Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 7
“สามสิบล้านปีแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ ณ ยอดเขาสูงแห่งหนึ่งพลางเหลือบมองลงไปยังโลกคูหาสวรรค์อันกว้างใหญ่แห่งนี้
ภายในโลกคูหาสวรรค์แห่งนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงตั้งใจเลือกสรรมา เพราะอานุภาพจากการฝึกฝนวิชาลับผู้ท่องของเขายิ่งใหญ่เกินไป หากมีรังสีแผ่ออกไปแม้เพียงสายเดียว สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนก็ต้องสูญพันธุ์ไป ทว่าหลังผ่านการฝึกฝนสามสิบล้านปี บัดนี้ก็สามารถควบคุมการฝึก วิชาลับผู้ท่องได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว และไม่ทำให้พลังของอากาศอันสับสนอลหม่านที่ปกคลุมลงมาแผ่รังสีไปรอบด้านอีกด้วย
“บัดนี้พลังของข้าเหนือกว่าผู้รักษากฎทิพย์ทั้งสามและจักรพรรดิผลาญเอกาในตอนนั้นไปมากโขแล้ว เมื่อถึงสงครามครั้งสุดท้ายระหว่างจักรวาลผู้บำเพ็ญและลัทธิจอมมารดา ข้าก็คงจะไม่ถึงกับเป็นตัวถ่วงกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ
สามสิบล้านปี นานเกินไปแล้ว
ก่อนจะมายังจักรวาลคีรีมาร เขาก็เพิ่งจะบำเพ็ญมาเป็นระยะเวลาเพียงสิบกว่าล้านปีเท่านั้น ก็มีผลสำเร็จเช่นนี้แล้ว
บัดนี้ผ่านไปสามสิบล้านปี ด้วยการรับรู้ของเขา ค่ายกลอันว่างเปล่าของน้ำเต้าสีดำที่รับรู้ไม่เพียงทำให้ ‘วิถีโลกเทียม’ ในตอนนี้บรรลุถึงขีดจำกัดขั้นสุดแล้วเท่านั้น แม้แต่การรับรู้อากาศอันสับสนอลหม่านก็ยังสูงส่งลึกล้ำมากขึ้นด้วย และผลักดันให้วิชาลับผู้ท่องไปถึงชั้นที่หก มีแต่ต้องบรรลุถึงระดับนี้อย่างแท้จริงเท่านั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงได้เข้าใจว่า…เหตุใดทางสายผู้ท่องอากาศจึงได้เลือกผู้สืบทอดอย่างรอบคอบเช่นนี้!
มีเงื่อนไขเรื่องการประสานจิต ด้วยกลัวว่าจะถ่ายทอดให้ผิดคน! อันที่จริงก็เพราะนี่คือระบบการบำเพ็ญที่เย้ยฟ้าอย่างยิ่งโดยแท้จริง เป็นระบบที่สามารถเผยแพร่ไปได้กว้างกว่าระบบทั้งสิบแปดชนิดซึ่งบันทึกเอาไว้ในแก้วผลึกที่ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวมอบให้เสียอีก ตอนที่อยู่ใน ‘ขั้นผู้เคารพ’ พลังก็มีข้อได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัดมากแล้ว
ในภายหน้า…
หากบำเพ็ญจนถึงระดับขั้นอย่างบรรพชนเทียนอวี๋หรือจอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบแล้ว ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์อาจจะสามารถเทียบกับทางสายผู้ท่องอากาศได้
แต่ทว่าในช่วงแรก อย่างน้อยก็ในตอนที่ยังอยู่ในขั้นผู้เคารพนั้น ระบบผู้ท่องอากาศกลับกดดันระบบอื่นๆ
“สามารถเข้ามาในจักรวาลคีรีมารได้ และมีข้อได้เปรียบเรื่องการเคลื่อนของเวลาสามพันกว่าเท่า ช่างเป็นโชคดีของข้าจริงๆ! ก่อนหน้าสงครามใหญ่ครั้งสุดท้าย ข้าต้องคว้าโอกาสนี้เอาไว้ให้มั่น แล้วพยายามยกระดับของตนอย่างเต็มที่” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าตนแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แต่นี่ยังมิใช่จุดสิ้นสุด พลังของเขาในขั้นผู้เคารพยังมีช่องว่างให้ยกระดับขึ้นไปได้อีก
“ตู้มมมม…”
ทันใดนั้น นอกสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ก็เกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นมา
ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้ามองด้วยความสงสัย “เกิดเรื่องอันใดขึ้นน่ะ”
“องครักษ์ทั้งหลาย เร่งอารักขาท่านชายเร็วเข้า!” สารหนึ่งส่งตรงมาอย่างรวดเร็วด้วยความร้อนรน เห็นได้ชัดว่ามันถูกส่งให้องครักษ์ทั้งหมด ในฐานะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นผู้แกร่งกล้าจากจักรวาลอื่นจึงไม่มีเหตุปัจจัย ดังนั้นจึงพกวัตถุส่งสารเอาไว้
“อารักขาท่านชายหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งเฮือก
สวบ!
ตงป๋อเสวี่ยอิงหายวับไปในโลกคูหาสวรรค์
******
ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวรีบกลับไปยังวังเหนือผิวดินของตนด้วยความตื่นเต้นเหลือประมาณ ก่อนจะกำชับองครักษ์ข้างกายว่า “ข้าจะเก็บตัวเพื่อฝึกฝน ผู้ใดก็ห้ามรบกวนข้าโดยเด็ดขาด”
“ขอรับ”
องครักษ์สี่คนขานรับโดยพร้อมเพรียงกัน
เจียวอวิ๋นหลิวเพิ่งจะพุ่งเข้าไปในโถงตำหนักลับของตนเพียงลำพัง ประตูตำหนักก็ปิดตาย มือของเขาหยิบขวดสีทองนั้นออกมา เขายังมิทันได้นำผลวิเศษมารดำออกมาจากในนั้น
ทันใดนั้น…
คลื่นระลอกหนึ่งก็แพร่ออกมา
เจียวอวิ๋นหลิวสีหน้าเปลี่ยนแปรไปในทันใด เนื่องจากค่ายกลที่ใจกลางของดวงดาราดวงนี้มีเขาเป็นผู้ควบคุมด้วยตนเอง ดังนั้นเขาจึงสัมผัสได้ในทันทีว่ามีศัตรูบุกรุกเข้ามา
สวบ
เขารีบพุ่งออกไป เพิ่งจะพ้นหน้าประตูตำหนักแห่งนี้ของตน ก็เห็นว่ากลางอากาศมีเงาร่างกลุ่มหนึ่งยืนอยู่กลางอากาศ นำโดยบุรุษสวมเกราะสีทองผู้หนึ่ง เขาก็มีเกล็ดสีแดงชาดและ บริเวณหว่างคิ้วก็มีแผ่นเกล็ดสีแดงเข้มอยู่แผ่นหนึ่งเช่นเดียวกัน แม้แต่รูปร่างลักษณะก็ค่อนข้างคล้ายคลึงกันกับเจียวอวิ๋นหลิว เพียงแต่แววตาเยือกเย็นกว่า
“พี่ใหญ่รึ” สีหน้าของเจียวอวิ๋นหลิวคล้ำเขียวขึ้นมาทันที
“น้องชายที่น่าสงสารของข้า พี่ชายมาหาแล้ว” บุรุษเกราะทองหัวเราะคิกคัก “โชคของเจ้าช่างไม่เลวเลยจริงๆ ได้พบต้นผลวิเศษมารดำเข้าต้นหนึ่งด้วย จุ๊ๆๆ ในเมื่อตอนนี้สุกงอมดีแล้ว เช่นนั้นก็มอบให้พี่ชายอย่างข้าเสียเถอะ”
สายตาของเจียวอวิ๋นหลิวกวาดผ่านองครักษ์สี่คนรอบกายทันที เขาไม่มีความสุภาพอ่อนโยนเช่นยามปกติอีกต่อไป กลับกลายเป็นคลุ้มคลั่งขึ้นมา เขามององครักษ์สี่คนรอบกายแล้วพูดลอดไรฟันว่า “พวกเจ้าคนไหนหักหลังข้าหา”
องครักษ์สี่คนนี้
มีองครักษ์สองคนที่พบต้นผลวิเศษมารดำในตอนแรก และมีอีกสองคนที่เป็นองครักษ์ข้างกายที่เขาไว้เนื้อเชื่อใจมากที่สุด
แต่ว่า…
บัดนี้ความแตกแล้ว ตัวเขาเองก็ไม่มีทางเปิดเผยออกไปได้ เช่นนั้นก็เป็นไปได้แค่หนึ่งในสี่องครักษ์ที่รู้จักต้นผลวิเศษมารดำเท่านั้น
“มิใช่พวกเรานะขอรับ”
“ตอนนั้นที่พวกเราพบต้นผลวิเศษมารดำก็เรียนท่านชายให้ทราบทันที หากพวกเราทรยศ พวกเราไม่จำเป็นต้องบอกท่านชายก็ได้นี่ขอรับ” องครักษ์สองคนพูดขึ้นอย่างร้อนรน
“น้องชายที่ไร้ความสามารถของข้าเอ๋ย ถึงตอนนี้แล้วเจ้ายังเดาไม่ถูกอีกหรือ ฉาอวิ๋นหนง ภารกิจของเจ้าลุล่วงแล้ว! ไม่จำเป็นต้องอยู่ข้างกายน้องชายข้าอีกแล้วล่ะ” บุรุษเกราะทองยิ้มหยัน ทันใดนั้นองครักษ์เกราะสีเทาร่างสูงคนหนึ่งก็บินขึ้นมาเสียงดังสวบ ก่อนจะบินตรงมาอยู่ข้างกายของบุรุษเกราะทองและผู้แกร่งกล้ากลุ่มหนึ่งแล้วพูดด้วยความเคารพว่า “อันที่จริงเขามิได้สงสัยข้าเลย จะปล่อยให้ข้าอยู่ข้างกายเขาต่อไปก็ได้”
“ฉา…”
ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวมองไปทางองครักษ์เกราะสีเทาร่างสูงอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา “เจ้า เจ้าทรยศข้าหรือนี่ ทำไม ทำไมกัน”
ในบรรดาองครักษ์ทั้งหมด ผู้ที่เขาเชื่อใจมากที่สุดก็คือฉาอวิ๋นหนง
ภรรยาของเขาเป็นน้องสาวแท้ๆ ของฉาอวิ๋นหนง! ดังนั้นสำหรับฉาอวิ๋นหนงแล้ว…ท่านชายสามจึงโปรดปรานมากเป็นพิเศษ ฉาอวิ๋นหนงน่าจะเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติต่ำต้อยที่สุดคนหนึ่งในบรรดาองครักษ์ของเขาแล้ว หากมิได้เขาคอยช่วยเหลืออย่างสุดกำลัง ฉาอวิ๋นหนงก็คงไม่มีทางมีพลังเช่นวันนี้แน่
“โง่เง่า” องครักษ์เกราะสีเทาร่างสูงหัวเราะเย้ยหยัน คร้านจะพูดให้มากความอีกต่อไป
“น้องชาย ทำไมรึ เจ้ายังคิดจะดิ้นรนอีกหรือ” บุรุษเกราะทองพูดยิ้มๆ
“ท่านชายสาม” ชายชราผมแดงผู้มีตาข้างเดียวที่อยู่ข้างกายบุรุษเกราะทองเอ่ยขึ้นด้วยเสียงดังกังวาน “ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนอีกแล้วล่ะ มอบผลวิเศษมารดำให้ท่านชายใหญ่เสีย! มิเช่นนั้นท่านและองครักษ์ทั้งหมดของท่านจะต้องตาย!”
ภายในจักรวาลคีรีมาร แม้จะเป็นบุตรของเทพอากาศ ก็มีการต่อสู้แย่งชิงระหว่างกัน
ขอเพียงมิได้วิญญาณแตกสลายไปอย่างแท้จริง เทพอากาศก็คงจะไม่สนใจ หากมิได้พบอุปสรรคหรือความยากลำบาก…ต่อให้สายเลือดสูงส่งกว่านี้ก็ยากนักที่จะแข็งแกร่งขึ้นมาได้ เทพอากาศถึงขั้นลอบเติมเชื้อไฟด้วยการจัดสถานการณ์ครั้งแล้วครั้งเล่าให้บุตรของตน!
“จักรพรรดิเทพมารแดง…” เจียวอวิ๋นหลิวขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
เขาและท่านชายใหญ่ต่อสู้กันมานานปีถึงเพียงนี้ เขาตกเป็นรองมาโดยตลอด ก็เพราะผู้ปกครองต่างเผ่า…จักรพรรดิเทพมารแดงผู้นี้นั่นเอง!
ผู้ปกครองคนหนึ่งช่วยเหลือพี่ใหญ่ของเขา พลังของทั้งสองฝ่ายจึงไม่สามารถเทียบกันได้เลย ดังนั้นทุกครั้งจึงต้องพบกับความยากลำบากแสนสาหัส นิสัยของพี่ใหญ่เขาเลือดเย็นและบ้าคลั่ง ทรมานเขาครั้งแล้วครั้งเล่า จักรพรรดิเจียวอวิ๋นผู้ซึ่งบำเพ็ญอยู่ ณ จุดที่ลึกที่สุดของ ‘ภูเขาบรรพชนคีรีมาร’ กลับมองดูทั้งหมดนี้อย่างเยือกเย็น โดยคร้านที่จะไปยุ่งเกี่ยว
“ส่งมาเถอะ ครั้งนี้ข้าอารมณ์ดี จะไม่แกล้งเจ้าแล้ว” นัยน์ตาของบุรุษเกราะทองแฝงแววรอคอยและบ้าคลั่งอยู่ เขาก็คิดไม่ถึงว่าน้องชายคนนี้จะสามารถค้นพบ ‘ต้นผลวิเศษมารดำ’ ได้ หากมิได้กลัวว่าน้องชายของเขาจะทำลายต้นผลไม้นั้น เขาก็คงลงมือไปตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว เขารอให้มันสุกมาโดยตลอด อีกทั้งผลวิเศษมารดำก็แข็งแกร่งหาใดเปรียบ แทบมิอาจทำลายได้เลย เขาจึงลงมืออย่างเปิดเผยซึ่งหน้า หากได้วัตถุประหลาดนี้มา เขาก็หวังว่าจะตื่นรู้และก้าวเข้าสู่ระดับผู้ปกครองได้
“เจ้าเพ้อฝันไปแล้ว” เจียวอวิ๋นหลิวพูดเสียงต่ำ
“น่าเสียดาย เจ้าคิดจะทำลายมันก็มิอาจทำได้ ในเมื่อเจ้าไม่ยอมรับปาก เช่นนั้นข้าก็ทำได้แค่ลงมือแล้ว” บุรุษเกราะทองพูดเสียงเบา “ประเดี๋ยวตอนลงมือ ไม่จำเป็นต้องไว้น้ำใจเลย ฆ่าพวกมันให้เกลี้ยงแล้วเอาผลวิเศษมารดำกลับมาให้ได้”
“ขอรับ” กลุ่มองครักษ์ใต้บังคับบัญชาพากันรับคำสั่ง
บุรุษเกราะทองมองไปทางจักรพรรดิเทพมารแดงที่อยู่ข้างกาย นี่จึงจะเป็นหลักประกันชิ้นใหญ่ที่สุดของเขา เพื่อที่จะดึงตัวผู้ปกครองท่านหนึ่งให้มาทำประโยชน์ให้เขา เขาก็ได้เสียแรงไปไม่น้อย
จักรพรรดิเทพมารแดงพยักหน้าเบาๆ
“ตู้มมม…
ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวยืนอยู่ตรงนั้น แต่วังข้างกายเขากลับมีค่ายกลวงแล้ววงเล่าปะทุออกมา ค่ายกลต่างๆ ทั่วทั้งดวงดาราถูกกระตุ้นขึ้นมา อานุภาพโหมกระหน่ำ
ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวผู้อยู่ภายใต้การคุ้มกันของค่ายกลชั้นแล้วชั้นเล่าถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วเข้าไปในวัง เขามองผ่านประตูหน้าไปยังศัตรูด้านนอกกลุ่มนั้นพลางคำรามด้วยเสียงดุดัน “เจียวอวิ๋นเถิง เจ้าอย่าคิดว่าจะได้ไปเลย ถึงข้าจะตายก็ไม่มีทางให้เจ้าได้ไปหรอก”
“ตายไม่ตายอะไรกันเล่า ก็แค่ทำลายร่างแยกของเจ้าไปร่างเดียวเท่านั้นเอง เจ้าเป็นน้องชายข้า ข้าจะกล้าปลิดชีพเจ้าจริงๆ ได้อย่างไรกัน” บุรุษเกราะทองยิ้ม “ยังมีอีกประโยคหนึ่งที่เจ้าพูดผิดไป รอจนฆ่าพวกเจ้าจนเกลี้ยง ผลวิเศษมารดำก็จะตกเป็นของข้าแล้ว เจ้าขัดขวางไม่ได้หรอก”
“องครักษ์ทั้งหลาย รีบอารักขาท่านชายเร็วเข้า” องครักษ์ประจำตัวอีกคนหนึ่งของเขาวุ่นวายใจขึ้นมา จึงรีบถ่ายเสียงอย่างร้อนรน
ฟิ้วๆๆ…
ทันใดนั้น เหล่าองครักษ์ที่กระจายตัวกันอยู่ตามคูหาต่างๆ ภายในดวงดาราก็เร่งมาจนถึงทันที ดวงดาราก็ใหญ่แค่เท่านี้ ลำพังแค่บินท่องมา แต่ละคนใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาเดียวก็มาถึงนอกวังของท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวแล้ว ในจำนวนนั้นก็มีตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งได้รับสารและเร่งตรงเข้ามาด้วย
สายตาของบุรุษเกราะทองกวาดผ่านเหล่าองครักษ์ที่กำลังเร่งเข้ามากลุ่มนั้นพลางยิ้มหยัน “พวกคนโง่เง่า ลงมือเถอะ ฆ่าพวกมันให้เกลี้ยง!”