Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 10
“เสวี่ยอิง”
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเอ่ยตักเตือน “ตอนนี้กำลังติดตั้งเสาหยวนเฉินต้นสุดท้าย แต่ยิ่งใกล้สำเร็จก็ต้องยิ่งระมัดระวังมากขึ้น ลัทธิจอมมารดามิได้ต่อสู้กับพวกเรากลับมาแค่เพียงครั้งเดียว เจ้าต้องพิทักษ์เสาหยวนเฉินสองแห่งพร้อมกันในเวลาเดียว ต้องระวังด้วยล่ะ”
“ศิษย์เข้าใจ แล้วยิ่งในเวลาเช่นนี้ ก็ยิ่งมิอาจประมาทได้เลยแม้แต่นิดเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
“คมมีดโลหิต ท่านก็วางใจเถิด ศิษย์ผู้นี้ของท่านมีพลังร้ายกาจพอตัวทีเดียว จะต้องสกัดลัทธิจอมมารดาได้อย่างง่ายดายแน่นอน” นกสีดำบนบ่าของคมมีดโลหิตร้องขึ้น
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตแย้มยิ้ม จากนั้นก็มองไปยังที่ไกลออกไปแล้วก้าวเดิน
ฟิ้ว
ข้ามผ่านระยะทางของกาลมิติไปถึงจุดที่ติดตั้งสิบสองเสาหยวนเฉินต้นสุดท้ายอย่างรวดเร็ว
ในขณะนี้เอง ตงป๋อเสวี่ยอิง ผางอี ผู้ครองชิง ผู้ปกครองนรกโลกันตร์ ประมุขหยวนชู ประมุขเกาะกาลมิติ และเจ้าแม่กานเหอ แต่ละคนล้วนมองดูอยู่ห่างๆ ต่างก็อดที่จะตื่นเต้นมิได้ ยิ่งใกล้สำเร็จก็ยิ่งทวีความตื่นเต้น เพราะพวกเขาต่างก็เกรงว่าลัทธิจอมมารดาที่ลึกล้ำยากหยั่งถึงจะมีเล่ห์กลร้ายกาจอันใดมาทำลายอีก
“ทุกท่านระวังตัวด้วย ลัทธิจอมมารดาย่อมไม่มีทางยอมรับความพ่ายแพ้โดยสมัครใจเช่นนี้อย่างแน่นอน”
“ตงป๋อเสวี่ยอิง เสาหยวนเฉินที่พวกเราคนอื่นๆ พิทักษ์เอาไว้ล้วนเคยถูกโจมตีหลายครั้งหลายครา มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่เผชิญกับการโจมตีเพียงครั้งเดียว หากลัทธิจอมมารดาลงมืออีกครั้งก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะมีเป้าหมายคือเจ้า”
“ใช่แล้ว เจ้าอยู่ที่นี่ก็ต้องระวังหน่อยล่ะ”
ทุกคนต่างก็อกสั่นขวัญแขวน
ส่วนอาจารย์ห้ากาฬปักษาที่อยู่ไกลออกไปนั้น ร่างกายของเขาก็เปลี่ยนไปมีขนาดใหญ่มหึมาหาใดเปรียบแล้ว ราวกับแผ่นดินปกคลุมอยู่บนท้องฟ้าเหนือจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ร่างแยกทั้งสองของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเริ่มต้นติดตั้งเสาหยวนเฉินต้นสุดท้ายด้วยพละกำลังทั้งหมด
“มาแล้ว!”
“ลัทธิจอมมารดามาแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพบเห็นเป็นคนแรกสุด ส่วนเหล่าผู้ปกครองคนอื่นๆ ต่างก็พบเห็นตามๆ กันทีละคน ลัทธิจอมมารดาปรากฏตัวให้เห็นเป็นเรือรบโบราณลำนั้นเช่นเคย แต่ในคราวนี้พื้นผิวของเรือรบโบราณกลับแผ่รังสีสีเขียวมรกตเรืองรอง คล้ายกับมีความพิเศษเหนือธรรมดา ตำแหน่งที่เรือรบปรากฏขึ้นก็คือบริเวณใกล้ๆ กับเสาหยวนเฉินที่ติดตั้งเสร็จล่าสุดต้นนั้น ซึ่งก็คือต้นที่ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์แดงพิทักษ์อยู่
“คราวก่อนตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้นมาขัดขวางซึ่งๆ หน้า พละกำลังร่างกายจะต้องแกร่งกล้าเป็นที่สุดอย่างแน่นอน โดยทั่วไปแล้วร่างกายที่แกร่งกล้าจะต้องอาศัยวัตถุภายนอกช่วยผนวกรวม! วัตถุภายนอกเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งล้ำค่าหายาก บางทีอาจมีร่างแยกเพียงร่างเดียวที่สามารถบำเพ็ญได้สำเร็จ” บรรดาเจ้าลัทธิจอมมารดาภายในเรือรบโบราณมองชายหนุ่มอาภรณ์สีแดงที่ยืนอยู่บนยอดเสาหยวนเฉินที่อยู่ไกลออกไป
อาภรณ์ของเขาปลิวไสว ในมือถือหอกยาวสีม่วงเข้มเอาไว้เล่มหนึ่ง เขามองดูเรือรบลัทธิจอมมารดาที่บินเข้ามาด้วยสายตาเยียบเย็น
การคาดการณ์ของลัทธิจอมมารดาช่างมีเหตุผล
ระบบอย่างลัทธิจอมมารดาต้องการทรัพยากรมหาศาล มิฉะนั้นต่อให้ถึงระดับขั้นแล้วก็ยังมิอาจบรรลุได้ เหมือนกับ ‘ร่างแท้หมื่นมาร’ ม้วนแรกเริ่มที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเคยบำเพ็ญ ตอนนั้นเพื่อให้บำเพ็ญสำเร็จภายในระยะเวลาอันสั้นก็สิ้นเปลืองสมบัติล้ำค่าไปมหาศาล เพราะร่างกายแปรเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งโดยฉับพลัน เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องมีวัตถุภายนอกมาเป็นรากฐาน
เพราะลำพังแค่การดูดซับพลังฟ้าดินนั้นเนิ่นช้าเกินไป โดยทั่วไปล้วนต้องอาศัยวัตถุภายนอกที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง
แม้ว่าการคาดการณ์ของลัทธิจอมมารดาจะมีเหตุผลแต่กลับผิด!
ตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญวิชาลับผู้ท่องเป็นพลังภายนอก แต่อาศัยพลังของอากาศอันสับสนอลหม่าน! พลังของอากาศอันสับสนอลหม่านนั้นหายากเป็นที่สุด ถึงอย่างไรระดับขั้นเทพอากาศโดยทั่วไปเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าไปในอากาศอันสับสนอลหม่านได้ อีกทั้งการใช้พละกำลังอันน่าหวั่นกลัวเหล่านี้ยังยากเย็นยิ่ง จะว่ามากก็มาก…สุดท้ายแล้วอากาศอันสับสนอลหม่านก็ไร้ที่สิ้นสุด ภายในมีจักรวาลอยู่ด้วย พลังของอากาศอันสับสนอลหม่านจึงยิ่งใหญ่กว่าพลังฟ้าดินมากมายมหาศาลนัก
ดังนั้นสำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว ร่างจริงและร่างแยกทั้งสองต่างก็บำเพ็ญวิชาลับผู้ท่องไปถึงขั้นที่สิบเอ็ดได้อย่างง่ายดายยิ่ง
โดยธรรมชาติ…
การโจมตีอีกครั้งของลัทธิจอมมารดา ก็สามารถคาดการณ์ผลลัพธ์ได้อยู่แล้ว
“อะไรกัน”
“ร่างนี้ของเขาก็แกร่งกล้าเช่นเดียวกัน”
“ย่อมเอาชนะมิได้แน่”
ถึงแม้ว่าการลงมือของลัทธิจอมมารดาในครั้งนี้จะแปลกพิกลอยู่บ้าง แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์แดงอาศัยเพียงแค่หอกยาวกับการจัดการอากาศและเขตแดนค่ายสังหาร ก็สามารถต้านทานลัทธิจอมมารดา พิทักษ์เสาหยวนเฉินแห่งนี้เอาไว้ได้โดยสมบูรณ์แล้ว
เวลาผ่านไปวินาทีแล้ววินาทีเล่า
ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์แดงต่อกรกับลัทธิจอมมารดาอย่างสุดกำลัง มิกล้าไขว้เขวเลยแม้แต่น้อย แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ขาวและเจ้าแม่กานเหอที่อยู่ข้างๆ กลับให้ความสนใจกับทางด้านจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต เช่นเดียวกับผู้ครองชิง ประมุขหยวนชู ผางอี และประมุขเกาะกาลมิติ พวกเขาแต่ละคนต่างก็มองดูอยู่ห่างๆ ด้วยความตื่นเต้น
“ใกล้แล้ว”
“อีกนิดเดียว นิดเดียวเท่านั้น…”
พวกเขาทุกคนต่างก็มองดูจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตติดตั้งเสาหยวนเฉินต้นสุดท้ายนั้นอย่างตื่นเต้น
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเองก็ทุ่มเทสุดกำลัง นกสีดำขนาดมหึมาสอดส่ายสายตาเย็นชาไปรอบทิศทางอย่างระแวดระวังตลอดเวลา ใครๆ ก็รู้ว่าถึงช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดแล้ว
“พรึ่บ”
ยามที่สายโซ่ทั้งหมดบนพื้นผิวของเสาหยวนเฉินต้นนั้นเจาะทะลุแหวกอากาศ รัศมีเทพจำนวนนับไม่ถ้วนก็เริ่มหลั่งไหล
“ตึง” เสาหยวนเฉินต้นมหึมานั้นส่งเสียงคำรามออกมาเสียงหนึ่ง ค่ายกลจำนวนมากมายทั้งหมดต่างก็เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน เสาหยวนเฉินแห่งนี้สร้างให้เกิดการผนวกรวมกันอย่างสมบูรณ์แบบในที่สุด
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ในชั่วขณะที่จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตติดตั้งได้สำเร็จนั้นเอง เขาก็เผยยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เขาเองก็มิได้รู้ตัวเลยว่าริมฝีปากของตนนั้นคลี่ยิ้มกว้างสักเพียงใด
“ติดตั้งสำเร็จแล้ว!”
“สำเร็จแล้ว”
“ในที่สุดก็ติดตั้งสิบสองเสาหยวนเฉินได้สำเร็จแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิง เจ้าแม่กานเหอ ผางอี ประมุขเกาะกาลมิติ และเหล่าผู้ปกครองแต่ละคนที่ชมดูอยู่ห่างๆ ต่างก็ตื่นเต้นยินดี ก่อนหน้านี้แม้จะรู้สึกได้ว่าเข้าใกล้ความสำเร็จแล้ว แต่มีเพียงชั่วขณะที่ติดตั้งเสาหยวนเฉินได้สำเร็จจริงๆ แล้วเท่านั้น พวกเขาจึงจะผ่อนคลายใจลงได้
และเรือรบโบราณลำนั้นก็ยอมแพ้ เลือกที่จะล่าถอยกลับไปแล้ว
……
เสาหยวนเฉินสิบสองต้น ล้อมรอบที่มั่นของลัทธิจอมมารดาทั้งบนล่างซ้ายขวา สี่ด้านแปดทิศ ก่อให้เกิดเป็นคุกอากาศอันไร้รูปร่างแห่งหนึ่ง
ด้านบนของเสาหยวนเฉินทุกต้นต่างก็มีผู้ปกครองของทางฝั่งผู้บำเพ็ญยืนอยู่ บนเสาหยวนเฉินต้นใหม่ล่าสุดก็มีจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตยืนอยู่บนนั้น เหล่าผู้ปกครองมากมายต่างก็มองกันไปมาพร้อมเผยรอยยิ้ม นี่คือรอยยิ้มอันเบิกบานเปี่ยมสุข
“คมมีดโลหิต เร่งสร้างค่ายกลสกัดที่มั่นของลัทธิจอมมารดาเถิด” บรรพชนหุบเหวลึกกล่าวอย่างกระตือรือร้น
“คมมีดโลหิต ลงมือได้แล้วล่ะ” เจ้าแม่กานเหอสีหน้าแดงระเรื่อ งดงามล้ำเหลือ แววตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“ท่านอาจารย์ ลงมือเถิดขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็คาดหวังเช่นกัน
เขาเข้าร่วมสงครามค่อนข้างช้า ทางฝั่งผู้บำเพ็ญถือครองความได้เปรียบกว่าอยู่แล้ว แต่พลังของเขาก็ยังช่วยเหลือทางฝั่งตน ทำให้ฝั่งตนสามารถติดตั้งสิบสองเสาหยวนเฉินได้เสร็จสิ้นเร็วขึ้น
“ได้สิ”
เหล่าผู้ปกครองคนอื่นๆ รอคอยอยู่ จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเองก็โลหิตเดือดพล่านเช่นเดียวกัน เขาเริ่มต้นควบคุมเสาหยวนเฉินทั้งหมดจากระยะไกลทันที
เคร้งๆ
ทันใดนั้นสิบสองเสาหยวนเฉินก็เริ่มต้นเชื่อมต่อกับค่ายกลจำนวนนับไม่ถ้วน ในอดีตเป็นเพราะเสาหยวนเฉินขาดแคลน ทั้งค่ายกลขนาดใหญ่พังทลาย ก็เหมือนกับกรงอันหนึ่ง กรงที่พังทลายนั้นหากศัตรูอยากจะเข้าก็ย่อมเข้าได้ อยากจะออกก็ออกได้! และตอนนี้… คุกอากาศแห่งนี้ก็สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ไม่มีช่องโหว่อันใดอีกต่อไปแล้ว
“พรึ่บๆๆ” เห็นเพียงบริเวณพื้นผิวของที่มั่นของลัทธิจอมมารดามีโซ่ปรากฏขึ้นเส้นแล้วเส้นเล่า สายโซ่อากาศต่างก็โปร่งแสง พวกมันส่งเสียงพรึ่บๆ แล้วเกี่ยวรัดบนอาคารที่มั่นของลัทธิจอมมารดา สายโซ่อากาศสายแล้วสายเล่ากระหวัดรัดเกี่ยวกัน อีกทั้งบนสายโซ่อากาศโปร่งแสงเหล่านี้ยังมีรัศมีจำนวนนับไม่ถ้วนหลั่งไหล รัศมีจำนวนนับไม่ถ้วนผนวกรวมเข้าด้วยกันห่อหุ้มทั่วทั้งที่มั่นของลัทธิจอมมารดาเอาไว้อย่างแน่นหนา ไม่เหลือช่องว่างเอาไว้เลยแม้แต่น้อย
แม้กระทั่งจากการรับสัมผัส ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิอาจสัมผัสถึงการมีอยู่ของลัทธิจอมมารดาได้เลย
“ที่มั่นของลัทธิจอมมารดาถูกผนึกสะกดเอาไว้โดยสมบูรณ์แล้ว” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเผยรอยยิ้ม “ลัทธิจอมมารดาย่อมไม่มีทางทำลายผนึกออกมาได้อีกแล้ว”
“ในที่สุดก็รอมาจนถึงวันนี้เสียที”
เหล่าผู้ปกครองแต่ละคนที่อยู่บนเสาหยวนเฉินที่กระจายตัวอยู่ทั่วทุกทิศทางล้วนเผยสีหน้าท่าทียินดี
“ก่อนหน้านี้พวกเราต่อสู้กันมาตั้งหลายครั้งถึงเพียงนั้น ทุกครั้งต่างก็เหลืออีกเพียงนิดเดียว หากแต่คราวนี้สามารถสะกดพวกเขาเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ แล้วเสียที” ผางอีเอ่ยพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ
“หรือว่าสงครามควรจะสิ้นสุดลงแล้ว” ประมุขหยวนชูพยักหน้า
“ควรสิ้นสุดได้แล้วล่ะ”
“เนิ่นนานเกินไปแล้ว หัวใจเหน็ดเหนื่อยเกินไปแล้ว หนึ่งแสนปีนี้ยังเหนื่อยยิ่งกว่าการบำเพ็ญหนึ่งล้านล้านปีเสียอีก”
เหล่าผู้ปกครองคนอื่นๆ แต่ละคนต่างพูดคุยกัน แต่ที่ยิ่งกว่าคือความสบายใจ
“ยังเป็นศิษย์น้องตงป๋อที่ผ่อนคลายที่สุด นอนหลับตื่นหนึ่งก็ถึงตอนสุดท้ายแล้ว ระยะเวลาต่อสู้สั้นที่สุดเลย” ผู้ครองชิงมองตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ห่างออกไปยิ้มๆ
“ถึงแม้ว่าระยะเวลาจะสั้น แต่หากไม่มีตงป๋ออยู่ เกรงว่าหากอยากจะเอาชนะนั้นก็ยังต้องเนิ่นช้า เสียเวลาอีกระยะหนึ่งเลยทีเดียว” ประมุขตำหนักหมื่นเทพก็เอ่ยขึ้น
“ทุกท่าน”
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเปิดปากพูด หยุดยั้งเหล่าผู้ปกครองที่กำลังยินดีปรีดาเอาไว้ เหล่าผู้ปกครองรวมทั้งตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็มองไปทางจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตจึงจะเป็นผู้นำอย่างไร้ข้อกังขา! ความสำเร็จอันน่าตื่นตะลึงใน ‘ค่ายกล’ ของเขานั่นเองที่ทำให้สามารถถือไพ่เหนือกว่าในสงครามครั้งนี้ได้ครั้งแล้วครั้งเล่า
“ตอนนี้สามารถพูดได้เพียงว่าชนะไปครึ่งหนึ่งแล้ว” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพูดพลางยิ้มน้อยๆ “ถึงแม้ว่าข้าจะมั่นใจว่าพวกเขามิอาจทำลายผนึกของสิบสองเสาหยวนเฉินได้ แต่ก็ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจยังมีท่าไม้ตายอันใดอยู่อีก อย่าเพิ่งด่วนดีใจไปเลย”