Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 22
ณ โลกเผ่าเซี่ย โลกภูผาศิลาแดง บนเกาะธุลีแดง
อวี๋จิ้งชิวกำลังนั่งพลิกตำราเล่มหนึ่งดูอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียง นางมองดูชายหนุ่มอาภรณ์สีขาวที่เอนกายอยู่บนเตียงเป็นระยะๆ
แปดหมื่นสองพันปีแล้ว
หลับใหลมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ อวี๋จิ้งชิวก็เคยชินเสียแล้ว นางเชื่อมั่นเพียงแค่ว่า “เสวี่ยอิงเข้าสู่ห้วงนิทราแล้วตัวมิได้ตายในระยะเวลาอันสั้น เป็นไปได้อย่างยิ่งว่ามิได้มีอันตรายถึงชีวิต เขาจะต้องฟื้นขึ้นมาอย่างแน่นอน” แต่นางก็เข้าใจดีว่านี่คือความปรารถนาของนางแต่เพียงฝ่ายเดียว ถึงอย่างไรก็ย่อมมิอาจคาดเดาได้เลยว่าแท้จริงแล้วที่ ‘บรรพคีรีมาร’ แห่งจักรวาลคีรีมารอันไกลโพ้นนั้น สามีของตนจะต้องเผชิญกับสิ่งใด
“น้องหญิง” บุรุษผมแดงผิวแดงผู้หนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอกเรือน เขาก็คือผู้เคารพหั่วเฉิง นี่คือร่างแปรร่างหนึ่งที่เขาสร้างขึ้น เขาและตงป๋อเสวี่ยอิงมีความสัมพันธ์เป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายกัน ทัั้งยังเป็นอาจารย์ของตงป๋อชิงเหยา ในช่วงนี้ร่างแปรของเขาล้วนเก็บตัวอยู่ที่เกาะธุลีแดง
อวี๋จิ้งชิวยืดกายขึ้น “พี่ใหญ่หั่วเฉิง”
“เจ้านั่งเถิด ข้าเพียงแค่มาดูน้องชายข้าสักหน่อยเท่านั้น” ผู้เคารพหั่วเฉิงเดินไปด้านข้างแล้วนั่งลงมองตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ในห้วงนิทรา บุคคลผู้เลิศเลอเช่นนี้… ในยุคจักรวาลนี้ ผู้ที่สามารถบุกเบิกเส้นทางเทพโลกาสวรรค์สี่ชั้นได้ ก็มีเพียงสองคนเท่านั้น ระดับความร้ายกาจของตงป๋อเสวี่ยอิงเหนือกว่าประมุขแคว้นภูเขาไม้ไผ่อยู่มากนัก เขามีอนาคตที่สดใส แต่ตอนนี้กลับมาหลับใหลนิทราอยู่ที่นี่เสียได้…
“น้องตงป๋อ เจ้าหนอเจ้า ข้าได้ยินมาว่าโดยทั่วไปผู้ที่ได้เข้าไปในจักรวาลอื่นล้วนแต่ได้อะไรมาบ้าง ทุกคนล้วนระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใดเผชิญกับอุปสรรคใหญ่หลวงถึงเพียงนี้มาก่อน” ผู้เคารพหั่วเฉิงหันศีรษะไปด้านข้างแล้วยกไหสุรากรอกลงไปในปาก เขาดื่มลงไปอึกหนึ่งแล้วจึงพึมพำว่า “เจ้าฟื้นให้เร็วสักหน่อยเถิด ไม่รู้เลยว่าสงครามกับลัทธิจอมมารดาจะปะทุขึ้นเมื่อใด หรือว่าเจ้าคิดจะหลับใหลไปตลอดทั้งช่วงเวลาสงครามเลยเล่า ถ้าหากเจ้าทำเช่นนี้จริง พอฟื้นขึ้นมา สงครามสิ้นสุดแล้ว เกรงว่าบรรดาผู้เคารพของจักรวาลผู้บำเพ็ญของพวกเราคงจะเคารพเจ้ากันหมด ตอนนั้นพวกเรากับเหล่าผู้เคารพของลัทธิจอมมารดาต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง ต่อให้พวกเรามิได้ร่วมรบในสงครามครั้งสุดท้าย แต่การหลับใหลไปตลอดก็ดูจะไม่สนใจสงครามเกินไปหน่อยแล้วกระมัง”
ผู้เคารพหั่วเฉิงพูดไปเรื่อยเปื่อย
ตอนนั้นเขาถูกกักขังอยู่ในช่วงเวลาอันไร้ที่สิ้นสุดของคูหาสวรรค์ทำลายล้าง จึงมีความคุ้นเคยกับการพูดคนเดียวเสียแล้ว
อวี๋จิ้งชิวนั่งฟังอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ
ทันใดนั้น…
สีหน้าของพวกเขาทั้งสองล้วนแปรเปลี่ยน ผู้เคารพหั่วเฉิงพูดไปครึ่งหนึ่งก็หยุดลง
“สงครามเริ่มขึ้นแล้วหรือ” อวี๋จิ้งชิวตกตะลึงอยู่บ้าง
“เริ่มแล้ว!” ผู้เคารพหั่วเฉิงพูดอย่างเคร่งเครียด
พวกเขาต่างก็ได้รับแจ้งว่าให้อพยพไปที่โบราณสถานเกาะใจกลางทะเลสาบให้หมด! ผางอีคือแม่ทัพของกองทัพทำลายล้างแห่งเกาะใจกลางทะเลสาบ สามารถพาทุกคนเคลื่อนย้ายเข้าไปภายในเกาะใจกลางทะเลสาบได้ ไม่จำเป็นต้องบินผ่านผืนน้ำรอบนอกของเกาะใจกลางทะเลสาบอันกว้างใหญ่ไพศาลไปอย่างช้าๆ
ทั้งอวี๋จิ้งชิว ตงป๋ออวี้ และตงป๋อชิงเหยาล้วนได้รับการแจ้งข่าว…
……
ทั่วทั้งโลกเทพหุบเหวลึกต่างก็เริ่มต้นการอพยพใหญ่อย่างรวดเร็ว ที่โบราณสถานเกาะใจกลางทะเลสาบก็ปลอดภัยยิ่งนักด้วยมีผางอีคอยช่วยเหลือ ส่วนคูหาสวรรค์สมบัติล้ำค่าที่ให้ทุกคนพักอาศัยกันชั่วคราวนั้นก็เป็นจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตมอบให้!
ผู้คนจำนวนมากมายมหาศาลเข้าร่วมในการอพยพ
สำคัญมากก็อพยพก่อน ส่วนที่เหลือก็ค่อยๆ อพยพตามกันไป
สงครามระหว่างเหล่าผู้ปกครองกับลัทธิจอมมารดาก็ปะทุขึ้นเช่นกัน! ภูมิหลังที่สั่งสมมาของกลุ่มชาติพันธุ์จักรวาลอันยิ่งใหญ่ทั้งสองล้วนแสดงออกมาในชั่วขณะนี้ พวกเขาต่างก็ไม่มีทางให้ถอยกลับอีกแล้ว
******
หลังจากที่สงครามปะทุขึ้นแล้ว จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตที่แต่ก่อนมาดูตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่บ่อยๆ ก็ย่อมไม่มีเวลามาหาอีกต่อไปแล้ว
โลกเทพและหุบเหวลึกถูกทำลายจนย่อยยับไปนานแล้ว…
ส่วนโลกวัตถุยังปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง
บนเกาะธุลีแดงแห่งโลกภูผาศิลาแดงยังคงเงียบสงบยิ่งนัก ถึงแม้ว่าโลกภายนอกจะสู้กันรุนแรงยิ่งกว่านี้ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อที่นี่เลยแม้แต่น้อย
“สู้กันอย่างบ้าคลั่งเกินไปแล้ว ได้ยินว่ามีแดนดาราแห่งหนึ่งที่กลายเป็นดินแดนว่างเปล่าไปเสียเกือบครึ่งแล้ว เฮ้อ โลกเทพหุบเหวลึกมีวิญญาณมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน จะสามารถอพยพเข้ามาในโบราณสถานเกาะใจกลางทะเลสาบได้สักเท่าใดกันเชียว” สองพี่น้องตงป๋อชิงเหยาและตงป๋ออวี้พูดไปพลางทอดถอนใจไปพลาง ถอนใจให้กับชีวิตมากมายที่ตายตกตามกันไป สิ่งมีชีวิตของโลกวัตถุยังนับว่าปลอดภัย แต่โลกเทพหุบเหวลึกนั้นประสบภัยอย่างแท้จริง
ทั้งสองฝ่ายต่างสู้กันอย่างสุดชีวิต เหล่าผู้ปกครองต่างสู้กันอย่างไม่เสียดายชีวิต จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเคยรบจนตัวตายมิใช่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น เขาจงใจสร้างสถานการณ์ขึ้นมา แม้กระทั่งอาศัยความตายของตนเองมาซุ่มโจมตีลัทธิจอมมารดา
การจะยุแหย่ลัทธิจอมมารดานั้นก็มิใช่เรื่องง่ายเลย จักรวาลของพวกเขามาถึงจุดล่มสลายแล้ว เห็นได้ชัดว่าได้ประสบมามากมายหลายยุค สมบัติล้ำค่าที่เหลือทิ้งเอาไว้นั้นมีมากยิ่งกว่ามาก! คราวนี้พวกเขาก็มิได้รักษาเอาไว้เลยแม้แต่น้อย
“อะไรนะ!”
“ที่แท้แล้วผู้ปกครองคลุ้งคาวเลือดหนีหลัวเป็นคนทรยศอย่างนั้นหรือ”
“สวรรค์ นี่…นี่มัน…”
การข่าวของตงป๋อชิงเหยาและตงป๋ออวี้ผู้เป็นบุตรของตงป๋อเสวี่ยอิงย่อมดีกว่าผู้อื่น พวกเขาก็เข้าใจในข่าวสงครามทั้งหลาย แต่เมื่อได้ยินว่าแท้จริงแล้วผู้ปกครองคลุ้งคาวเลือดหนีหลัวเป็นคนทรยศ ก็ถึงกับตกตะลึงไปเสียแล้ว
……
ข่าวคราวลอยมาข่าวแล้วข่าวเล่า
ตงป๋ออวี้ ตงป๋อชิงเหยาและอวี๋จิ้งชิวต่างก็ได้รับทราบข่าวคราวอยู่ตลอด แต่ญาติสนิทคนสำคัญที่สุดของพวกเขาอย่าง ‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’ กลับยังหลับใหลอยู่บนเตียงเช่นเดิม
******
ณ ชั้นในของบรรพคีรีมารแห่งจักรวาลคีรีมาร
บริเวณด้านในของคูหาหนึ่งในเก้าแห่งที่ล่องลอยอยู่ ประตูคูหาปิดสนิท
ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ดำเอนกายอยู่บนเตียงหิน มีลำแสงหลากสีสายแล้วสายเล่าห่อหุ้มอยู่รอบร่างกายเขา หุ่นเชิดสาวนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ ห่างออกไปไม่ไกล รอคอยอย่างเงียบงัน
“เหนื่อยเหลือเกิน”
“ต้องต่อสู้ ต้องบำเพ็ญอยู่ตลอด เมื่อใดจึงจะถึงจุดสิ้นสุดเสียทีเล่า”
“เหนื่อยเกินไปแล้ว”
“ข้าก็เป็นผู้ปกครองแล้ว เหตุใดจึงยังไม่ถึงจุดสิ้นสุดเสียที ยังต้องบำเพ็ญ ยังต้องต่อสู้อยู่อีกหรือ”
“ข้าทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว”
“เหนื่อยเกินไปแล้ว”
สติรับรู้ของคนที่หลับใหลมาเนิ่นนานผู้หนึ่งช่างอิดโรยโดยแท้ อิดโรยอย่างที่สุด เขาผละจากโลกแห่งความฝัน ซึ่งการผละออกอย่างรุนแรงนี้ทำให้สติรับรู้ของเขาค่อยๆไกลห่างออกมาจากอีกโลกหนึ่ง
สติรับรู้ของเขาค่อยๆ ตื่นขึ้น คล้ายกับค่อยๆ ป่ายปีนขึ้นมาจากหุบเหวลึกอันดำมืด ความทรงจำที่เดิมทีมืดบอดก็เริ่มพรั่งพรูขึ้นมาในดวงวิญญาณ
ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ดำที่หลับสนิทอยู่บนเตียงหินค่อยๆ ลืมตาขึ้น สายตาของเขาสับสนอยู่บ้าง คล้ายว่าพอฟื้นขึ้นมาแล้วช่วงเวลาวัยเยาว์ของเขามีช่วงเวลาหนึ่งที่สูญเสียความทรงจำไป ลืมไปว่าตนเองเป็นใคร แต่ความทรงจำที่เขาประสบมาในห้วงความฝันกับความทรงจำในโลกแห่งความจริงเริ่มหลอมรวมเข้าด้วยกัน เขาก็ค่อยๆ ตื่นเต็มตาไปพร้อมๆ กับการหลอมรวมของความทรงจำ
“ข้า… คือตงป๋อเสวี่ยอิง” ตงป๋อเสวี่ยอิงตื่นเต็มตาแล้วจริงๆ
เขานึกขึ้นมาได้แล้ว
ตนเอาชนะผู้เคารพ ไล่ล่าจนมาถึงชั้นในของบรรพคีรีมาร เดิมทีกำลังบินเหินมาทางคูหาของตน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงอันไพเราะ พร้อมๆ กับที่ตื่นขึ้นมา…
เข้ามายังโลกแห่งความฝันอย่างนั้นหรือ
“ยินดีด้วยนายท่าน ขอแสดงความยินดีด้วย หกร้อยห้าสิบล้านปี นายท่านบำเพ็ญในห้วงความฝันเป็นครั้งแรกก็เป็นที่หนึ่งในบรรดาผู้เคารพของยุคจักรวาลนี้ นับรวมผู้ปกครอง นายท่านก็จัดเป็นลำดับที่สาม” หุ่นเชิดสาวยืนขึ้นพลางเอ่ยด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจและตื่นเต้น
……
ภายในโลกคูหาสวรรค์สมบัติล้ำค่าที่ซ่อนเร้นอยู่ในดาวเคราะห์อันแห้งแล้งดวงหนึ่งในจักรวาลคีรีมาร ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์แดงที่หลับใหลอยู่บนพื้นหญ้า ภายใต้การดูแลของวิญญาณอาวุธ บนร่างก็ไม่มีฝุ่นธุลีจับอยู่เลยแม้แต่น้อย ในขณะนี้เขาก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ
……
ณ โลกเผ่าเซี่ย บนเกาะธุลีแดงแห่งโลกภูผาศิลาแดง
ภายในเรือน
อวี๋จิ้งชิวนั่งอยู่บนเก้าอี้ พลิกหนังสือดูอยู่ตามลำพัง พลางเหลือบมองตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ข้างๆ เป็นครั้งคราว
บริเวณโดยรอบเงียบสงบยิ่ง ในฐานะที่อวี๋จิ้งชิวเป็นเทพโลกาสวรรค์สี่ชั้นซึ่งสามารถเทียบเคียงได้กับสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ มีความไวในการรับสัมผัสต่อสิ่งรอบข้างเป็นอย่างยิ่ง นางถือตำราเอาไว้ในมือข้างหนึ่ง ทันใดนั้นในใจก็เกิดความรู้สึกไม่อยากเชื่อขึ้นจนต้องหันหน้าไปมอง เห็นเพียงขนตาที่อยู่บนดวงตาที่ปิดสนิททั้งคู่ของตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ขาวที่เอนกายอยู่บนเตียงด้านข้างสั่นไหวน้อยๆ
“เสวี่ยอิง” อวี๋จิ้งชิววางตำราลงแล้วมองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความตื่นเต้นระคนยินดี
ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ขาวที่เอนกายอยู่ที่นั่นค่อยๆ ลืมตาทั้งสองขึ้นช้าๆ แววตายังสับสนอยู่บ้าง
“เสวี่ยอิง เสวี่ยอิง…” อวี๋จิ้งชิวตะโกนขึ้นด้วยน้ำตาคลอเบ้า
แววตาของตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ขาวค่อยๆกระจ่างขึ้น เขามองหยาดน้ำตาในดวงตาของภรรยาแล้วยื่นมือออกมาช่วยภรรยาปาดน้ำตาเบาๆ “จิ้งชิว คราวนี้ข้าหลับใหลไปนานเหลือเกิน ทำให้เจ้าต้องกังวลใจแล้ว”
“ไม่เป็นไรหรอก” อวี๋จิ้งชิวทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะไปพร้อมกัน
“ใช่แล้ว สงครามกับลัทธิจอมมารดาคงยังไม่เริ่มกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ขาวเอ่ยถาม