Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 18
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตร้อนใจหาใดเปรียบ เขาไม่ยอมให้บ้านเกิดของเขาถูกทำลายไปเช่นนี้เด็ดขาด
ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นเสียสติไปแล้ว เพราะหากยุคจักรวาลสิ้นสุดลง บิดามารดา บุตรภรรยาและศิษย์ของเขาก็ล้วนต้องถึงจุดจบไปพร้อมกับยุคจักรวาลด้วย เขายอมให้ตนเองตาย ก็ดีกว่าให้บรรดาญาติมิตรต้องตายจากไป หากโลกใบนี้เหลือแค่เขาจนต้องโดดเดี่ยวเดียวดาย ต่อให้บำเพ็ญได้เก่งกาจกว่านี้แล้วจะมีความหมายอันใดกันเล่า
“ไม่…” ตงป๋อเสวี่ยอิงโกรธแค้นและบ้าคลั่ง ดวงตาแทบถลนออกมานอกเบ้า
ยามนี้ประมุขหยวนชู ผางอี ผู้ครองชิงและคนอื่นๆ ล้วนมิอาจขัดขวางได้ ทำได้เพียงมองทุกสิ่งเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเท่านั้น
“ฮ่าฮ่าฮ่า ต่อให้พวกเราพ่ายแพ้สงครามและสู้จนตัวตายไป ก็ต้องให้ยุคจักรวาลนี้สิ้นสุดไปกับพวกเราด้วย” เดิมทีเหล่าเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาภายในเรือรบซวีมู่ก็สิ้นหวังอยู่แล้ว เมื่อเห็นลำแสงทั้งเก้าสาย และสัมผัสรับรู้ได้ถึงอานุภาพอันน่าหวาดหวั่นซึ่งแฝงอยู่ในนั้นก็กลับบ้าคลั่งขึ้นมา
มาเถิด มาทำลายล้างยกใหญ่สักครั้งหนึ่งเถิด แล้วทำลายล้างทุกสิ่งให้สิ้นไปเถิด
……
ณ สถานที่แรกเริ่มอันเงียบสงัด ที่นี่มีบุปผาแดงสดและพืชพรรณเขียวขจี ต้นหญ้าขยับไหวเล็กน้อยตามแรงลม
สุนัขป่าสีดำซึ่งผอมมากตัวหนึ่งกำลังหมอบอยู่บนทุ่งหญ้า ปล่อยให้ลมพัดผ่านเส้นขน หางของมันกระดอกไปมา
“ช่างไร้ประโยชน์จริงๆ เสียหน้านายท่านนัก” สุนัขป่าสีดำแค่นเสียงเฮอะคราหนึ่งก่อนจะหายวับไป
……
ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังปลดปล่อยลำแสงสีทองออกจากน้ำเต้าสีดำด้วยความร้อนรนจนแทบคลั่งนั้น จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็ทุ่มเทควบคุมค่ายกลอย่างสุดกำลัง คนอื่นๆ ต่างก็มองดูอยู่ กู่กานหลัวซึ่งอยู่ภายในเรือบินอลวนที่กำลังบินไปตามรอยแยกของผนังเยื่อจักรวาลมองไปด้านหลัง ใบหน้าเขาแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มเย็น
และในยามนี้เอง…
หัวสุนัขสีดำขนาดมหึมาหาใดเปรียบพลันปรากฏขึ้นกลางฟากฟ้านี้ มันใหญ่อย่างไร้ขอบเขต ระดับขั้นอย่างพวกตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทำได้เพียงมองเห็นหัวสุนัขสีดำนี้อย่างเลือนรางเท่านั้น หัวสุนัขสีดำขนาดมหึมานี้ราวกับอยู่ในโลกอีกระดับขั้นหนึ่ง เห็นๆ อยู่ว่ามันทับซ้อนกับผู้ปกครองคนอื่นๆ เช่นผางอีและผู้ครองชิง รวมทั้งเรือรบซวีมู่ของลัทธิจอมมารดาแล้ว แต่กลับไม่มีการปะทะเลยแม้แต่น้อย
หัวสุนัขสีดำอันใหญ่โตอ้าปากกว้างดุจแอ่งโลหิตออกมา ภายในปากของมันเต็มไปด้วยน้ำวนอันสับสนอลหม่าน ปากนั้นใหญ่เสียยิ่งกว่าใหญ่ ใหญ่เสียจนไม่เห็นขอบ…เมื่ออ้าปากก็ปกคลุมลำแสงทั้งเก้าสายซึ่งมุ่งตรงไปคนละทิศคนละทางเอาไว้ จากนั้นหัวสุนัขอันใหญ่โตก็สูดเข้าไปโดยพลัน เรือบินอลวนซึ่งบินออกไปตามรอยแยกของผนังเยื่อจักรวาลแล้วก็บินถอยกลับมาเสียงดังสวบ บินมุ่งหน้ามาทางปากของหัวสุนัขขนาดมหึมาซึ่งเต็มไปด้วยน้ำวนอันสับสนอลหม่าน
“กล้าต่อต้านข้า ก็ต้องแลกมาด้วยอะไรบ้าง” เดิมทีกู่กานหลัวซึ่งอยู่ภายในเรือบินอลวนยังคงยิ้มเย็นและเต็มไปด้วยแววอาฆาต แต่หลังจากนั้นติดๆ เขาก็ตะลึงงันไป
สุนัขป่าสีดำขนาดมหึมาตัวหนึ่งปรากฏขึ้นมา
มันใหญ่โตเกินไปแล้ว
เคราะห์ดีที่เรือบินอลวนสามารถสัมผัสรับรู้ได้เป็นวงกว้าง ดังนั้นอาศัยเรือบินอลวน กู่กานหลัวก็ยังคงรู้ว่านี่คือสุนัขป่าสีดำที่ผอมมากตัวหนึ่ง ร่างของมันใหญ่โตหาใดเทียม ลำพังแค่หางอันหนึ่งก็ทะลุไปหลายสิบแดนดาราแล้ว ความยาวของร่างกายมันแทบจะเทียบเท่ากับหนึ่งในสามของเขตแดนของตำหนักเทพคมมีดโลหิต เมื่อมันอ้าปาก ก็ครอบคลุมขอบเขตหลายแดนดาราเลยทีเดียว ในปากยังมีน้ำวนอันสับสนอลหม่านอยู่อีกด้วย ลำแสงเก้าสายพลันถูกหอบม้วนเข้าไปทันที
“เร็ว เร็ว เร็ว เร็วเข้าเถิด!!!” กู่กานหลัวคลุ้มคลั่งไปแล้ว เขาสั่นสะท้านมาจากวิญญาณเลยทีเดียว เขารู้ว่านี่คือครั้งที่อันตรายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของเขา เขาควบคุมเรือบินอลวนหมายจะหนีอย่างสุดกำลัง ทุ่มเทชีวิตโดยไม่สนใจความเจ็บปวดจนวิญญาณแทบจะฉีกขาดออก! ความเร็วของเรือบินอลวนทะยานขึ้นไปถึงขั้นสุดในทันที
เรือบินอลวนพุ่งออกจากรอยแยกของผนังเยื่อจักรวาล มาอยู่กลางอากาศอันสับสนอลหม่านด้านนอก
แต่สุนัขป่าสีดำร่างใหญ่โตซึ่งอยู่ภายในจักรวาลตัวนั้น ดวงตาอันเยียบเย็นดุจน้ำแข็งคู่หนึ่งมองออกไปยังเรือบินสีดำอันเล็กจิ๋วไกลลิบลำนี้ ปากใหญ่มหึมาเพียงแค่สูดลมเข้าไปคราหนึ่ง ฟิ้ว…แรงดูดกลืนอันน่าหวาดหวั่นระลอกหนึ่งก็ส่งผลต่อเรือบินอลวนทันที พละกำลังนี้ใหญ่หลวงเกินไปแล้ว เรือบินอลวนบินถอยกลับไปเสียงดัง ‘สวบ’ ทันทีด้วยความเร็วสูง ก่อนจะลอยเข้าไปกลางน้ำวนอันสับสนอลหม่านในปากสุนัขทันใด
“ไม่…” เมื่อเห็นเรือบินอลวนลอยเข้าไป นัยน์ตาของกู่กานหลัวก็เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง “ไยจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ เป็นไปได้อย่างไรกัน!”
หลังจากถูกสุนัขป่าสีดำดูดกลืนเข้าไปแล้ว
จากนั้นระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นก็เข้าล้อมรอบเรือบินอลวนแล้วแทรกซึมเข้ามา ร่างกายที่กู่กานหลัวซุกซ่อนเอาไว้อย่างดีก็ถูกลูกหลงของระลอกคลื่นนี้เข้าไปด้วย เขารู้สึกสั่นสะท้านไปถึงวิญญาณ ก่อนจะสูญสิ้นสติรับรู้ไป แม้แต่เจ้าลัทธิซางตานและประมุขวังเป่ยเสวียนซึ่งอยู่ภายในเรือบินอลวนก็ล้วนสิ้นสติไปด้วยเช่นกัน
******
ตงป๋อเสวี่ยอิง จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ผู้ครองชิงและประมุขเกาะกาลมิติต่างก็มองฉากตรงหน้าด้วยความตกตะลึง
บรรดาเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาซึ่งอยู่ภายในเรือรบซวีมู่ก็มองฉากนี้อย่างตะลึงงันเช่นเดียวกัน
“ฟิ้ว”
สุนัขป่าสีดำซึ่งเดิมใหญ่โตอย่างไร้ขอบเขตนั้นก็พลันหดเล็กลงเหลือเพียงขนาดร้อยกว่าลี้เท่านั้น สุนัขป่าซึ่งมีขนสีดำทั่วร่างนั้นผอมมาก มันยืนอยู่กลางอากาศ หางของมันสะบัดไปมา ปากก็พ่นออกมาเป็นภาษามนุษย์ว่า “แฮ่…ช่างน่าขายหน้านัก เสียหน้านายท่านของข้าจริงๆ! เห็นๆ อยู่ว่ากำลังจะชนะแล้วก็ยังถูกเจ้ากู่กานหลัวนั่นลวงเสียได้”
“ผู้อาวุโส” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเอ่ยปากขึ้นเอง ยามนี้ศีรษะเขายังเต็มไปด้วยเมฆหมอก สุนัขป่าสีดำอันน่าหวาดหวั่นตัวนี้โผล่มาจากไหนกัน
ตามข้อมูลในรายงานของเขา
เมื่อก้าวเข้าสู่ระดับขั้นเทพอากาศก็มิอาจเข้าไปในจักรวาลอื่นได้อีก เพราะจักรวาลจะคุ้มครองสิ่งมีชีวิตที่อยู่ภายใน สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งเกินไปจึงมิอาจเข้าไปข้างในได้โดยเด็ดขาด
แน่นอนว่าหากแข็งแกร่งเสียจนเกินเหตุ…เช่นผู้ระดับขั้นอย่างท่องอากาศกู่ฉีซึ่งแข็งแกร่งเสียจนสามารถเทียบได้กับบรรพชนเทียนอวี๋แล้ว ก็สามารถทำลายล้างจักรวาลแห่งหนึ่งได้อย่างง่ายดาย จักรวาลคิดจะสกัดกั้นก็มิอาจขัดขวางได้ ดังนั้นจึงสามารถเข้าไปในจักรวาลได้อย่างง่ายดาย! จะทำให้ยุคจักรวาลแตกทำลายไป…กับการทำให้จักรวาลแตกทำลายไปนั้นเป็นสองระดับขั้นที่แตกต่างกัน
ภายในจักรวาลหนึ่งๆ มียุคต่างๆ ที่หมุนเวียนสับเปลี่ยนกันไปอย่างไม่หยุดหย่อน เมื่อสภาพแวดล้อมภายในเสียหายไปจนไม่เหมาะกับการบำเพ็ญอีกแล้ว จักรวาลก็จะทำให้ยุคนั้นแตกสลายไปเองตามธรรมชาติแล้วถือกำเนิดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง และให้กำเนิดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการบำเพ็ญ การหมุนเวียนของยุคต่างๆ…ก็เป็นส่วนหนึ่งของการหมุนเวียนจักรวาลอย่างหนึ่งเช่นกัน
ตัวจักรวาลเองยังคงแข็งแกร่งมั่นคงมากดังเดิม!
แต่ความแข็งแกร่งของสุนัขป่าสีดำตัวนี้ เหนือกว่าเทพอากาศหน้าใหม่เช่นเขาอย่างสิ้นเชิง ทั้งยังอยู่ภายในจักรวาลอีกหรือ
“ขอบคุณผู้อาวุโส” ตงป๋อเสวี่ยอิงและประมุขเกาะกาลมิติกลับทยอยกันเอ่ยปากขอบคุณ พวกเขาทั้งสองล้วนรู้จักสุนัขป่าสีดำ
“ก่อนหน้านี้เคยพบผู้อาวุโสมาก่อน คิดไม่ถึงว่าท่านจะเก่งกาจถึงเพียงนี้” ประมุขเกาะกาลมิติพูดต่อ
“อืม”
สุนัขป่าสีดำขานรับเสียงเรียบด้วยความถือตัวอยู่บ้าง จากนั้นเขาก็มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงและจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตทั้งยังเอ่ยชมว่า “คมมีดโลหิต ไม่เลวเลย ยุคจักรวาลนี้ยังอีกไกล แต่เจ้ากลับสำเร็จเป็นเทพอากาศแล้ว บัดนี้นับได้ว่าเจ้าเป็นเทพอากาศขั้นกำเนิด…ตอนที่ยุคจักรวาลนี้สิ้นสุด คาดว่าเจ้าก็ยังมีหวังจะบรรลุถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งได้ ฮ่าฮ่า จนถึงบัดนี้ ผู้ที่บรรลุถึงขั้นอากาศรวมเป็นหนึ่งในจักรวาลนี้ก็มีเพียงจอมมารเท่านั้น ส่วนจอมกระบี่นั้นยังสู.ขั้นกว่าอีกระดับหนึ่ง”
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชมเชย” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตอึดอัดใจยิ่งขึ้นไปอีก คล้ายกับว่าสุนัขป่าสีดำตัวนี้จะคุ้นเคยกับผู้แกร่งกล้าทุกคนในยุคจักรวาลนี้ดีนัก รวมทั้งประมุขเกาะใจกลางทะเลสาบและจอมมารด้วย
“ตงป๋อ” สุนัขป่าสีดำมองมาทางตงป๋อเสวี่ยอิงพลางเหลือบมองน้ำเต้าสีดำในมือของเขา “คิดไม่ถึงเลยนะ ในฐานะที่เป็นศิษย์แห่งวังทวีสูญของข้า ระยะเวลาในการบำเพ็ญของเจ้าก็สั้นนัก ยังมีมรดกอันแข็งแกร่งชิ้นหนึ่งอีกหรือนี่”
กลเม็ดของผู้ท่องอากาศกู่ฉีสูงส่งเกินไปแล้ว
สุนัขป่าสีดำก็มิอาจตรวจสอบได้ ส่วนน้ำเต้าสีดำ…ที่ผ่านมามันก็มิได้คิดว่าน้ำเต้าสีดำร้ายกาจสักเท่าใดนัก เพียงแต่ครั้งนี้มันก็มองออกแล้วว่า นี่คือสมบัติพิทักษ์วิถีชิ้นหนึ่ง! สามารถหลอมสมบัติพิทักษ์วิถีเช่นนี้ขึ้นมาได้ชิ้นหนึ่ง ทั้งยังทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถใช้งานได้ตั้งแต่อยู่ในขั้นบุกเบิก ย่อมต้องเป็นสิ่งมีชีวิตที่เก่งกาจมากอย่างแน่นอน ต่อให้สู้บรรพชนเทียนอวี๋มิได้ เกรงว่าก็คงจะใกล้เคียงมากแล้ว
“โชคดีน่ะขอรับๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว ในใจทั้งยินดีและตื่นตระหนก ก่อนหน้านี้เขาได้รู้ว่าสุนัขป่าสีดำเคยกัดจอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบเหมือนเนื้อชิ้นหนึ่งมาก่อน! ก็รู้สึกเพียงว่ามันร้ายกาจ แต่ก็มิได้ตระหนักว่าร้ายกาจเพียงใด
แต่ครั้งนี้เขาตกใจขึ้นมาแล้วจริงๆ
ทว่าเมื่อคิดดูให้ละเอียดก็ถูกต้องแล้ว ถึงอย่างไรตอนนั้นจอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบก็ห่างชั้นกับบรรพชนเทียนอวี๋เพียงก้าวเดียวเท่านั้น สุนัขป่าสีดำสามารถทำให้เขาได้รับบาดเจ็บได้ เกรงว่าพลังก็ใกล้เคียงกับจอมกระบี่แล้ว เกรงว่าคงจะเหนือกว่าจอมมารเสียอีก!
“ใช่แล้ว ยังมีเจ้างั่งนี่ด้วย” สุนัขป่าสีดำสำรอกออกมา ลำแสงสามสายถูกคายออกมา ลำแสงสายหนึ่งในจำนวนนั้นถูกมันรวบคว้าเอาไว้ ซึ่งนั่นก็คือกู่กานหลัวที่หมดสติอยู่นั่นเอง ส่วนลำแสงอีกสองสายก็คือประมุขวังเป่ยเสวียนและเจ้าลัทธิซางตานซึ่งกำลังหมดสติอยู่เช่นกัน
“ตื่นสิ”
กรงเล็บของสุนัขป่าสีดำคว้ากู่กานหลัวเอาไว้แล้วออกแรงเขย่า ร่างของกู่กานหลัวถูกเขย่าจนสั่นสะเทือนคราหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาก็เห็นสุนัขป่าสีดำตัวใหญ่ซึ่งยืนอยู่กลางอากาศตรงหน้า เขาหวาดหลัวเสียจนหน้าซีดขาวไปหมด
………………………….