Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 20
บนเวทีการต่อสู้อันเก่าคร่ำคร่า ตงป๋อเสวี่ยอิงประจันหน้ากับผู้เคารพเลี่ยยางอยู่ไกลๆ
ตงป๋อเสวี่ยอิงยื่นมือขวาออกไป หอกยาวสีเงินเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ ขณะเดียวกัน ตู้มมมม…เกลียวคลื่นสีแดงโลหิตซึ่งมีตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นศูนย์กลางโหมซัดและแผ่กำจายออกไป เกลียวคลื่นสีแดงโลหิตที่ม้วนตัวอยู่นั้นแทบจะถาโถมเข้าไปตรงหน้าผู้เคารพเลี่ยยางในพริบตา เนื่องจากนี่เป็นกระบวนท่าจำพวกบริเวณ จึงแผ่คลุมไปทั่วทั้งเวทีการต่อสู้ ผู้เคารพเลี่ยยางหลบหลีกอย่างไรก็มิอาจหลบพ้นได้ จนถูกปกคลุมมิดในทันใด
บริเวณการเข่นฆ่า!
ตอนนี้วิถีเข่นฆ่าและวิถีระลอกคลื่นของตงป๋อเสวี่ยอิงล้วนบรรลุถึงขีดจำกัดขั้นสุดแล้วทั้งสิ้น ห่างจากความสมบูรณ์แบบนิรันดร์กาลเพียงก้าวเดียวเท่านั้น แน่นอนว่าก้าวนั้นห่างไกลราวฟ้ากับเหว! การยกระดับขั้นบวกกับศาสตร์ลับปรัชญาคลื่นลมที่คิดค้นขึ้นมาเองก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสั่งสมพื้นฐานได้แน่นหนาขึ้น ‘บริเวณการเข่นฆ่า’ ก็สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น อานุภาพก็น่าหวาดหวั่นขึ้นเช่นกัน
“เอ๊ะ” สีหน้าของผู้เคารพเลี่ยยางซึ่งอยู่ท่ามกลางเกลียวคลื่นสีแดงโลหิตเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย เขาสัมผัสได้ว่าระลอกคลื่นที่ซ่อนอยู่ลับๆ ระลอกแล้วระลอกเล่าแทรกซึมเข้าไปในร่างเขาอย่างไม่หยุดหย่อน ทำเอาทุกอณูในร่างเขาสั่นสะเทือนไปหมด หมายจะทำลายร่างของเขาให้แหลกละเอียดไปให้ได้ อีกทั้งระลอกคลื่นชั้นแล้วชั้นเล่าก็พันพาดเข้ามาไม่หยุดหย่อนประหนึ่งใยแมงมุมอย่างไรอย่างนั้น
“เป็นบริเวณที่น่ากลัวนัก สามารถทำร้ายร่างกายข้าได้ด้วย อีกทั้งเมื่ออยู่ในบริเวณนี้นานเข้า อาการบาดเจ็บของข้าก็จะยิ่งสาหัสขึ้นเรื่อยๆ ด้วย พันธนาการที่ได้รับก็จะยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน” ผู้เคารพเลี่ยยางถือว่าตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งอยู่ตรงหน้าผู้นี้เป็นคู่ค่อสู้ระดับผู้เคารพที่น่าหวาดหวั่นที่สุดในประวัติศาสตร์ทันที “ต้องรีบสู้รีบจบ! จะยืดเยื้อไม่ได้!”
อย่างจักรพรรดิเทพมารแดงยังมีท่าไม้ตายที่สามารถกดดันบริเวณการเข่นฆ่าได้
แต่ข้อแรก บัดนี้บริเวณการเข่นฆ่าแข็งแกร่งขึ้นแล้ว ข้อต่อมาคือผู้เคารพเลี่ยยางก็ไม่เชี่ยวชาญลูกไม้ทางด้านบริเวณเสียด้วย
ทว่าเขามีวิธีการร่อสู้ของเขาเอง!
ผู้เคารพเลี่ยยางพลันแค่นเสียงเฮอะด้วยตวามโมโห
ตู้ม!!!
กลิ่นอายเหนือผิวกายของเขาพลันปะทุขึ้นมา เสื้อผ้าก็พองตัวขึ้นมา ผิวหนังซึ่งเดิมเป็นมันเงาก็เริ่มมีเยื่อผิวหนังซึ่งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าชั้นหนึ่งปรากฏขึ้น ผิวหนังพองตัวขึ้นมาจนหมด อานุภาพภายในโหมซัด เหนือผิวกายมีเยื่อผิวหนังชั้นหนึ่งปรากฏขึ้น แม้แต่ดวงตาก็ยังมีเยื่ออันโปร่งใสปรากฏขึ้นด้วยเช่นกัน กลิ่นอายร่างกายก็ปะทุขึ้นเป็นอันมาก
สวบ!
เขาชักดาบรบที่ด้านหลังออกมาในพริบตา ร่างกายกะพริบวาบคราหนึ่งก็ถลาตรงไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง ดาบอันโหดเหี้ยมพลันไปถึงหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงทันใด
“เคร้ง!!!” เดิมทีตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ตรงนั้น แต่หอกยาวในมือของเขากลับเลื้อยลอดออกไปสกัดกั้นดาบนี้เอาไว้ประหนึ่งอสรพิษ พละกำลังที่โหมซัดภายในกายแทรกซึมเข้าไปในหอกนี้
ผู้เคารพเลี่ยยางรู้สึกเพียงว่าพละกำลังอันยิ่งใหญ่ปานฟ้าถล่มดินทลายส่งผ่านหอกยาวมา อีกทั้งพละกำลังนี้ยังแฝงไว้ด้วยระลอกคลื่นอันพิสดาร ระลอกแล้วระลอกเล่า ทำให้เขารู้สึกยากเกินทานทน โลหิตภายในกายเดือดพล่านและกระเทือนเสียจนกระเด็นลอยถอยหลังไปโดยมิอาจควบคุมได้ แล้วกระอักโลหิตสดๆ เต็มปากออกมาอย่างทนไม่ไหว
“พละกำลังแข็งแกร่งกว่าข้าอีกหรือนี่” ผู้เคารพเลี่ยยางไม่อยากจะเชื่อ ในด้านพละกำลัง เขาแข็งแกร่งกว่าผู้ปกครองเสียอีก แต่กลับตกเป็นรองอย่างนั้นหรือ ถูกกระแทกจนกระอักโลหิตเลยหรือ
แม้ผู้เคารพเลี่ยยางจะถูกแทงจนกระเด็นลอยไปในหอกเดียว แต่ผมสีเงินยวงซึ่งถักเป็นเปียมากมายของเขากลับปะทุออกมาในพริบตา ก่อนจะเข้าพันธนาการตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างบ้าคลั่ง
แม้หอกยาวของตงป๋อเสวี่ยอิงจะร้ายกาจ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเปียเรียวยาวถึงเก้าสิบสามเส้นพันพาดเข้ามาพร้อมกัน อีกทั้งแต่ละเส้นยังอ่อนนุ่ม บิดแปรอย่างพิสดารและรวดเร็วอย่างยิ่ง เขามิอาจต้านทานเอาไว้ได้ทันกาล ก็ถูกผมเปียสีเงินเหล่านี้พันรัดร่างเอาไว้อย่างรวดเร็ว เปียเส้นแล้วเส้นเล่าพันพาดเข้ามาเป็นวงล้อม และพันธนาการตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้อย่างสิ้นเชิง
“ยุ่งยากเสียแล้ว” ผู้ปกครองซึ่งชมการต่อสู้อยู่เหล่านั้นก็ทอดถอนใจ เนื่องจากทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างรวดเร็วและดุเดือดเกินไปจริงๆ เห็นได้ชัดว่าจะตัดสินแพ้ชนะกันในเวลาอันสั้น
“ตู้ม!” ชั่วขณะที่ถูกผมเปียสีเงินพันธนาการเอาไว้ แขนทั้งสองข้างของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ออกแรงแล้วสั่นสะท้านในพริบตา ฟึ่บๆๆ…ผมเปียสีเงินทั้งหมดพลันขึงตึงเข้าหากันและสั่นสะท้าน แต่กลับต้านรับพละกำลังของตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ได้
ผู้เคารพเลี่ยยางซึ่งถูกซัดจนกระเด็นลอยออกไปพลันหยุดลง บัดนี้เปียของเขาขยายตัวออกไปหลายร้อยลี้แล้ว บ ดบังฟ้าและดวงตะวันจนสิ้น ทั้งยังพันธนาการตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้โดยสมบูรณ์ เขามองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด “พละกำลังแข็งแกร่งนัก ข้าเกือบจะพันธนาการเขาเอาไว้ไม่ได้แล้ว”
“ดิ้นไม่หลุดเลยหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตกใจมาก เมื่ออยู่ในบรรพคีรีมาร ความเร็วก็รวดเร็วนัก เวลาหกล้านปีเพียงพอจะสยบการบำเพ็ญสามสิบล้านปีก่อนหน้านี้ได้ บัดนี้วิชาลับผู้ท่องของเขาก็ถูยกระดับขึ้นไปจนถึงชั้นที่แปดแล้ว เมื่อครู่ที่หอกหนึ่งของเขาเพียงแค่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามถูกกระแทกเสียจนกระอักโลหิตก็ทำให้เขาตกตะลึงมากแล้ว
ตอนนี้เมื่อผมมาพันธนาการตนเอาไว้ พละกำลังของตนก็ยังดิ้นไม่หลุดเช่นนั้นหรือ
“แตก!”
ผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงพลันมีประกายสีดำชั้นหนึ่งปรากฏขึ้น ประกายสีดำชั้นนี้ไหลเวียนอยู่เหนือผิวกาย แต่ละสายคมกริบราวกับคมมีดซึ่งสามารถเชือดเฉือนทำลายได้ทุกสิ่ง ซึ่งนั่นก็คือ ‘เกราะพล’ ซึ่งมีอานุภาพทำลายล้างสูงที่สุดของทางสายผู้ท่องอากาศ
เกราะพลปกคลุมผิวกาย ตงป๋อเสวี่ยอิงดุจดั่งเทพมารซึ่งเดินออกมาจากความมืดมิดก็มิปาน ทุกบริเวณทั่วกายรวมทั้งเส้นผมสีดำล้วนแต่มีเกราะพลอันน่าหวาดหวั่นไหลเวียนอยู่
ทั้งร่างของเขาปลดปล่อยพลังออกมาอีกครา!
ตู้มมม…
เปียสีเงินเส้นแล้วเส้นเล่าซึ่งพันธนาการเขาเอาไว้ขึงตึงและสั่นสะเทือนขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เกราะพลอันคมกริบหาใดเปรียบเหนือผิวกายของของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับทำให้เปียสีเงินที่ขึงตึงเริ่มขาดสะบั้นเสียงดัง ‘ปัง ปัง ปัง’ ทำให้ผู้เคารพเลี่ยยางซึ่งเดิมทีกำลังจะฉวยโอกาสโจมตีสีหน้าเปลี่ยนแปรไปอย่างใหญ่หลวง เปียที่ขาดลงจำนวนมากลอยกลับไปอย่างรวดเร็ว เขาจับจ้องตงป๋อเสวี่ยอิง ที่ผ่านมาการต่อสู้ของเขามีชื่อเสียงเรื่องความเหิมเกริม ผู้ใดจะไปคิดว่าเมื่อตาต่อตา ฟันต่อฟันในวันนี้จะตกเป็นรองอย่างน่าอดสูเสียได้
พูดแล้วเหมือนจะเนิ่นช้า แต่อันที่จริงตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงแค่สั่นสะเทือนสองครั้งเท่านั้น ครั้งที่สองเขาอาศัยเกราะพลก็ทำลายเปียสีเงินเหล่านี้จนพังทลายลงไปได้
“ฆ่า” ผู้เคารพเลี่ยยางกลับแค่นเสียงเฮอะขึ้นมาด้วยความโมโห เขากุมดาบบุกเข้ามาสังหารอีกครั้ง
เมื่อต่อสู้ประชิดตัวในครั้งนี้ เปียสีเงินกลับปัดไปซ้ายทีขวาที แต่ละอันล้วนอยากเคลื่อนไหวอย่างโง่งม
“ฟิ้ว”
เงาดาบกะพริบวาบคราหนึ่ง เฉียดผ่านตงป๋อเสวี่ยอิงไป เปียสีเงินเส้นแล้วเส้นเล่าก็ลอบโจมตีอย่างอันตราย
ขณะเดียวกันเมื่อเผชิญหน้ากับเปียจำนวนมากมายถึงเพียงนั้นและดาบรบเล่มหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สีหน้าเปลี่ยนแปลงขึ้นมาบ้างแล้ว
“ปรัชญาคลื่นลม…คลื่นคู่พิฆาต!” ตงป๋อเสวี่ยอิงพลันสำแดงศาสตร์ลับปรัชญาคลื่นลมซึ่งคิดค้นขึ้นมาเองในช่วงหลายปีมานี้ออกไป นี่คือศาสตร์ลับสำหรับการต่อสู้ชนิดหนึ่ง
ฟิ้ว!
ผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงพลันยิงเกราะพลสีดำเส้นแล้วเส้นเล่าออกไปพร้อมกัน เกราะพลสามารถปกคลุมวัตถุภายนอกเช่นอาวุธต่างๆ แล้วทำการต่อสู้ได้ และสามารถใช้ต่อสู้โดยตรงได้เช่นกัน! ทันใดนั้นเหนือผิวของเกราะพลสีดำสายหนึ่งกลับมีระลอกคลื่นสีแดงโลหิตอันพิสดารสองสายรายล้อมและพลิกหมุนไปราวกับมัจฉาแห่งหยินหยาง ชั่วขณะที่ระลอกคลื่นสองสายรายล้อมและปะทะกันนั้น ก็ก่อให้เกิดพลังทำลายล้างอันน่าหวาดหวั่นขึ้นมา
ฟึ่บๆๆ…เกราะพลสีดำจำนวนมากพุ่งตรงออกไปพร้อมกัน ทำให้ผู้เคารพเลี่ยยางรับมือไม่ทัน เขาทำได้เพียงกัดฟันแน่นและเชื่อมั่นในร่างกายของตนเอง แล้วใช้ร่างกายฝืนต้านทานเอาไว้!
“ตายเสียเถอะ” เปียสีเงินของเขายังคงพุ่งตรงไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง เขายอมทนบาดเจ็บหมายจะจัดการตงป๋อเสวี่ยอิงให้ได้ในรวดเดียว
แต่เกราะพลสีดำสายแล้วสายเล่าก็ทะลุเข้าไปในร่างกายของผู้เคารพเลี่ยยางราวกับปลาอย่างไรอย่างนั้น ใช่แล้ว เกราะพลซึ่งแฝงไว้ด้วยความเร้นลับ ‘ปรัชญาคลื่นลม…คลื่นคู่พิฆาต’ อานุภาพน่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง ร่างกายของผู้เคารพเลี่ยยางไม่แพ้ตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนที่เพิ่งจะเข้าสู่บรรพคีรีมาร แต่ก็ยังคงมิอาจต้านทานได้ จนถูกแทงทะลุไป เกราะพลสายแล้วสายเล่าเริ่มทำลายร่างกายของเขา
แอ่งโลหิตแน่นขนัดทำให้สีหน้าของผู้เคารพเลี่ยยางเปลี่ยนแปรครั้งใหญ่ แม้แต่ท่าทางในการโจมตีก็ยังได้รับผลกระทบ เพราะถึงอย่างไรอาการบาดเจ็บก็ยังคงหนักหน่วงเกินไป นอกจากนี้เกราะพลจำนวนมากก็ยังทำลายภายในร่างกายของเขาด้วย
เคราะห์ดีที่ร่างกายของเขาแข็งแกร่ง หากเป็นผู้ปกครองที่อ่อนแอกว่านี้เกรงว่าร่างกายก็คงแหลกสลายเป็นผุยผงไปแล้ว
“ฟิ้ว” หอกยาวของตงป๋อเสวี่ยอิงก็พุ่งเข้ามา
พละกำลังทั้งร่างถ่ายทอดลงไปบนหอกยาว เกราะพลหมุนเวียนอยู่เหนือหอกยาว ระลอกคลื่นสีแดงโลหิตสองสายไขว้ทับกันอยู่ตรงปลายหอกอย่างไม่ขาดสายทั้งยังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง แล้วพุ่งตรงไปทางผู้เคารพเลี่ยยาง บัดนี้ร่างกายของผู้เคารพเลี่ยยางได้รับบาดเจ็บสาหัส การกระทำก็แปรเปลี่ยนไป เดิมทีดาบรบในมือนั้นไม่มั่นใจพอที่จะสกัดกั้นกระบวนท่านี้ได้ แต่ทันใดนั้นเปียสีเงินจำนวนมากก็พันพาดออกไปอย่างรวดเร็ว
ฟึ่บๆๆ…
แม้หอกยาวจะถูกเปียสีเงินพันพาด แต่ก็ยังคงฝืนแทงเข้าไปในร่างของผู้เคารพเลี่ยยาง เมื่อกระเทือนอย่างรุนแรงคราหนึ่งก็แทงทะลุแผ่นอกของเขาจนเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ ถึงขั้นสามารถมองเห็นได้ว่าเกราะพลจำนวนมากภายในกายกำลังเคลื่อนไหว ยังเผาผลาญไปไม่หมด
ส่วนระลอกคลื่นบริเวณการเข่นฆ่าก็แทรกซึมเข้าไปอย่างต่อเนื่อง ทำเอาผู้เคารพเลี่ยยางซึ่งบาดเจ็บสาหัสอย่างยิ่งอยู่แล้วแต่เดิมมีอาการบาดเจ็บเพิ่มพูนขึ้นอย่างไม่ขาดสาย
“ข้ายอมแพ้” ผู้เคารพเลี่ยยางเอ่ยปาก โลหิตสดเต็มปากเขาไปหมด
รอบด้านเงียบงันไปหมด
บริเวณการเข่นฆ่าสลายหายไปทันที หอกยาวซึ่งเดิมทีตงป๋อเสวี่ยอิงหมายจะโจมตีออกไปอีกครั้งก็ชะงักลงแล้วเก็บกลับมา เกราะพลที่หลงเหลืออยู่บ้างก็บินกลับมาอย่างรวดเร็ว
ผู้เคารพเลี่ยยางมองตงป๋อเสวี่ยอิง เมื่อไม่มีเกราะพลทำลายร่างกายแล้ว บาดแผลก็ค่อยๆ ฟื้นตัว เปียซึ่งเดิมยาวเหยียดก็หดสั้นลงและคืนสู่สภาพปกติ เขามองดูตงป๋อเสวี่ยอิงพลางพยักหน้าพูดว่า “ข้าแพ้ทั้งปากและใจ เมื่อห้ำหั่นกันซึ่งหน้า ข้าก็แพ้เสียแล้ว เจ้าเก่งกาจกว่าข้าเสียอีก”
“ท่านก็แข็งแกร่งมากเช่นเดียวกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
คู่ต่อสู้แข็งแกร่งมากโดยแท้
หากไร้ซึ่งการฝึกฝนหกล้านปีในบรรพคีรีมาร มิได้คิดค้นปรัชญาคลื่นลมขึ้นมา ลำพังแค่เปียสีเงินเหล่านั้น ตนก็มิอาจฝ่าออกไปได้ จำเป็นต้องหลบเข้าไปในฟ้าดินโลกเทียม ถึงตอนนั้นตนก็จะต้องอาศัยฟ้าดินโลกเทียมและการหลบหลีกในอากาศเพื่อลอบโจมตี ด้วยความแข็งแกร่งของร่างกายฝ่ายตรงข้าม และมีเปียจำนวนมากคอยเสริม การลอบโจมตีของตนจะคว้าชัยได้หรือไม่ก็ยังไม่แน่
เพียงแต่ว่า…
เมื่อได้บำเพ็ญไปหกล้านปี ตนก็ยกระดับขึ้นอย่างรอบด้าน ต่อให้มิได้สำแดงฟ้าดินโลกเทียมและเคล็ดการหลบหลีกในอากาศออกมา หากตาต่อตาฟันต่อฟันกันตนก็สามารถกดดันอีกฝ่ายและคว้าชัยได้อยู่ดี
“ร้ายกาจ”
“ยินดีกับผู้เคารพตงป๋อด้วย ที่ได้กลายเป็นผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งบรรพคีรีมารแล้ว”
“ฮ่าฮ่า การต่อสู้ระหว่างผู้เคารพตงป๋อและผู้เคารพเลี่ยยางในครั้งนี้ช่างอาจหาญจริงๆ” เหล่าผู้ปกครองที่ชมดูอยู่ด้านข้างต่างพากันอ้าปากค้าง การต่อสู้อันดุเดือดเช่นนี้ ผู้ปกครองโดยทั่วไปล้วนรับมือไม่ไหว
ตงป๋อเสวี่ยอิงและผู้เคารพเลี่ยยางต่างก็นับถืออีกฝ่ายเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาทั้งสองต่างก็พบโอกาสต่างๆ มามากมาย ตงป๋อเสวี่ยอิงถามตนเองว่าหากไร้ซึ่ง ‘มรดกผู้ท่องอากาศ’ ตนก็ไม่มีโอกาสชนะเอาเสียเลย ผู้เคารพเลี่ยยางก็ทอดถอนใจ “ข้าพบโอกาสมามากมาย ทั้งยังได้เข้าไปบำเพ็ญยังบรรพคีรีมารชั้นในมานานแสนนาน แต่กลับพ่ายแพ้เสียนี่”
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงร่ำลาผู้ปกครองทั้งหลาย ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังชั้นในของบรรพคีรีมารภายใต้การนำทางของบ่าวรับใช้หุ่นเชิดใหม่…ซึ่งก็คือหุ่นเชิดสาวตนนั้นที่เดิมเป็นบ่าวรับใช้ของผู้เคารพเลี่ยยางนั่นเอง
ณ บรรพคีรีมารชั้นใน
“นายท่าน บรรพคีรีมารชั้นในมีคูหาทั้งหมดเก้าแห่ง ซึ่งอยู่ตรงแกนค่ายกลทั้งเก้าของบรรพคีรีมาร” หุ่นเชิดสาวเดินเข้าไปสู่ไอหมอกสีดำ เข้าไปยังส่วนลึกของบรรพคีรีมาร “คูหาทั้งเก้าแห่งแบ่งออกเป็นผู้ปกครองแปดท่านและผู้เคารพท่านหนึ่ง ก่อนหน้านี้ก็มีผู้ปกครองจากชั้นในหลายท่านไปร่วมชมการต่อสู้ด้วย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
“ดูสิเจ้าคะ” หุ่นเชิดสาวชี้ออกไปไกล
ไกลออกไปมีลำแสงหลากสีรายล้อมสถานที่แห่งนี้เอาไว้ กลางอากาศมีคูหาอันวิจิตรงดงามซึ่งมีขอบเขตถึงร้อยลี้ลอยคว้างอยู่ นั่นคือคูหาสำหรับบำเพ็ญ ซึ่งเป็นหนึ่งในเก้าแกนของบรรพคีรีมาร
“นั่นคือคูหาซึ่งจะเป็นสถานที่บำเพ็ญของนายท่านนับจากนี้ไปเจ้าค่ะ” หุ่นเชิดสาวกล่าว
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินไป
สายตาของเขากวาดมองไป ก็เห็นว่าอีกหลายทิศก็มีแสงหลากสีให้เห็นรางๆ และมีคูหาลอยคว้างอยู่เช่นกัน เขาเข้าใจว่าเป็นคูหาชั้นในแห่งอื่นๆ
ฟิ้ว
เขาบินถลาไปทางคูหา ประตูใหญ่ของคูหาเปิดกว้าง เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงบินเข้าไปแล้ว กลับรู้สึกว่าเสียงอันไพเราะเสนาะโสตดังขึ้นข้างหู ดังก้องขึ้นในวิญญาณ
“อูจี๋ลา…” เสียงอันว่างโหวงล่องลอยดังก้องขึ้นในวิญญาณ ดวงตาของตงป๋อเสวี่ยอิงค่อยๆ หรี่ลง จากนั้นเขาก็ปิดเปลือกตาลง ใบหน้าเผยรอยยิ้มออกมา แล้วเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างสิ้นเชิง
มิใช่เพียงแค่ร่างนี้เท่านั้น
บนดวงดาราอันรกร้างแห่งหนึ่งของจักรวาลคีรีมาร ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์แดงซึ่งกำลังบำเพ็ญอยู่ในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ก็ล้มลงบนผืนหญ้าและตกเข้าสู่ห้วงนิทราทันทีเช่นเดียวกัน
ภายในโลกภูผาศิลาแดงแห่งโลกเผ่าเซี่ยในจักรวาลผู้บำเพ็ญ
ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งเดิมทีกำลังพูดคุยกับอวี๋จิ้งชิวผู้เป็นภรรยากลับหลับตาลงแล้วเผยรอยยิ้มออกมา แล้วล้มพับลงกับพื้น
“เสวี่ยอิง” อวี๋จิ้งชิวสะดุ้ง สีหน้าเปลี่ยนแปรไปอย่างใหญ่หลวง “เสวี่ยอิง ท่านเป็นอะไรไปน่ะ ตื่นเร็ว ตื่นเร็วเข้า!”
……
ณ บรรพคีรีมาร
ใบหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งตกเข้าสู่ห้วงนิทรายังคงแย้มยิ้ม ร่างของเขายังคงบินตรงไปทางประตูใหญ่ของคูหาอย่างไม่รู้ตัว
“ฮ่าฮ่าฮ่า ผู้เคารพตงป๋อผู้นี้ก็เริ่ม ‘บำเพ็ญในห้วงนิทรา’ แล้วเช่นกัน” ผู้ปกครองในคูหาอีกแปดแห่งของบรรพคีรีมารชั้นในก็จับตามองที่นี่อยู่ห่างๆ จึงมองเห็นภาพที่ตงป๋อเสวี่ยอิงตกเข้าสู่ห้วงนิทรา
“นี่คือโอกาสอันใหญ่หลวงซึ่งมีแต่ในบรรพคีรีมารชั้นในเท่านั้น การบำเพ็ญในห้วงนิทรา ถึงจะร้องขอก็มิใช่ว่าจะได้มา”
“เมื่อบำเพ็ญในห้วงนิทราแล้ว มิอาจหยุดกลางคันได้ ต้องบำเพ็ญให้จบจึงจะสามารถตื่นขึ้นมาได้ ไม่รู้ว่าครั้งนี้เขาจะบำเพ็ญนานสักเท่าใด”
“เห็นกลิ่นอายวิญญาณของผู้เคารพตงป๋อคนนี้อ่อนเยาว์นัก เห็นได้ชัดว่าการรับรู้สูงส่งอย่างยิ่ง บวกกับที่นี่เป็นการบำเพ็ญในห้วงนิทราครั้งแรก ระยะเวลาในการบำเพ็ญจะต้องยาวนานมากอย่างแน่นอน ข้าว่า อย่างน้อยต้องห้าร้อยล้านปีแน่”
“ห้าร้อยล้านปีหรือ ข้าว่าคงจะมีสักสิบล้านปีกระมัง”
“ถึงอย่างไรยิ่งเวลานาน ก็ยิ่งได้รับอะไรมากขึ้น! ฮ่าฮ่า…”
ผู้ปกครองซึ่งอยู่ในบรรพคีรีมารชั้นในเหล่านี้ล้วนผ่านการบำเพ็ญในห้วงนิทรามาหลายครั้งแล้ว จึงเข้าใจการบำเพ็ญในห้วงนิทราอย่างดียิ่ง เช่นผู้เคารพเลี่ยยาง ที่ก่อนหน้านี้มิอาจรับศึกได้ก็เพราะกำลังเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญด้วยการบำเพ็ญในห้วงนิทรานั่นเอง