Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 2
ตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนที่ในอากาศครั้งแล้วครั้งเล่า ก็พบดวงดาราที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่บ้าง เขาถึงขั้นพลิกความทรงจำของขั้นเทพคนหนึ่งมาดู! ด้วยระดับขั้นของเขาแล้ว การพลิกความทรงจำของขั้นเทพมาดูนั้น สามารถทำได้โดยไม่ทำร้ายอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย และอีกฝ่ายก็มิอาจจับได้ด้วย
“สวบ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกายขึ้นกลางฟากฟ้า ก็มองเห็นดวงดาราอันใหญ่โตแห่งหนึ่งไกลออกไป
“ที่แท้แล้วจักรวาลแห่งนี้มันอะไรกันแน่หนอ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกความทรงจำดูแล้วกลับสงสัยมากยิ่งขึ้น
“บนดวงดาราแห่งนี้มีสิ่งมีชีวิตที่มีระดับขั้นราวเทพโลกาสวรรค์สามชั้นอยู่คนหนึ่ง เขามีพลังสูงส่งกว่า จึงน่าจะรู้อะไรมากกว่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูดวงดาราอันใหญ่โตตรงหน้า ดวงดารานี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางราวสิบล้านลี้ ในบรรดาดวงดาราจำนวนนับไม่ถ้วนก็นับว่าใหญ่แล้ว ด้านบนมีกลุ่มวังที่ทอดยาวต่อเนื่องกัน ทั้งยังมีสิ่งมีชีวิตชาวเผ่าของจักรวาลแห่งนี้อยู่ด้วย
“มีชาวเผ่าทั้งหมดราวหมื่นคนเท่านั้นเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบส่ายศีรษะ
ก่อนหน้านี้เขาก็พบดวงดาราที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่มากมาย ชาวเผ่าท้องถิ่นของจักรวาลก็มีจำนวนน้อยมาก ที่น้อยก็น้อยเสียจนมีแค่ไม่กี่สิบคน ที่มากหน่อยก็แค่หลายร้อยคนเท่านั้น
ดวงดาราที่นับว่าใหญ่โตตรงหน้านี้ มีสิ่งมีชีวิตระดับเทพโลกาสวรรค์สามชั้นอยู่ ชาวเผ่าที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ก็แค่กว่าหมื่นคนเท่านั้น!
ทว่ามีอยู่ข้อหนึ่ง…
ก็คือทารกที่เพิ่งจะกำเนิดขึ้นมา ล้วนเป็นชีวิตเหนือธรรมดาทั้งสิ้น!
“ฟิ้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบเข้าไปในดวงดาราแห่งนี้อย่างเงียบเชียบ
……
บนดวงดาราแห่งนี้ มีเด็กกลุ่มหนึ่งที่สวมเพียงกางเกงชั้นในบินเหินไปด้วยความเร็วสูง พวกเขาบ้างก็ทะเลาะกันวุ่นวายอยู่กลางอากาศ บ้างก็หัวเราะเสียงดังฮ่าฮ่า
“ปัง” เด็กคนหนึ่งในจำนวนนั้นเตะเด็กอีกคนหนึ่งจนกระเด็นลอยไปสิบกว่าลี้แล้วยังตะโกนขึ้นว่า “ฮ่าฮ่า กินข้าวไม่อิ่มใช่หรือไม่ จึงไม่มีแรงเลยสักนิด”
แต่ในขณะนั้นเอง เด็กอีกคนหนึ่งด้านข้างก็เข้ามาลอบโจมตีดั่งสายฟ้าแลบ
เด็กหลายคนตีกันเป็นกลุ่ม แต่ละคนพลิกหมุนโจนทะยานอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า หากเหนือธรรมดาขั้นกึ่งเทพในโลกเผ่าเซี่ยเข้ามา เกรงว่าคงจะถูกเด็กเหล่านี้เหยียบย่ำ
และในยามนี้เอง…
บุรุษเกล็ดสีเขียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาลแห่งนี้กำลังพูดคุยกับชายชราเกล็ดสีเขียว หน้าตาของพวกเขาละม้ายคล้ายกัน พวกเขาต่างก็มีเกล็ดสีเขียว ด้านหลังมีหนามแหลมมากมาย ดวงตาเป็นสีทอง
“พี่รอง” ชายชราเกล็ดสีเขียวพูดเสียงต่ำ อีกไม่นานเท่าใดข้าก็จะตายจากไปแล้ว ที่มาพบพี่รองในครั้งนี้ ด้วยหวังว่าท่านจะช่วยดูแลเด็กๆ ทั้งหลายในตระกูลของข้าด้วย”
“น้องชาย หากยังไม่ถึงชั่วขณะสุดท้าย สายเลือดของเจ้าก็สามารถตื่นรู้ขึ้นมาได้อีกครั้งตลอดเวลา” บุรุษเกล็ดสีเขียวเอ่ย “พี่น้องของข้าเหลือเพียงเจ้าคนเดียวเท่านั้น อย่ายอมแพ้ง่ายๆ สิ”
“ข้ารู้ ร่างกายของข้าชรามากแล้ว…” พูดยังไม่ทันขาดคำ
ทันใดนั้น
เขตลวงอันไร้รูปร่างก็เข้าปกคลุม
บุรุษเกล็ดสีเขียวและชายชราต่างก็ตกเข้าสู่ห้วงนิทราในทันที แล้วชายหนุ่มชุดดำคนหนึ่งก็เดินเข้ามา นั่นก็คือตงป๋อเสวี่ยอิง เขาเดินเข้าไปถึงข้างกายบุรุษเกล็ดสีเขียวแล้วเอ่ยขึ้นว่า “บอกข้าสิว่า สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาลแห่งนี้คือผู้ใด! อย่าเอ่ยนามของพวกเขาออกมาให้พวกเขารู้ตัวล่ะ”
“ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือจักรพรรดิทั้งสาม!” บุรุษเกล็ดสีเขียวพูดขมุบขมิบราวกับกำลังท่องมนตร์
“จักรพรรดิหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงนัยน์ตาเป็นประกาย ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาพลิกดูความทรงจำของขั้นเทพ ก็รู้จักเทพแท้เพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น
“จักรพรรดิเป็นเทพแท้หรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม สิ่งที่เขาสนใจที่สุดก็คือพละกำลังระดับยอดสุดของจักรวาลแห่งนี้อยู่ในขอบเขตเทพแท้หรือไม่
“จักรพรรดิเหนือกว่าเทพแท้เสียอีก!” บุรุษเกล็ดสีเขียวพูดต่อไป
หัวใจของตงป๋อเสวี่ยอิงหดเกร็ง เขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันไร้รูปร่าง แล้วสอบถามต่อไป
******
ณ ดวงดาราอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปในจักรวาลแห่งนี้ เป็นดวงดาราที่งดงามนุ่มนวลอย่างยิ่งดวงหนึ่ง เงาร่างสายหนึ่งทะยานขึ้นสู่ฟ้า ซึ่งก็คือบุรุษผู้มีเกล็ดสีเขียวทั่วร่างซึ่งมีกลิ่นอายยิ่งใหญ่ แม้เขาจะสวมเกราะสีเงินเรียบง่าย แต่เกล็ดเหนือผิวหนังของแขนทั้งสองที่โผล่ออกมาก็มีลวดลายแปลกประหลาดอยู่ นัยน์ตาทั้งคู่ของเขาเปล่งแสงสีทองเรืองรองออกมา
“เหตุใดสภาพสิ่งมีชีวิตรุ่นหลังของข้าจึงแปลกประหลาดเช่นนี้เล่า” บุรุษเกราะสีเงินผู้นี้โบกมือคราหนึ่ง ด้านข้างก็มีเรือรบรูปทรงกระแสน้ำปรากฏขึ้นมา เขาก้าวเข้าไปในเรือรบ
แคว่กกก…
เรือรบแหวกทางเชื่อมกาลมิติสายหนึ่งขึ้นมาแล้วมุ่งหน้าไปด้วยความเร็วสูงยิ่ง
……
ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงในยามนี้ก็ยังคงสอบถามข้อมูลเรื่องแล้วเรื่องเล่าต่อไป ยิ่งเข้าใจมากขึ้นเขาก็ยิ่งตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าสิ่งมีชีวิตที่มีระดับขั้นราวเทพโลกาสวรรค์สามชั้นผู้นี้พอจะเข้าใจจักรวาลแห่งนี้อยู่บ้าง
“ที่แท้แล้ว ที่แท้แล้วเป็นเช่นนี้เอง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว
จักรวาลแห่งนี้อาศัยการตื่นรู้ของสายเลือดเพื่อยกระดับพลัง
คล้ายคลึงกับ ‘สายเลือดโบราณกาลตื่นรู้’ ของโลกเผ่าเซี่ยอยู่บ้าง เมื่อผ่านการวิวัฒน์เป็นเวลานานแสนนาน สิ่งมีชีวิตทั่วไประดับฐานรากของจักรวาลแห่งนี้ล้วนมีสายเลือดของระดับยอดสุดแฝงอยู่แทบทั้งสิ้น! ดังนั้นจึงมีความสามารถในการตื่นรู้จนถึงระดับที่สูงยิ่งซ่อนอยู่ด้วยกันทั้งนั้น…ซึ่งในจำนวนนั้นบิดาจะแข็งแกร่งที่สุด โดยทั่วไปบุตรชายบุตรสาวรุ่นที่สองก็จะมีสายเลือดเข้มข้นมาก จึงแข็งแกร่งมากเช่นเดียวกัน รุ่นที่สามรุ่นที่สี่…ก็จะอ่อนลงเรื่อยๆ
ผู้ที่แข็งแกร่งอย่างมากคนหนึ่งสามารถสร้างตระกูลทียอดเยี่ยมขึ้นมาได้!
จักรวาลแห่งนี้สร้างขุมอำนาจขึ้นมาโดยอาศัยตระกูล
ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือตระกูลระดับจักรพรรดิทั้งสาม!
รองลงมาก็คือตระกูลระดับอ๋อง!
ถัดมาอีกก็คือตระกูลเทพแท้! ต่ำลงไปอีกน่ะหรือ ก็ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงแล้ว
ตระกูลระดับจักรพรรดิทั้งสาม เนื่องจากตระกูลทั้งสามต่างก็มีจักรพรรดิอยู่องค์หนึ่ง! จักรพรรดินั้น…เหนือกว่าผู้ปกครองเสียอีก ถึงขั้นบรรลุขอบเขตของเทพแท้ไปแล้ว บรรลุถึงระดับขั้นที่สูงยิ่งขึ้น จากข้อมูลจำนวนมากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงได้มาจากการถ่ายทอดของผู้ท่องอากาศ สูงกว่าเทพแท้อีกขั้นหนึ่ง…ก็คือเทพอากาศ! นี่คือคำที่ใช้เรียกขานกันโดยทั่วไป เนื่องจากเมื่อมาถึงระดับนี้แล้ว กายหยาบก็สามารถท่องไปท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านได้
เทพอากาศทั้งสาม!
สิ่งมีชีวิตระดับอ๋องก็คือเทพแท้ระดับผู้ปกครอง จำนวนคงจะมีมากทีเดียว
ตระกูลเทพแท้…ล้วนแต่มีเทพแท้อยู่ จำนวนของเทพแท้ก็คงจะมีนับหมื่น
“สวรรค์”
“พลังโดยรวมของจักรวาลนี้แข็งแกร่งกว่าจักรวาลของพวกเราหลายสิบเท่าจนเกือบจนร้อยเท่าแล้วกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงตะลึงงัน จักรวาลของตนไม่มีเทพอากาศเลยสักท่านเดียว แต่ที่นี่กลับมีถึงสามท่าน!
พวกเขาฝึกฝนน้อยมาก แต่กลับชอบการต่อสู้มากกว่า!
ระหว่างการต่อสู้ สายเลือดของพวกเขาก็จะสามารถตื่นรู้ได้ง่ายขึ้น ทุกครั้งที่สายเลือดตื่นรู้ พลังก็จะยกระดับขึ้นอย่างใหญ่หลวง
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้บอกสิ่งเหล่านี้กับวิญญาณอาวุธน้ำเต้าสีดำ เพื่อถามความคิดเห็นของเขา
“ระบบการบำเพ็ญสายเลือดหรือ”
วิญญาณอาวุธตกตะลึงไป “จักรวาลที่มีระบบเช่นนี้ เบื้องหลังต้องยิ่งใหญ่มาก รังแกไม่ได้ง่ายๆ เลย”
“หา” ตงป๋อเสวี่ยอิงสงสัย
“สายเลือดจะตื่นรู้ได้นั้นยากนัก” วิญญาณอาวุธกล่าว
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า ใช่แล้ว ตอนนั้นกว่าสายเลือดโบราณกาลของตนจะตื่นรู้ ก็ต้องสิ้นเปลืองพลังไปไม่น้อย สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ของจักรวาลแห่งนี้ก็เป็นเพียงระดับเหนือธรรมดาเท่านั้น แม้จะมีผู้ที่สามารถสำเร็จเป็นเทพแท้ได้กว่าหมื่นคน แต่เมื่อเทียบกับทั้งจักรวาลที่มีจำนวนนับล้านๆ คนแล้วก็ยังคงมีสัดส่วนน้อยมาก ต้องรู้ไว้ว่าสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ในจักรวาลผู้บำเพ็ญก็มีหลายร้อยคนเช่นกัน
“แต่สายเลือดก็ต้องมีต้นกำเนิด” วิญญาณอาวุธกล่าว “หากสายเลือดต้นกำเนิดร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง สายเลือดของชนรุ่นหลังจึงจะมีหวังตื่นรู้ เหมือนกับที่โลกเผ่าเซี่ยของพวกท่านเคยมีสิ่งมีชีวิตโบราณกาลถือกำเนิดขึ้นมา เนื่องจากมีสิ่งมีชีวิตโบราณกาลอยู่ จึงมีสายเลือดโบราณกาลเกิดขึ้น!”
“และผู้ที่สามารถทำให้สายเลือดกลายเป็นระบบการบำเพ็ญของทั้งจักรวาล และถึงขั้นทำให้มีเทพอากาศถือกำเนิดขึ้นได้…ต้นกำเนิดของสายเลือดนี้ จะต้องเป็นสายเลือดที่น่าหวาดหวั่นมากอย่างแน่นอน” วิญญาณอาวุธเอ่ย “ที่ข้าสงสัยก็คือ บรรพชนของพวกเขาคือผู้สร้างจักรวาลแห่งนี้ขึ้นมา”
“ดังนั้นสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนในจักรวาลแห่งนี้จึงมีเบื้องหลังอันแกร่งกล้ายิ่งนัก เบื้องหลังพวกเขาก็คือบรรพชนของพวกเขานั่นเอง! ส่วนที่การเคลื่อนของเวลาในจักรวาลนี้คงอยู่ที่ความเร็วสามพันกว่าเท่า ก็คงเป็นเพราะบรรพชนของพวกเขา…หวังว่าจะมีให้กำเนิดทายาทที่แข็งแกร่งจำนวนมากยิ่งขึ้น” วิญญาณอาวุธเอ่ย
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็พยักหน้า
ระบบการบำเพ็ญสายเลือด…
เช่นสายเลือดของเขา คนรุ่นหลังก็ค่อนข้างเยี่ยมยอด แต่ก็ก่อให้เกิดชนเผ่าหนึ่งและสร้างระบบการบำเพ็ญสายเลือดอันยิ่งใหญ่ขึ้นมาในจักรวาลได้ยากมาก
แต่ ‘บรรพชน’ ของชนเผ่าในจักรวาลนี้กลับสามารถทำได้!
“หากเทียบระบบการบำเพ็ญสายเลือดกับระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของพวกท่านแล้ว ก็สามารถบรรลุได้ง่ายกว่าอยู่บ้าง แต่ระบบเช่นนี้มีข้อบกพร่องอันใหญ่หลวงอยู่ข้อหนึ่ง นั้นก็คือบรรลุถึงระดับบรรพชนได้ยากนัก” วิญญาณอาวุธอธิบาย “ทว่าตามมุมมองของข้า บรรพชนของพวกเขาน่ากลัวนัก! ดังนั้นต่อให้อย่างมากบำเพ็ญได้แค่ใกล้เคียงกับระดับบรรพชนเท่านั้น ก็แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าแข็งแกร่งแล้ว”