ ไปด้วยกันให้หมดเลย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ โอกาสเช่นนี้ย่อมลืมคนที่บ้านไม่ได้
“เอาล่ะ ข้าควรไปได้แล้ว บัดนี้ทุกเสี้ยวนาทีล้วนมิอาจสิ้นเปลืองได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“ท่านระวังตัวด้วย” อวี๋จิ้งชิวกล่าว
“วางใจเถิด”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มพลางถลาขึ้นสู่ฟ้า ก่อนจะแหวกทางเชื่อมกาลมิติจากไป
แต่ทว่า
ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้รีบร้อนออกเดินทางทันที หากแต่กลับไปยังโลกวัตถุโลกเผ่าเซี่ยเพื่อทิ้งสมบัติล้ำค่าชิ้นสำคัญอย่างยิ่งเช่น ‘น้ำเต้าสีดำ’ ‘ป้ายอักขระแห่งสถานที่แรกเริ่ม’ และ ‘หอกงูโลหิต’ เอาไว้ก่อน เขาพกเพียงแค่สิ่งที่ใช้เป็นประจำติดตัวไปบางส่วนเท่านั้น แม้แต่อาวุธก็ยังใช้หอกไม้สีม่วงเข้มเล่มหนึ่งซึ่งเก็บมาจากผู้รักษากฎลัทธิจอมมารดา เดิมทีมันเป็นอาวุธของผู้รักษากฎระดับยอดของลัทธิจอมมารดาคนหนึ่ง แม้จะสู้หอกงูโลหิตมิได้ แต่ก็คมกริบและทนทานพอ
เขาไม่กล้าพกวัตถุล้ำค่าอย่างยิ่งติดตัวไป เพราะถึงอย่างไรทุกสิ่งในอีกจักรวาลหนึ่งล้วนเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยล่วงรู้ จึงกลัวจะสิ้นชีวิตที่นั่น และเสียสมบัติล้ำค่าที่สำคัญยิ่งไป
“ฟิ้ว…”
กลางฟากฟ้าเงียบสงัด
ตงป๋อเสวี่ยอิงแปรเป็นลำแสงสายหนึ่งทะลุไปกลางค่ายกลที่จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตวางเอาไว้อย่างง่ายดาย ไม่นานนักก็มองเห็นทางเชื่อมจักรวาลอันดำทะมึนนั้น รอบปากทางเชื่อมจักรวาลมีไอหมอกสีเทาม้วนตัวอยู่
“ลองเข้าไปดูดีกว่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงตั้งตารอคอย จากนั้นเขาก็มุ่งหน้าทะยานไปทางปากทางเชื่อมจักรวาล
(จบบทนี้)