Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 10
ตู้มมมม…
ผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงที่ยืนอยู่ตรงนั้นพลันแผ่ระลอกคลื่นสีแดงโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนออกมาทั่วทุกทิศทุกทาง ระลอกคลื่นสีแดงโลหิตราวกับกระแสน้ำในมหาสมุทรที่โหมซัดสาดไปทุกสารทิศทั้งบนฟ้าและใต้ดิน!
ภายใต้ระลอกคลื่นสีแดงโลหิต ร่างแปรทั้งหลายของจักรพรรดิเทพมารแดงซึ่งเดิมทีล้อมโจมตีตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่นั้น ก็ร่างกายสั่นสะท้านก่อนจะสลายหายไปในทันที หากพูดถึงระดับความแข็งแกร่งของร่างแปรเหล่านี้แล้วก็สามารถเทียบกับผู้รักษากฎระดับยอดของลัทธิจอมมารดาได้เลยทีเดียว แต่ภายใต้ระลอกคลื่นสีแดงโลหิต ก็ไม่มีแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย! เมื่อถูกกระทบเข้าก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว ฉากนี้ทำให้จักรพรรดิเทพมารแดงตกตะลึงไปจริงๆ!
“อะไรกัน นี่ นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน” จักรพรรดิเทพมารแดงตกใจเสียจนถอยหลังกรูด
สวบๆๆ
เขาถอยไปอย่างรวดเร็ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ตรงนั้น ระลอกคลื่นสีแดงโลหิตแผ่กำจายออกไปทั่วสารทิศ ขอบเขตที่แผ่รังสีออกไปขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นพันลี้ เป็นหมื่นลี้ ทำเอาท่านชายใหญ่ ‘เจียวอวิ๋นเถิง’ และเหล่าผู้เคารพใต้บังคับบัญชาของเขาที่ชมการต่อสู้อยู่ห่างๆ พากันถอยหลังออกไปไกลขึ้นอีก
เมื่อแผ่รังสีออกไปกว่าหมื่นลี้แล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เก็บงำลงก่อนชั่วคราว
“นี่มันกระบวนท่าอันใดกัน”
“เหตุใดจึงมีอานุภาพใหญ่หลวงเช่นนี้ แม้แต่ร่างแปรกลุ่มหนึ่งของจักรพรรดิเทพมารแดงก็ยังต้องสังเวยชีวิตในพริบตา” ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวและองครักษ์เหล่านั้นต่างตกตะลึงเหลือแสน องครักษ์ซานตานยิ่งไม่กล้าจินตนาการเลยว่า ระดับผู้เคารพคนหนึ่งที่ตนดึงเข้ามาเกี่ยวข้องไปอย่างนั้นเองในตอนนั้น…จะน่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้ได้! บริเวณระลอกคลื่นสีแดงโลหิตที่สำแดงออกมาก็สามารถกวาดร่างแปรของจักรพรรดิเทพมารแดงออกไปได้ วิธีการเช่นนี้ต้องเป็นขั้นผู้ปกครองแน่นอนแล้วกระมัง
ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวทั้งตกใจทั้งยินดี “หรือข้าจะโชคดีจริงๆ ที่ได้สิ่งมีชีวิตอย่างตงป๋อมาเป็นองครักษ์ของข้า”
เขากลับไม่รู้เลยว่า
ด้วยอุปนิสัยของตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว หากมิใช่เพราะท่านชายสามปฏิบัติต่อองครักษ์อย่างใจกว้างนัก อีกทั้งตัวเขาเองก็ต้องการกฎเกณฑ์ของระบบการบำเพ็ญอื่นเพื่อมาศึกษาเป็นอย่างมาก ไหนเลยจะยอมรับปากเป็นองครักษ์ง่ายๆ ได้เล่า
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางฟากฟ้า พลางมองดูจักรพรรดิเทพมารแดงซึ่งหลบอยู่นอกระลอกคลื่นสีแดงโลหิตด้วยความหวั่นเกรงอยู่บ้าง
“ทำไมรึ จักรพรรดิเทพมารแดง ท่านกลัวแล้วหรือ แม้แต้บริเวณที่ข้าสำแดงออกมา ท่านก็ยังไม่กล้าเข้ามาหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “หากท่านกลัวเสียแล้ว ก็จะไม่มีทางได้ผลวิเศษมารดำไปหรอกนะ”
ท่านชายใหญ่เจียวอวิ๋นเถิงที่อยู่ไกลออกไปร้อนใจขึ้นมา
นั่นสิ
หากไม่เอาชนะ ‘องครักษ์ตงป๋อ’ ผู้น่าหวาดหวั่นที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนคนนี้ แล้วจะชิงผลวิเศษมารดำมาจากน้องชายได้อย่างไรกันเล่า
“จักรพรรดิเทพมารแดง” ท่านชายใหญ่เจียวอวิ๋นเถิงก็มองไปทางจักรพรรดิเทพมารแดงเช่นกัน
ตาข้างเดียวของจักรพรรดิเทพมารแดงจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิง
เกียรติยศศักดิ์ศรีของความเป็นผู้ปกครอง จะปล่อยให้เขาทำเสื่อมเสียไม่ได้ง่ายๆ
“ข้าไม่เชื่อหรอกว่า บริเวณที่ผู้เคารพคนหนึ่งสำแดงออกมาจะสามารถสังหารข้าได้” จักรพรรดิเทพมารแดงทะยานไปทางบริเวณสีแดงโลหิตด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เมื่อเข้าไปใกล้ มือของเขาก็ปะทะเข้ากับบริเวณสีแดงโลหิตก่อนตามธรรมชาติ
ฟิ้ว!
บริเวณแดงโลหิตพลันปะทุออกมา แล้วปกคลุมจักรพรรดิเทพมารแดงเอาไว้ทันที
จักรพรรดิเทพมารแดงมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงผู้มีสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มที่อยู่ไกลออกไป สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่กลับมิได้เอ่ยคำใดออกมา เขาสัมผัสได้ว่าระลอกคลื่นสีแดงโลหิตอันไร้รูปร่างได้ทำลายบริเวณกฎเกณฑ์ของเขาลงไปเสียแล้ว และกำลังแทรกซึมเข้าไปในกายเขา และส่งผลกระทบต่อร่างกายของเขา อีกทั้งระลอกคลื่นสีแดงโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนรอบกายก็โอบล้อมเขาอย่างต่อเนื่อง ที่น่าประหลาดที่สุดก็คือ ไม่ว่าจักรพรรดิเทพมารแดงจะบินหรือเคลื่อนที่อย่างไร พันธนาการเหล่านี้ก็ยกระดับขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลาที่ผ่านไป อาการบาดเจ็บภายในกายก็ค่อยๆ ทวีความรุนแรงขึ้นด้วย
“นี่มัน…”
จักรพรรดิเทพมารแดงนึกถึงศาสตร์ลับที่บันทึกเอาไว้ในระบบกฎเกณฑ์การบำเพ็ญอื่นขึ้นมาทันที
“บริเวณการเข่นฆ่าหรือ” จักรพรรดิเทพมารแดงมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ไกลออกไปด้วยความตกตะลึง
“นับว่าเป็นเช่นนั้นไม่ได้หรอก มันสู้อานุภาพของบริเวณการเข่นฆ่าที่แท้จริงไม่ได้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ
“อะไรนะ บริเวณการเข่นฆ่ารึ”
“บริเวณการเข่นฆ่าของระบบการบำเพ็ญจักรวาลเทวทูตน่ะหรือ”
ท่านชายทั้งสองและผู้เคารพทั้งหลายที่อยู่ไกลออกไปต่างก็รู้สึกหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ
ระบบการบำเพ็ญจักรวาลเทวทูต เมื่อบรรลุถึงระดับผู้ปกครอง ทุกความเคลื่อนไหวล้วนสามารถปรับเปลี่ยนพลังต้นกำเนิดจักรวาลได้ อานุภาพน่าหวาดหวั่นนัก ในจำนวนนั้น ทางสายการเข่นฆ่าของพวกเขาก็มีตำนานอยู่อย่างหนึ่งเรียกว่า…‘บริเวณการเข่นฆ่า’ ตามระบบของพวกเขา ต้องบรรลุถึงระดับผู้ปกครอง และสามารถปรับเปลี่ยนพลังการเข่นฆ่าของต้นกำเนิดจักรวาลได้เสียก่อนจึงจะสามารถสร้างบริเวณการเข่นฆ่าขึ้นมาได้
ภายในบริเวณการเข่นฆ่า…ศัตรูเพิ่งจะเข้ามาถึงก็ต้องตายเสียแล้ว! ต่อให้เป็นศัตรูที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้อย่างพอถูไถ แต่เมื่อเข้าไปก็ต้องได้รับบาดเจ็บ ทั้งยังอาการบาดเจ็บก็จะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ด้วย! ขณะเดียวกันก็จะประสบกับการพันธนาการของบริเวณการเข่นฆ่า และการพันธนาการก็จะยกระดับขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ภายในบริเวณการเข่นฆ่า พลังรบของสิ่งมีชีวิตผู้ควบคุมบริเวณการเข่นฆ่าก็จะยกระดับขึ้น ตามหลักการแล้ว ต่อให้เป็นบรรดาผู้ปกครองที่แข็งแกร่งกว่านี้ ท้ายที่สุดก็ล้วนต้องตายอย่างไร้ข้อกังขา!
แน่นอนว่านี่คือหลักการ!
เพราะว่าภายใน ‘จักรวาลคีรีมาร’ ผู้ใดก็มิอาจควบคุมพลังต้นกำเนิดจักรวาลได้
“เขาฝึกบริเวณการเข่นฆ่าสำเร็จได้อย่างไรกัน”
“จักรวาลของเราสร้างขึ้นโดยท่านบรรพชน พลังต้นกำเนิดจักรวาลมิอาจควบคุมได้!” ท่านชายทั้งสองล้วนรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ เหล่าองครักษ์ก็ตะลึงงันกันไปหมด
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงเองกลับเข้าใจดี
ตอนแรกเขาพบว่าสายการเข่นฆ่าของระบบจักรวาลเทวทูตนั้นมีส่วนช่วยเขาอย่างใหญ่หลวง จึงได้ขอให้ท่านชายช่วยเก็บรวบรวมศาสตร์ลับจำพวกนี้ เขาค้นคว้าอย่างต่อเนื่องและสั่งสมให้ ‘วิถีเข่นฆ่า’ มีรากฐานแน่นหนามากยิ่งขึ้น แต่ระหว่างการค้นคว้า ก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงได้วิเคราะห์ศาสตร์ลับเหล่านี้จากแง่มุมของความเร้นลับของกฎเกณฑ์ เขาพบว่าศาสตร์ลับเหล่านี้ยังมีวิถีอื่นแฝงเอาไว้ด้วย เช่นวิถีแห่งระลอกคลื่น วิถีแห่งเปลวเพลิง วิถีแห่งการทำลายล้าง เป็นต้น
เห็นได้ชัดว่า
ในระบบจักรวาลเทวทูต พวกเขาได้หลอมรวมสิ่งที่มีส่วนช่วยเรื่องการเข่นฆ่าเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่เหมือนบ้านเกิดของตงป๋อเสวี่ยอิงที่แบ่งความเร้นลับของกฎเกณฑ์ออกมาละเอียดยิบถึงเพียงนั้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงพบว่าอันที่จริง ‘บริเวณการเข่นฆ่า’ นั้นประกอบด้วยวิถีเข่นฆ่าและวิถีแห่งระลอกคลื่นเป็นหลัก! ในระบบจักรวาลเทวทูตมีการใช้วิถีระลอกคลื่นมากมายนัก เพราะเมื่อเขาค้นคว้าศาสตร์ลับมากเข้า เขาก็ค่อยๆ สั่งสมด้านระลอกคลื่นมากขึ้นเรื่อยๆ
เวลาสิบล้านปีในจักรวาลบ้านเกิด เขาก็ได้บุกเบิกวิถีโลกเทียมและวิถีเข่นฆ่าขึ้นมา
ส่วนในเวลาสามสิบล้านปีนี้…ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้บุกเบิกวิถีสายที่สามขึ้นมา…ซึ่งก็คือวิถีแห่งระลอกคลื่น! ทั้งยังยกระดับวิถีแห่งระลอกคลื่นจนถึงระดับยอดสุด เข้าใกล้ขีดจำกัดขั้นสุดมากทีเดียว
วิถีเข่นฆ่าและวิถีระลอกคลื่นผสานกัน! อาศัยแง่มุมของระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ค้นคว้ากระบวนท่า ‘บริเวณการเข่นฆ่า’ นี้ แล้วปรับโครงสร้างขึ้นมาใหม่ให้สมบูรณ์! หลังผ่านวันคืนอันยาวนาน ในที่สุดตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้คิดค้นเคล็ดลับที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบสามสิบล้านปีของเขา…บริเวณการเข่นฆ่าขึ้นมาได้! แม้จะสู้ฉบับดั้งเดิมมิได้ แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เชื่อว่า นี่เป็นเพราะวิถีทั้งสองของตนยังไม่บรรลุถึงขั้นนิรันดร์กาล
ทันทีที่บรรลุถึงขั้นนิรันดร์กาล
‘บริเวณการเข่นฆ่า’ ของตนก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้! ที่ ‘บริเวณการเข่นฆ่า’ ของระบบจักรวาลเทวทูตแข็งแกร่ง ก็เพราะอาศัยการปรับเปลี่ยนพลังต้นกำเนิดจักรวาล ส่วน ‘บริเวณการเข่นฆ่า’ ของตนอาศัยกฎเกณฑ์เป็นหลัก ยิ่งกฎเกณฑ์แข็งแกร่งเพียงใด มันก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น
“ภายในบริเวณการเข่นฆ่า พลังของข้าก็แข็งแกร่งกว่าเมื่อครู่มากทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม เขาถือหอกด้วยมือข้างเดียว มือขวากวัดแกว่งไปตามอำเภอใจ
เฉือน! แทง! กวาด! จิ้ม! ดูด! พัน!
กระบวนท่าสำแดงออกมาตามอำเภอใจ แต่เมื่อผ่านการสะท้อนของระลอกคลื่นของบริเวณการเข่นฆ่า กลับก่อเกิดเป็นการโจมตีขึ้นมารอบกายจักรพรรดิเทพมารแดง! การโจมตีแต่ละกระบวนท่าราวกับสำแดงออกมาในระยะประชิด แปลกประหลาดยากเกินคาดเดา
“ข้าไม่เชื่อ ไม่เชื่อหรอกว่าผู้ปกครองที่เกรียงไกรอย่างท่านจะมีพลังน้อยนิดเท่านี้ สำแดงพลังที่แข็งแกร่งกว่านี้ออกมาเสียเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเสียงเย็นชา เมื่อประมือกับผู้ปกครองท่านนี้ การเอาชนะมิใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คืออาศัยการต่อสู้ครั้งนี้สำรวจดูพลังที่แท้จริงของตนต่างหากเล่า!
“หากท่านไม่สำแดงพลังที่แข็งแกร่งกว่านี้ออกมา ท่านก็จะพ่ายแพ้แล้วนะ” เสียงของตงป๋อเสวี่ยอิงสะท้อนก้องไปทั่ว
ท่านชายทั้งสองและเหล่าองครักษ์ที่อยู่ไกลออกไปต่างก็มองดูด้วยความตะลึงลาน
ผู้เคารพคนหนึ่งกล้าอวดดีเช่นนี้ เป็นฝ่ายได้เปรียบแท้ๆ แต่ยังให้อีกฝ่ายสำแดงพลังที่แข็งแกร่งกว่านี้ออกมาอีกหรือ โอหังเกินไปแล้วกระมัง
“ดีมาก ดีมาก” จักรพรรดิเทพมารแดงก็รู้สึกโมโหขึ้นมา เขาคำรามเสียงต่ำว่า “ข้ามาถึงจักรวาลคีรีมารก็เพื่อฝึกฝนเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะบีบบังคับให้ข้าสำแดงพละกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา ดีมาก ดีมาก…”
ตาข้างเดียวของเขาพลันกลายเป็นสีขาวโพลนดุจหิมะ
ตู้ม!
สีขาวโพลนเต็มไปหมด!
ความหนาวเย็นจนเสียดกระดูกระลอกหนึ่งพลันแผ่ออกไป แม้แต่ค่ายกลต่างๆ โดยรอบ ก็ยังถูกทำให้แข็งแล้วเริ่มแตกออก พวกท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวที่หลบอยู่ภายในวังจับตามองอย่างละเอียด
บริเวณการเข่นฆ่าสีแดงโลหิตยังคงพลิกหมุนและสั่นสะเทือนอยู่ เพียงแต่ขนาดในการพลิกหมุนต่ำลงบ้างอย่างเห็นได้ชัด เพราะได้รับการกดดัน
ร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงคล้ายจะมีจริงแต่ก็เหมือนภาพลวง เขายังคงสัมผัสได้ว่าความหนาวเย็นอันน่าหวาดหวั่นแทรกซึมเข้ามาในฟ้าดินโลกเทียม และแทรกเข้าไปในร่างกายของตน
“เห็นทีการจะเอาชนะผู้ปกครองคนหนึ่ง มิใช่เรื่องง่ายดายเลยจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูจักรพรรดิเทพมารแดงที่อยู่ไกลออกไป ยามนี้ผิวกายของจักรพรรดิเทพมารแดงมีเกราะสีขาวชั้นหนึ่งปรากฏขึ้นมาแล้ว กลิ่นอายก็แข็งแกร่งขึ้นมากทีเดียว
“ครั้งก่อนที่ข้าสำแดงพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของข้าออกมา จักรวาลคีรีมารก็ยังต้องสยบให้บ้านเกิดของเรา” จักรพรรดิเทพมารแดงคำรามด้วยความโมโห “ผู้เคารพเช่นเจ้าคนหนึ่งอยากตาย ข้าก็จะช่วงสงเคราะห์ให้เจ้าตายเอง!”
จักรพรรดิเทพมารแดงโมโหจนแทบคลั่งขึ้นมาจริงๆ แล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นเข้า มุมปากก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ