Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 1
หลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงบินเข้าไปในคูหาดำทะมึนเส้นผ่านศูนย์กลางกว่าร้อยเมตรที่มีไอหมอกสีเทาม้วนตัวอยู่ ก็สัมผัสได้ถึงพละกำลังอันอบอุ่นสายหนึ่งที่ลูบไล้ตน เขากระจ่างแจ้งขึ้นมาทันใด “คือกฎเกณฑ์การหมุนเวียนของจักรวาลหรือนี่”
ตนยังมิได้หลุดพ้น
เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในมหานทีแห่งกาลเวลา กฎเกณฑ์การหมุนเวียนของจักรวาลจึงคุ้มครองเขาอย่างเต็มที่
“ฟิ้ว”
เมื่อทะยานไปในคูหานั้น เบื้องหน้าก็ดำทะมึนไปหมด มีแสงสีอันบิดเบี้ยวผ่านมาเป็นครั้งคราว ความรู้สึกกาลมิติบิดเบี้ยวทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงทนรับได้ยากอยู่บ้าง เมื่ออยู่ในทางเชื่อมจักรวาล ความรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วหรือช้าก็ถูกบิดเบือนไปด้วยเช่นกัน ชั่วครู่เดียวก็รู้สึกว่ายาวนานมาก แต่ก็เหมือนว่าเวลาอันยาวนานนั้นสั้นมากเช่นเดียวกัน ท่ามกลางความรู้สึกบิดเบี้ยวผิดที่ผิดทางอันแปลกประหลาดนั้น ในที่สุดตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองเห็นแสงสว่างสาดส่องมาจากปลายทางเชื่อมจักรวาล อีกทั้งพละกำลังของกฎเกณฑ์อันไร้รูปร่างก็เริ่มเข้าปกคลุมตน
นี่คือกฎเกณฑ์การหมุนเวียนของอีกจักรวาลหนึ่งซึ่งแตกต่างกับจักรวาลผู้บำเพ็ญโดยสิ้นเชิง!
“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงอยู่บ้าง
ก่อนออกเดินทาง ท่านอาจารย์จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็ได้ส่งข้อมูลหนึ่งให้เขา ซึ่งเป็นความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการเข้าไปยังจักรวาลอีกแห่งอย่างคร่าวๆ
“เมื่อเข้าไปในอีกจักรวาลหนึ่ง โดยทั่วไปก็จะถูกผลักไส! ถึงขั้นมิอาจดูดซับพละกำลังฟ้าดินได้ และมีจักรวาลบางแห่งที่ผลักไสผู้มาจากภายนอกสุดขีด ถึงขั้นดึงดูดสิ่งมีชีวิตในจักรวาลท้องถิ่นให้มาล้อมโจมตีผู้บุกรุก! ฟังจากที่ ‘กู่กานหลัว’ ผู้นั้นพูด จักรวาลลัทธิจอมมารดาก็ผลักไสผู้มาจากภายนอกถึงขีดสุด เมื่อพวกเขายึดครองจักรวาลของเรา พวกเราไม่ใช่แค่มิอาจดูดซับพละกำลังได้แม้แต่สายเดียวเท่านั้น แต่อาจถึงขั้นไม่มีที่ให้หลบหนี และถูกล้อมสังหารอย่างไม่หยุดไม่หย่อนได้!”
“ตามข้อมูลที่ข้าเก็บรวบรวมมา จักรวาลที่ผลักไสถึงขีดสุดนั้นมีน้อยนัก โดยทั่วไปล้วนเป็นการผลักไสอย่างง่ายๆ แค่มิอาดูดซับพลังฟ้าดินได้ก็เท่านั้นเอง ตามตำนานยังมีจักรวาลที่ไม่ผลักไสผู้มาจากภายนอกเสียด้วยซ้ำ”
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตให้ข้อมูลมาไม่มากนัก และตงป๋อเสวี่ยอิงก็จดจำเอาไว้ในใจได้อย่างแม่นยำ
“จักรวาลนี้หรือ”
เพียงแค่รู้สึกว่ากฎเกณฑ์การหมุนเวียนของจักรวาลอีกแห่งหนึ่งเข้าปกคลุมตน แล้วตงป๋อเสวี่ยอิงก็สัมผัสได้ถึงการประนีประนอมอันไร้รูปร่าง! ไร้ซึ่งการผลักไสใดๆ!
“ข้ายังนำผลึกเทพจำนวนมากมาด้วย ก็เพราะกลัวว่าจะมิอาจดูดซับพลังฟ้าดินได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงอดรำพึงออกมามิได้ “เห็นทีตอนนี้ จักรวาลที่ข้ามาถึงแห่งนี้จะประนีประนอมกับผู้มาจากภายนอกมากทีเดียว!”
ต่อให้มิอาจดูดซับได้จริงๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่กังวล เพราะนอกจากผลึกเทพจำนวนมากแล้ว ที่สำคัญกว่าก็คือตอนนี้เขาอาศัยวิชาลับผู้ท่องและการรับรู้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์เป็นหลัก เมื่อฝึกวิชาลับผู้ท่องจะต้องเหนี่ยวนำพลังอากาศอันสับสนอลหม่านให้แผ่คลุมลงมาแล้วดูดซับเพื่อหลอมแปร ไม่ว่าจะเป็นจักรวาลไหน ก็ล้วนสามารถเหนี่ยวนำพลังอากาศอันสับสนอลหม่านได้ด้วยกันทั้งนั้น
มันมิได้จัดเป็นพละกำลังในจักรวาลแต่อย่างใด
“ฟิ้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงบินออกจากปากคูหาอันดำทะมึน เป็นครั้งแรกที่เขามาถึงจักรวาลอื่น จึงย่อมต้องเก็บงำกลิ่นอายทั้งหมดเป็นธรรมดา และยังหลบซ่อนอยู่ในฟ้าดินโลกเทียมอีกด้วย
หากพูดถึงเรื่องการเก็บงำกลิ่นอาย ผู้ท่องอากาศก็เชี่ยวชาญโดยกำเนิดอยู่แล้ว ร่างกายพลันไม่มีกลิ่นอายสักนิดราวกับอากาศอันว่างเปล่าอย่างไรอย่างนั้น! มันเก็บงำกลิ่นอายได้ร้ายกาจกว่าอาภรณ์ประมุขหอคมมีดโลหิตเสียอีก
“มีสิ่งมีชีวิตอยู่จริงๆ ด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพบสิ่งมีชีวิตอื่นเข้า
……
นี่คือท้องฟ้าผืนหนึ่ง
บนดวงดาราอันรกร้างกลางท้องฟ้าดวงหนึ่งมีวังแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเลทรายอันแห้งแล้ง ภายในวังมีบุรุษร่างใหญ่กำยำกำลังร่ำสุราอยู่เพียงลำพัง สายตากลับทอดมองออกไปยังคูหาสีดำทะมึนซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียงร้อยเมตรอันค่อนข้างเร้นลับที่อยู่ไกลออกไป บนร่างของบุรุษร่างใหญ่กำยำผู้นี้มีแผงเกล็ดสีดำ บนข้อศอกและหัวเข่าล้วนมีปลายแหลมอยู่
ใบหน้าของเขาเป็นสีแดงเข้ม บนศีรษะก็เป็นแผงเกล็ดสีดำทั้งสิ้น ด้านข้างมีสาวใช้หางยาวนางหนึ่งคอยปรนนิบัติอยู่ ระหว่างนั้น เขากลับดื่มสุราเพียงลำพังและเฝ้าดูทางเชื่อมจักรวาลที่อยู่ไกลออกไปสายนั้นอย่างเงียบเชียบ
“ทางเชื่อมจักรวาลสายนี้เพิ่งปรากฏขึ้นได้ไม่นานเท่าใดนัก เป็นทางเชื่อมจักรวาลขนาดเล็กสายหนึ่ง อีกไม่นานควรจะมีสิ่งมีชีวิตจากจักรวาลภายนอกเข้ามาจึงจะถูกต้อง” บุรุษร่างบึกบึนสวมเกราะสีดำพึมพำเสียงต่ำ “หรือทางฝั่งพวกเขายังไม่พบทางเชื่อมจักรวาลเลย”
“รอไปก่อน”
“ทางเชื่อมจักรวาลสายนี้ปรากฏขึ้นในบริเวณดินแดนของข้า ถูกข้าพบเข้าก่อน และก็ถือเป็นโชคของข้าด้วย หากสิ่งมีชีวิตจากจักรวาลภายนอกค่อนข้างพิเศษ อาจจะขายได้ราคางามก็เป็นได้” บุรุษร่างบึกบึนสวมเกราะสีดำรอคอยอย่างเงียบๆ ด้วยความอดทน
……
“เอ๊ะ”
ท่ามกลางฟ้าดินโลกเทียม
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นดวงดาราอันรกร้างที่อยู่กลางฟากฟ้าไกลออกไปดวงนั้น แม้วังบนดวงดารานั้นจะเหมือนกับซ่อนเร้นอยู่ แต่ภายใต้การตรวจสอบของ ‘ฟ้าดินโลกเทียม’ ก็ย่อมหลบไม่พ้น ภายใต้การสัมผัสอากาศของเขาในตอนนี้ก็หลบไม่พ้นเช่นกัน! ภายในวังแห่งนั้นนอกจากบ่าวรับใช้กลุ่มหนึ่งที่มีระดับขั้นราวขั้นเทพและขั้นเทพโลกาแล้ว ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือสิ่งมีชีวิตที่น่าจะเป็นเทพแท้ผู้หนึ่ง
“เทพแท้หรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วเล็กน้อย
อีกฝ่ายคงจะไม่เห็นตน! คาดว่าระดับขั้นคงจะต่ำกว่าตนเอง
“ไม่รู้ว่าด้านความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของเขาเป็นอย่างไรบ้าง จะสามารถต้านทานเขตลวงของข้าได้หรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่กล้าลงมือง่ายๆ เพราะถึงอย่างไรที่นี่ก็คือจักรวาลอีกแห่งหนึ่ง ตนคือผู้บุกรุก! ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่รู้อะไรเลย ตนต้องระมัดระวัง จะทำอะไรบุ่มบ่ามมิได้
“อะไรน่ะ!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งขึ้นมาทันที
เขามิได้สนใจเทพแท้ที่รอล่าเหยื่ออยู่กลางฟากฟ้าไกลออกไปคนนั้นแล้ว ยามนี้ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงมีคลื่นมหึมาสูงเทียมฟ้าก่อตัวขึ้นมา เขาตกตะลึงหาใดเปรียบ!
“นี่ นี่ นี่…” ตงป๋อเสวี่ยอิงอ้าปากค้าง “การเคลื่อนที่ของเวลาในจักรวาลนี้…”
เขาสามารถสัมผัสร่างจริงของตนได้โดยผ่านการเชื่อมต่อของวิญญาณ
เมื่อเทียบความเร็วในการเคลื่อนของเวลาระหว่างร่างจริงที่อยู่ในจักรวาลบ้านเกิดกับจักรวาลที่ตนอยู่ในตอนนี้แล้ว…
“3566 เท่าหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำเสียงต่ำ
“จักรวาลบ้านเกิดผ่านไปวันหนึ่ง ที่นี่ก็ผ่านไปเกือบสิบปีแล้วอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่อยากจะเชื่อ เหตุใดความเร็วในการเคลื่อนของเวลาในจักรวาลจึงแตกต่างการได้อย่างน่าเหลือเชื่อถึงเพียงนี้เล่า
“วิญญาณอาวุธ วิญญาณอาวุธ”
ร่างจริงของตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวที่อยู่ในจักรวาลบ้านเกิดถามน้ำเต้าสีดำทันที
“วิญญาณอาวุธ การเคลื่อนของเวลาในจักรวาลสองแห่งแตกต่างกันได้มากเลยหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม
วิญญาณอาวุธน้ำเต้าสีดำเคยติดตามผู้ท่องอากาศกู่ฉีมาชั่วระยะเวลาหนึ่ง จึงมีหูตากว้างไกลกว่ามาก “จักรวาลสองแห่งอาจแตกต่างกันได้อย่างน่าเหลือเชื่อนัก ถึงขั้นกฎเกณฑ์การหมุนเวียนกลับกันอย่างสิ้นเชิงก็เป็นไปได้ ทว่าความเร็วในการเคลื่อนของเวลาน่ะหรือ…เนื่องจากจักรวาลทั้งหมดล้วนดำรงอยู่ท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่าน ดังนั้นพวกมันจึงได้รับผลกระทบจากอากาศอันสับสนอลหม่านทั้งสิ้น โดยทั่วไปการเคลื่อนของเวลาจึงแตกต่างกันไม่มากนัก จักรวาลบ้านเกิดของพวกท่านจัดว่าการเคลื่อนของเวลาค่อนข้างปกติ! การเคลื่อนของเวลาของจักรวาลอื่นโดยทั่วไปจะแตกต่างจากจักรวาลของพวกท่านไม่เกินสิบเท่า บางแห่งเร็วกว่า บางแห่งก็ช้ากว่าบ้าง”
“ไม่เกินสิบเท่าหรือ แต่ แต่จักรวาลที่ข้าเข้าไปนี้ การเคลื่อนของเวลาเร็วกว่าจักรวาลของเราตั้ง 3566 เท่าเชียวนะ!”
“อะไรนะ สามพันกว่าเท่าหรือ นี่…”
“ทำไมหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถามต่อ
“จักรวาลบางแห่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่าน บางแห่งก็สร้างขึ้นโดยสิ่งมีชีวิตอันน่าหวาดหวั่น! ผู้ที่สามารถสร้างจักรวาลขึ้นมาได้ โดยทั่วไปก็ต้องเป็นบุคคลระดับยอดอย่างบรรพชนเทียนอวี๋หรือผู้ท่องอากาศกู่ฉีเท่านั้น” วิญญาณอาวุธน้ำเต้าสีดำอธิบาย “หากเป็นจักรวาลที่ตั้งใจสร้างขึ้นมา จักรวาลจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้สร้างจะกำหนดขึ้นมาอย่างไรทั้งสิ้น! แต่จะทำให้จักรวาลแห่งหนึ่งคงอยู่ได้โดยมีการเคลื่อนของเวลารวดเร็วเช่นนี้ ก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากและน่าเหลือเชื่อเป็นอย่างมากเลยทีเดียว”
วิญญาณอาวุธน้ำเต้าสีดำพูดต่อไป “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สามารถมั่นใจได้ว่าจักรวาลที่ท่านเจ้าไปแห่งนี้ ก็สร้างขึ้นโดยสิ่งมีชีวิตที่เก่าแก่ท่านหนึ่งเช่นกัน! และเขาก็ตั้งใจให้การเคลื่อนของเวลาเป็นเช่นนี้”
“เข้าใจแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเบาๆ
……
หลังจากรู้ข้อมูลจากวิญญาณอาวุธน้ำเต้าสีดำแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ระมัดระวังมากขึ้น สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งในระดับเดียวกับบรรพชนเทียนอวี๋และกู่ฉีสร้างจักรวาลแห่งหนึ่งขึ้นมา ทั้งยังตั้งใจทุ่มเทเพื่อให้จักรวาลแห่งนี้มีการเคลื่อนของเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้ด้วย จักรวาลแห่งนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่! ตนถ่อมเนื้อถ่อมตัวไว้หน่อยจะดีกว่า
แน่นอนว่า เมื่อเขาได้รูว่าการเคลื่อนของเวลาเร็วกว่าถึงสามพันกว่าเท่าเขาก็ปีติยินดีเป็นอันมาก ลำพังแค่การเคลื่อนของเวลาเป็นเช่นนี้ การมายังจักรวาลนี้ก็มิได้เสียเปล่าแล้ว! ตนสามารถใช้การเคลื่อนของเวลาเช่นนี้ฝึกฝนได้เป็นอย่างดี เดิมทีสงครามระหว่างลัทธิจอมมารดาและผู้บำเพ็ญก็ใกล้จะมาถึงมากแล้ว แต่อาศัยการเคลื่อนของเวลาในจักรวาลนี้ ตนก็คงสามารถยกระดับพลังได้ขุมใหญ่เลยทีเดียว
“รีบหาผู้ที่พลังอ่อนแอสักหน่อย แล้วใช้เขตลวงควบคุมอีกฝ่าย เพื่อให้เข้าใจสภาพคร่าวๆ ของจักรวาลแห่งนี้เสียก่อน”
สวบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนที่ในพริบตาคราหนึ่งหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
ส่วนบุรุษร่างกำยำที่มีเกล็ดสีดำผู้อยู่ในวังบนดวงดาราอันเวิ้งว้างนั้นก็ยังคงจับจ้องอย่างเงียบเชียบต่อไป เขารอล่าเหยื่ออยู่ แต่กลับไม่รู้เลยว่าตงป๋อเสวี่ยอิงได้จากไปตั้งนานแล้ว