Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 13
บนเสาหยวนเฉิน
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวนั่งอยู่ตรงขอบของยอดเสา มองดูผืนฟ้าอันเวิ้งว้างที่มีดวงดาวพร่างพราย และสายโซ่ขนาดมหึมาเส้นแล้วเส้นเล่าที่อยู่เบื้องล่าง เขาแย้มยิ้มพลางหยิบไหสุราไหหนึ่งออกมาแล้วเงยหน้าดื่มลงไป
“ศิษย์น้องตงป๋อ ดื่มสุราก็ดื่มอยู่คนเดียว มา แบ่งให้ข้าลองชิมดูสักหน่อยสิ” เสียงหนึ่งก้องสะท้อนอยู่ข้างหู
ตงป๋อเสวี่ยอิงหันหน้าไปมอง ข้ามผ่านท้องฟ้าไปก็เห็นศิษย์พี่ผู้ครองชิงที่อยู่บนเสาหยวนเฉินอีกต้นที่อยู่ไกลออกไปกำลังร้องขอสุราด้วยรอยยิ้ม
“มิใช่สุราที่ดีเลิศอะไรนักหรอก แต่ข้าเองก็ชอบเหลือเกิน ให้เจ้า”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกมือคราหนึ่งแล้วหยิบสุราไหหนึ่งออกมาก่อนจะโยนไป
ฟิ้ว!
ผ่านช่องว่างของอากาศ ส่งผ่านระยะทางอันแสนยาวไกล เมื่อมาถึงเบื้องหน้าผู้ครองชิงแล้วจึงค่อยปรากฏขึ้นอีกครา
“โอ้” ผู้ครองชิงสายตาเป็นประกาย ลอบตกตะลึงที่ศิษย์น้องของตนมีความสามารถในการควบคุมอากาศได้อย่างร้ายกาจจริงๆ ต้องรู้เอาไว้ว่าวิถีสามสายที่เขา ผู้ครองชิงผู้นี้เชี่ยวชาญ มีสายหนึ่งก็คือ ‘วิถีอากาศ’
ผู้ครองชิงรับไหสุรามาแล้วก็ดื่มอึกหนึ่ง “อืม ไม่เลว แม้รสชาติจะบางเบาแต่รสที่ปลายลิ้นนั้นไร้ที่สิ้นสุด เป็นสุราชั้นเลิศทีเดียว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม พูดคุยไปพลาง ดื่มสุราไปพลางกับศิษย์พี่ผู้ครองชิงของตนอย่างสบายใจ
คืนวันที่พิทักษ์เสาหยวนเฉินนี้อันที่จริงช่างเดียวดายยิ่งนัก
เสาหยวนเฉินสิบสองต้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ต้องพิทักษ์ถึงสองต้น! สำหรับเจ้าแม่กานเหอนั้นได้จากไปนานแล้ว นางพูดเอาไว้ว่า “ข้าอยู่ที่นี่ก็ช่วยอะไรมิได้ ตงป๋อเสวี่ยอิง ที่นี่ก็ต้องลำบากเจ้าแล้ว” แล้วนางก็จากไปพร้อมด้วยรอยยิ้มในทันที
“ฟิ้วๆ”
กระแสลมที่เกิดจากการเหนี่ยวนำของค่ายกลกรรโชกพัดทั่วบริเวณ เส้นผมของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถูกลมพัดจนลอยขึ้นมา เขาเงยหน้าขึ้นมอง มีความสุขกับความเงียบสงบเช่นนี้
ทันใดนั้น…
ภายใต้ความเงียบสงบนี้ เรือบินขนาดยาวพันลี้ลำหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ มันปรากฏตัวขึ้นอย่างไร้สุ้มเสียง มองดูแล้วก็ช่างธรรมดายิ่ง เล็กกว่าเรือรบซวีมู่ของลัทธิจอมมารดามากมายนัก ความยาวพันลี้นี้… เรียกได้ว่าเล็กจนน่าสงสารเมื่ออยู่กลางท้องฟ้า สุ่มเอาดาวเคราะห์ดวงใดขึ้นมาต่างก็ใหญ่กว่ามันมากมายทั้งสิ้น
แต่บนยอดของเสาหยวนเฉินที่อยู่ใกล้มันที่สุด ประมุขหยวนชูกลับมีสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง “เรือบินอลวน!”
“คมมีดโลหิต แย่แล้ว เรือบินอลวนปรากฏขึ้นมาอย่างฉับพลัน” ประมุขหยวนชูส่งเสียงขึ้นมาในทันใด
ในขณะเดียวกันนั้นเขาก็เปิดปากพูดว่า “กู่กานหลัว เจ้ามาที่นี่ทำไมกัน”
“ก็แค่มาเที่ยวเล่นที่นี่เท่านั้น”
น้ำเสียงชั่วร้ายเสียงหนึ่งดังออกมาจากข้างในเรือบินอลวน
ที่ตามมาติดๆ ก็คือลำแสงโค้งสีม่วงสายหนึ่งซึ่งสาดออกมาจากด้านบนของเรือบินอลวน สิ่งกีดขวางที่เคลื่อนผ่านอากาศแทบจะในทันทีแล้วปะทะบนเสาหยวนเฉิน “ปัง…” เดิมทีเสาหยวนเฉินต้นนี้ทนทานหาใดเปรียบ ยากที่จะสั่นคลอนได้ แต่ในขณะนี้ ภายใต้ลำแสงโค้งสีม่วงที่ดูเหมือนจะไม่สะดุดตานี้ กลับถูกปะทะเสียจนล้มกลิ้ง ควันหลงอันไร้รูปร่างกวาดบนร่างประมุขหยวนชู ประมุขหยวนชูสีหน้าแปรเปลี่ยนในทันใด พร้อมกันกับที่ร่างของเขาเปลี่ยนแปรเป็นผุยผง กระจัดพลัดพรายไปกลางอากาศ
การโจมตีแค่เพียงครั้งเดียว
ค่ายกลเสาหยวนเฉินถูกทำลาย ร่างแยกของประมุขหยวนชูที่รับผิดชอบพิทักษ์เสานี้ก็สู้จนตาย!
“เฮอะ พวกวัสดุที่ใช้สร้างสิบสองเสาหยวนเฉิน ช่างมีพลานุภาพธรรมดานัก” ภายในเรือบินอลวน รูปสลักขนาดมหึมา ‘กู่กานหลัว’ นั้นมีรอยยิ้มเยาะอยู่บนใบหน้า
บัญชีหมื่นสรรพสิ่งนั้นมีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก
บุคคลผู้น่าเกรงขามที่สร้างบัญชีหมื่นสรรพสิ่งผู้นั้นรู้ว่าระบบของตนนี้สลับซับซ้อนยิ่ง การบำเพ็ญยากเย็น ในทางตรงกันข้าม การริเริ่มเผยแพร่บัญชีหมื่นสรรพสิ่ง หากคิดอยากได้มานั้นช่างง่ายดายนัก ดังนั้นจักรพรรดิเจียวอวิ๋นแห่งจักรวาลคีรีมารจึงยกต้นฉบับให้แก่ตงป๋อเสวี่ยอิงได้อย่างง่ายดายยิ่ง ถ้าหากล้ำค่ามากพอ เขาย่อมไม่มีทางยกให้แน่
แต่กู่กานหลัวย่อมคุ้นชินกับสิบสองเสาหยวนเฉินมากกว่า การอาศัยเรือบินอลวนในการทำลายนั้นจึงง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย
“เอาล่ะ ข้าทำลายสิบสองเสาหยวนเฉินเรียบร้อยแล้ว ถึงตาพวกเจ้าแล้วนะ” กู่กานหลัวมองลงไปยังเจ้าลัทธิซางตานที่อยู่เบื้องล่าง ตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นหากไม่ลงมือได้ ก็จะพยายามไม่ลงมือ เพื่อสมบัติล้ำค่าเหล่านั้นของลัทธิจอมมารดา เขาจึงยอมลงมือสักครั้งหนึ่ง ต่อไปหากไม่มีความจำเป็น เขาก็คร้านจะลงมืออีกต่อไปแล้ว
นัยน์ตาของเจ้าลัทธิซางตานเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและบ้าคลั่ง พลังยุทธ์ของกู่กานหลัวผู้นี้แกร่งกล้ายิ่งกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้เสียอีก!
******
ทางฝั่งลัทธิจอมมารดานี้ตื่นเต้นยินดีแทบคลั่ง
ทางฝั่งผู้บำเพ็ญทั้งตกใจทั้งโมโห
“กู่กานหลัว!” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเดือดดาลจนตาแทบถลน เขามองดูเรือบินอลวนที่อยู่ไกลออกไป
“กู่กานหลัว ข้าก็กลัวอยู่ กลัวว่าเขาจะสอดมือยุ่งเกี่ยว แล้วก็ลงมือจริงๆ เสียด้วย” ประมุขเกาะกาลมิติก็เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดขึ้น
“สมควรตาย”
“เขาถึงกับสอดมือเข้ามายุ่ง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ตกใจและโมโหเช่นกัน พลังยุทธ์ที่กู่กานหลัวสำแดงนั้นช่างน่าหวาดหวั่นเสียจริง อาศัยเรือบินอลวนก็ถึงกับทำลายสิบสองค่ายกลเสาหยวนเฉินได้ พูดถึงพลังการโจมตีก็แข็งแกร่งกว่าลัทธิจอมมารดามากมายเหลือเกิน!
ที่น่าโมโหก็คือ… ตอนนั้นกู่กานหลัวพูดเอาไว้ชัดเจนแล้วว่าเลือกประมุขวังเป่ยเสวียนทางฝั่งพวกเขา จะช่วยเหลือพวกเขา
แล้วตอนนี้เล่า บอกว่าจะแปรพักตร์ก็แปรพักตร์!
“โครม”
ค่ายกลถูกทำลาย ผนึกที่ปิดล้อมที่มั่นของลัทธิจอมมารดาก็ไม่มีอีกต่อไปแล้ว อีกทั้งภายในป้อมปราการทรงกลมที่ใหญ่โตถึงเพียงนั้นยังมีเรือรบซวีมู่อันโบร่ำโบราณลำนั้นบินออกมา ทว่า ‘เรือบินอลวน’ กลับเคลื่อนผ่านอากาศมาถึงข้างๆ เรือรบซวีมู่ ทั้งสองเคลื่อนมาเข้าใกล้กัน
“นี่คือของกำนัลส่วนแรกของพวกเรา”
“ดีมาก นี่คือค่ายกลหกแห่ง ยกให้พวกเจ้าเอาไปใช้งานชั่วคราว”
ลัทธิจอมมารดาและกู่กานหลัวตกลงแลกเปลี่ยนกันอย่างรวดเร็ว
กู่กานหลัวย่อมไม่อนุญาตให้เหล่าเจ้าลัทธิคนอื่นๆ ของลัทธิจอมมารดาเข้ามา ‘เจ้าลัทธิซางตาน’ ผู้นั้นให้สัตย์สาบานกับเขาเอาไว้ว่าจะเป็นข้ารับใช้ของเขา เขาจึงวางใจเป็นอย่างยิ่ง แต่กับเหล่าเจ้าลัทธิคนอื่นๆ ของลัทธิจอมมารดานั้น เขาไม่มีทางวางใจได้เลย
……
“ฟิ้ว” “ฟิ้ว”
เรือรบซวีมู่ของลัทธิจอมมารดาเคลื่อนผ่านท้องฟ้าจากไปอย่างรวดเร็ว ส่วนเรือบินอลวนก็จากไปตามๆกัน
“ตามล่า”
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ตงป๋อเสวี่ยอิง และผู้ครองชิง พวกเขาแต่ละคนต่างก็อาศัยการรับสัมผัสจากอากาศ ตามระลอกคลื่นไป
โดยเฉพาะตงป๋อเสวี่ยอิงที่มีความเฉียบแหลมในการควบคุมอากาศอย่างที่สุด ตอนนี้เขาเกือบจะสามารถรับสัมผัสมิติใดๆ ก็ได้ทั่วทั้งจักรวาล มีสถานที่จำนวนน้อยนักที่เขาไม่สามารถรับสัมผัสได้ อย่างเช่นชั้นในสุดของโบราณสถานเกาะใจกลางทะเลสาบ! หรืออย่างเช่นสถานที่แรกเริ่มนั้นก็มิใช่สถานที่ที่เขาจะสามารถรับสัมผัสได้เลยจริงๆ
“มีกู่กานหลัวคอยช่วยเหลือพวกเรา พวกเราจะต้องติดตั้งแท่นบูชาจอมมารดาได้อย่างรวดเร็วแน่” เหล่าเจ้าลัทธิจอมมารดาต่างก็ลงมือกันอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เคลื่อนที่ผ่านอากาศไปถึงหนึ่งในสถานที่หกแห่งของจักรวาลแล้ว เรือรบซวีมู่ก็หยุดลง เหล่าเจ้าลัทธิบินออกมาในทันใด พอโบกมือคราหนึ่งก็มีเจดีย์สังเวยสีเทาแห่งหนึ่งปรากฏขึ้น ชายชราผอมแห้งผู้หนึ่งเริ่มต้นปลุกกระตุ้นเจดีย์สังเวยแห่งนี้โดยการสวดพึมพำเบาๆ อยู่ที่ด้านหน้าเจดีย์สังเวย
และเจ้าลัทธิอีกสองคนด้านข้างก็หยิบเอาหนึ่งในค่ายกลหกแห่งที่กู่กานหลัวมอบให้พวกเขาออกมาแล้วเริ่มต้นติดตั้ง
ฟิ้ว…
เรือบินอลวนก็ปรากฏขึ้นยังท้องฟ้าเหนือพวกเขา คุ้มกันพวกเขาเอาไว้
“เจ้าพวกโง่เง่าพวกนี้ ก็แค่ติดตั้งค่ายกลแห่งหนึ่งเท่านั้น เร็วหน่อยเถิด” กู่กานหลัวเร่งเร้า
พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ…
ณ ท้องฟ้าไกลออกไป เงาร่างสายแล้วสายเล่าปรากฏตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็คือจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ผู้ครองชิง ผางอี ผู้ปกครองนรกโลกันตร์ ตงป๋อเสวี่ยอิง และประมุขหยวนชูนั่นเอง
“พรึ่บ…” ทันใดนั้นเจดีย์สังเวยสีเทาแห่งนั้นเริ่มมีพลังอันไร้รูปร่างชนิดหนึ่งแผ่ออกมาตามแรงกระตุ้น แล้วส่งผ่านไปทั่วทั้งจักรวาลแทบจะในทันที ณ สถานที่หลายแห่งในจักรวาลต่างเริ่มมีเงารางของเจดีย์สังเวยสีเทาปรากฏขึ้น พลังอันไร้รูปร่างเริ่มส่งผลกระทบไปทั่วทั้งจักรวาล ปัง ปัง ปัง… จักรวาลต่างก็สั่นสะเทือน พลังฟ้าดินต่างก็เริ่มปั่นป่วนวุ่นวาย
“แท่นบูชาจอมมารดาสร้างขึ้นจากเจดีย์สังเวยหกแห่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย “นี่คือเจดีย์สังเวยแห่งแรก เมื่อทั้งแท่นบูชาถูกสร้างขึ้น ก็สามารถแผ่อิทธิพลไปทั่วทุกหนทุกแห่งในจักรวาล อาจเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงทั้งจักรวาลได้”
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตและคนอื่นๆ สีหน้าเขียวคล้ำ พวกเขาก็ได้รับระบบการบำเพ็ญลัทธิจอมมารดาที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเคยส่งมาก่อนหน้านี้ ก็เข้าใจในข้อมูลอยู่บ้าง
“ลงมือ!” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตออกคำสั่งเสียงหนึ่ง
ไม่จำเป็นต้องพูดอีกแล้วในตอนนี้
สิ่งที่กู่กานหลัวทำลงไปทั้งหมดก็แสดงชัดแล้วว่าเขายืนอยู่ข้างลัทธิจอมมารดานั้นอย่างสิ้นเชิงแล้ว