Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 22 กระจัดพลัดพราย
ภายในบริเวณอันกว้างขวางของจวนจ้าวตงป๋อ ตงป๋อเลี่ย ม่อหยางอวี๋ ตงป๋อชิงสือ จงหลิง ถงซานตอนนี้พวกเขาล้วนอยู่กันที่นี่ ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นเทพมากว่าหมื่นปี ไม่มีทางเข้าสู่โลกเผ่าเซี่ยได้อีกแล้ว แยกพื้นที่ผืนเล็กๆ ออกมาจากจวนจ้าว สถานที่ที่พวกเขาอยู่นั้นล้วนใกล้กันเป็นอย่างยิ่ง
ฟิ้วๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงและอวี๋จิ้งชิวเดินมาจากกลางเวหา มาถึงที่อยู่ของบิดามารดา
“พี่ชาย พี่ใะใภ้ กำลังรอพวกท่านอยู่ทีเดียว” ตงป๋อชิงสือกำลังรออยู่ที่ปากประตู เมื่อได้เห็น แววตาก็ทอประกายวูบหนึ่งแล้วตะโกนขึ้น
“ชิงสือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม
ไม่ว่าจะเป็นตัวเขาหรือน้องชาย ต่างก็ใช้ชีวิตอยู่มานานเหลือเกิน แต่ทว่าความทรงจำในวัยเยาว์ยังคงกระจ่างชัดเช่นเก่า เจ้าเด็กตัวน้อยที่นอนหลับสนิทน้ำลายไหลยืดอยู่บนอกของตนผู้นั้น ความทรงจำฉากแล้วฉากเล่าที่ตนและน้องชายพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันในวัยเยาว์นั้นย่อมมิอาจลืมเลือนได้ตลอดกาล
“ไปกันเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินไปแล้วโอบน้องชายคราหนึ่ง “วันนี้จะต้องดื่มสุราเป็นเพื่อนข้าให้ดีๆ ล่ะ”
“จะต้องอยู่เป็นเพื่อนท่านแน่นอน” ชิงสือแย้มยิ้ม ยิ้มอย่างสว่างสดใส
สองพี่น้องกอดหลังโอบไหล่กันมุ่งหน้าเข้าไปในบ้าน อวี๋จิ้งชิวที่ติดตามอยู่ด้านหลังก็อมยิ้มมองดูฉากนี้ นางรู้กระจ่างดีว่าวันนี้มีความหมายเช่นไรกับสามีของตน
รอบด้านไม่มีข้ารับใช้อยู่เลย!
ถ้าหากข้ารับใช้ได้เห็นผู้ปกครองผู้ยิ่งใหญ่กอดหลังโอบไหล่กับผู้อื่น เกรงว่าคงจะตะลึงงันเสียกระมัง
……
ภายในบ้าน
ท่านอาถงซาน ‘มนุษย์สิงโต’ ผู้มีศีรษะเป็นสิงโตขนาดมหึมา จงหลิง ‘มนุษย์งู’ ที่แขนหกข้างมีหางงูอยู่ และม่อหยางอวี๋ผู้สง่างามเช่นเคยในอาภรณ์สีม่วงตลอดร่าง ยังมีตงป๋อเลี่ยที่หัวเราะฮ่าฮ่าเสียงดัง พวกเขากำลังสนทนากันอย่างเบิกบานใจ พวกเขาต่างก็รู้สึกได้ จึงมองไปทางนอกประตู ก็เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงและชิงสือที่เดินเข้ามาพร้อมกัน
“ฮ่าฮ่า เสวี่ยอิงมาแล้ว” ท่านอาถงพูดยิ้มๆ ด้วยเสียงอันดังกังวานยิ่ง
“กำลังรอเจ้าอยู่ทีเดียว” จงหลิงก็แย้มยิ้มเช่นกัน
“มา มา มา พวกพี่จะได้นั่งกันเสียที” ตงป๋อเลี่ยเร่งเร้า ม่อหยางอวี๋ก็เดินไปย้ายเก้าอี้
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองปราดหนึ่ง สถานที่ภายในบ้านกับบ้านบรรพบุรุษปราการเมืองศิลาหิมะคล้ายคลึงกันเป็นอย่างยิ่ง โต๊ะอาหารนั้นต่างก็เป็นโต๊ะยาว คนทั้งกลุ่มนั่งล้อมรอบโต๊ะยาว ยิ่งพลังยุทธ์ของตงป๋อเสวี่ยอิงยิ่งทวีความกล้าแกร่ง ก็มิได้ร่วมโต๊ะกันดื่มกินมาเนิ่นนานเหลือเกินแล้ว
“นั่งกันเถิด” ตงป๋อเลี่ยตะโกน
“เสวี่ยอิง จิ้งชิว พวกเจ้าสองคนนั่งตรงนี้สิ” ท่านแม่ม่อหยางอวี๋จัดแจงไป เร่งเร้าไป
พวกเขานั่งลงอย่างรวดเร็ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงและอวี๋จิ้งชิวนั่งด้วยกัน ทางด้านซ้ายมือของเขาคือท่านอาจงและท่านอาถง ส่วนฝั่งตรงข้ามของท่านอาจงและท่านอาถงก็คือตงป๋อเลี่ยและม่อหยางอวี๋
ฝั่งตรงข้ามตงป๋อเสวี่ยอิงคือชิงสือ น้องชายของเขา
ไม่มีคนนั่งเก้าอี้ประธาน!
ตามความเคยชินในอดีต โดยปกติจะเป็นท่านพ่อตงป๋อเลี่ยนั่งตรงตำแหน่งประธาน แต่คราวนี้ท่านพ่อตงป๋อเลี่ยกลับต้องการนั่งด้วยกันกับท่านแม่ ใกล้ชิดติดกัน!
“วันนี้อาหารบนโต๊ะนี้เป็นข้ากับอาอวี๋ช่วยกันทำ ดื่มกันสักจอกก่อนเถิด” ตงป๋อเลี่ยยกจอกขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ได้กินกับข้าวที่ท่านพ่อท่านแม่ทำเสียตั้งนาน” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยกจอกขึ้น
ทุกคนดื่มสุราด้วยกัน
จงหลิงดื่มสุราหมดแล้วก็วางจอกสุราลงก่อนเอ่ยว่า “ดื่มสุราที่นี่ ข้าก็นึกถึงตอนอยู่ที่ปราการเมืองศิลาหิมะ ตอนนั้นข้ากับถงซานอยู่กับเสวี่ยอิงและชิงสือ ตอนนั้นชิงสือยังไม่รู้เรื่องรู้ราวก็ดีแต่ก่อกวน ตอนนั้นเสวี่ยอิงฝึกฝนวิชาหอกอยู่ทุกวัน…พอฝึกแล้วก็ต้องไปแช่บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ทุกวัน”
“ทำไมต้องบอกว่าข้าดีแต่ก่อกวนด้วยเล่า” ชิงสือพึมพำ
“หรือว่าไม่ใช่ล่ะ” ถงซานที่อยู่ข้างๆ เบ้ปาก “ตอนนั้นพี่ชายเจ้าเหน็ดเหนื่อยถึงเพียงนั้นทุกวัน เจ้าเข้านอนตอนกลางคึนก็ยังต้องให้พี่ชายเจ้านอนเป็นเพื่อน ยังโชคดีที่เสวี่ยอิงอารมณ์ดี ถ้าหากอยู่ที่เผ่ามนุษย์สิงโตของข้าล่ะก็ จะต้องจับเจ้าโยนไปอีกทางแน่”
ชิงสือเองก็หัวเราะ
“ไม่กล้าคิดเลยจริงๆ ตอนนั้นข้ารู้สึกว่าเสวี่ยอิงสามารถเป็นขั้นเหนือธรรมดาได้ก็น่าอัศจรรย์แล้ว ไม่คิดเลยว่าจะยิ่งเหนือจินตนาการของข้าไปอีก” จงหลิงพูด “ตอนนั้นเทพทิพย์และเทพจอมมารที่ทำให้พวกเราโลกเผ่าเซี่ยเผชิญกับมหาภัยพิบัติต่างก็เอาชีวิตไปทิ้ง ตอนนี้เสวี่ยอิงยิ่งกลายเป็นหนึ่งในบุคคลระดับสุดยอดของโลกเทพหุบเหวลึก จัดอันดับอยู่ในบรรดาผู้ปกครอง”
คนอื่นๆ ต่างก็พยักหน้า
ยามเฉียดใกล้ความตาย พวกเขาก็อดที่จะรำลึกถึงความหลังในชั่วชีวิตนี้ไม่ได้ ในอดีตพวกเขาคิดถึงการเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าเหลือเชื่อ แต่ตอนนี้ดูแล้วไม่มีค่าพอให้พูดถึงเลย เทพจอมมารถูกจัดการไปนานแล้ว ต่อให้เป็น ‘เทพทิพย์’ ผู้เป็นเจ้าแดนแห่งโลกวัตถุ บำเพ็ญจนกลายเป็นเทพโลกาสวรรค์สองชั้น หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลายเป็นผู้ปกครองแล้วก็สามารถบั่นคอสังหารเขาผ่านเหตุปัจจัยได้อย่างง่ายดาย!
“การบำเพ็ญนั้นจะว่ายากก็ยาก” ตงป๋อเลี่ยพูด “ตอนนั้นข้าถูกเสวี่ยอิงชักนำมาถึงโลกภูผาศิลาแดงได้รับการชี้แนะที่ดีที่สุดจึงกลายเป็นเหนือธรรมดา หลังจากนั้นก็ชักนำให้จุติใหม่ผ่านมามากมายหลายครั้ง สมบัติล้ำค่าจำนวนมหาศาลต่างถูกนำมาใช้กับข้า จึงก้าวเข้าสู่ชั้นวิญญาณเทพได้อย่างยากเย็นหาใดเปรียบ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา… ความหวังแม้แต่น้อยกับเทพโลกาก็ไม่มี การบำเพ็ญช่างยากเย็นเสียจริง”
“ถ้าหากไม่มีเสวี่ยอิง เจ้าคงไม่ได้เป็นแม้แต่เหนือธรรมดาแล้ว” แล้วม่อหยางอวี๋ก็พูดว่า “ที่โลกภูผาศิลาแดง หลายครั้งที่เจ้าเผชิญปัญหาก็ร้องเรียกให้บุตรชายช่วย ข้าคิดๆ ดูแล้วก็รู้สึกว่าช่างน่าขายหน้าเหลือเกิน”
“นี่มีอันใดน่าขายหน้ากันเล่า ข้าเผชิญปัญหาแล้วเรียกให้เสวี่ยอิงลงมือ มันผิดตรงไหนกัน” ตงป๋อเลี่ยถลึงตา
“มา มา มา เสวี่ยอิง พวกเรามาดื่มสุรากัน” ท่านอาถงซานกลับหยิบไหสุราขึ้นมาดื่มกับตงป๋อเสวี่ยอิง เขาส่ายศีรษะราชสีห์อย่างลำพองใจอยู่บ้าง “เจ้าทำให้ข้าสามารถมีชีวิตอยู่ต่อมาได้ ทั้งยังสามารถอยู่มาได้เป็นพันล้านปีอีกด้วย ฮ่าฮ่า เจ้าช่วยข้าคนหนึ่ง แต่ข้าก็สร้างเผ่าพันธุ์มนุษย์สิงโตเผ่าหนึ่งขึ้นมาได้เลยทีเดียวนะ!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็หัวเราะเช่นกัน “เป็นความร้ายกาจของตัวท่านอาถงเองนั่นแหละ จึงได้มีลูกหลานมากมายถึงเพียงนั้น”
เผ่ามนุษย์สิงโตเจริญพันธุ์เกินไป เพราะถงซานเพียงคนเดียว เผ่ามนุษย์สิงโต…ก็ขยายเผ่าพันธุ์เสียแล้ว! กลายเป็นเผ่าพันธุ์ที่ยิ่งใหญ่ เข้าไปในดาวเคราะห์หลายดวงในโลกเทพได้
……
ทุกคนล้วนกำลังสนทนากัน ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงและอวี๋จิ้งชิวกลับรับฟังมากกว่า นานๆ ทีจึงจะพูดสักสองสามประโยค
อาหารมื้อนี้กินเวลาเนิ่นนาน ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ดื่มสุราไปมากพอดู บนพื้นข้างๆ ห้องอาหารก็มีโอ่งสุราอยู่มากมายก่ายกอง
“ไม่ได้ดื่มอย่างมีความสุขเช่นนี้มาเนิ่นนานเหลือเกินแล้ว นอกจากนี้ยังได้พี่น้องชายหญิงที่แสนดีมาอยู่เป็นเพื่อนข้า แล้วยังมีเสวี่ยอิง ชิงสือ กับจิ้งชิวด้วย” จงหลิงยิ้มพูดด้วยสีหน้าแดงก่ำ “ชีวิตนี้ของข้า จงหลิง คุ้มค่าแล้ว คุ้มค่าแล้วจริงๆ! พี่ชาย…ข้ารับไม่ไหวอีกแล้ว ขอไปก่อนเป็นคนแรกล่ะนะ” หลังจากเสียงหัวเราะ ร่างของจงหลิงก็เริ่มเลือนรางหายไป พลังเทพทุกสายบนร่างก็เริ่มสลายมลายไป ฟิ้ว… ก็กระจายหายไปโดยสมบูรณ์เช่นนี้เอง
“รอข้าด้วยสิ” ถงซานก็ตะโกนขึ้น
“ควรจะไปได้แล้ว” ม่อหยางอวี๋ก็วางจอกสุราลง
“อาอวี๋” ตงป๋อเลี่ยมองภรรยาที่อยู่ข้างกาย “ชั่วชีวิตนี้ ข้าช่างโชคดีเหลือเกินที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างข้า”
“ข้าก็เช่นกัน” ม่อหยางอวี๋แย้มยิ้มน้อยๆ นัยน์ตามีความรักอย่างเปี่ยมล้น
ตงป๋อชิงสือที่นั่งอยู่ตรงนั้นแย้มยิ้มขึ้นมา “ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านอาถง ไปด้วยกันเถิด บนเส้นทางจะได้มีชีวิตชีวา ท่านพี่ พวกเราไปแล้วนะ อย่าเศร้าใจไปล่ะ พวกเราต่างก็เบิกบานใจกันมากจริงๆ”
ซ่าๆๆ…
ร่างกายอันเมามายของถงซานเริ่มสลาย ตงป๋อเลี่ยและม่อหยางอวี๋กุมมือของกันและกัน มองประสานสายตากัน ส่วนตงป๋อชิงสือก็มองตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มๆ
พวกเขามิได้ต่อต้านการสลายของดวงวิญญาณอีกต่อไปแล้ว ปล่อยให้มันเริ่มสลายไป พลังเทพทุกๆ สายต่างก็แหลกสลาย พวกเขาแต่ละคนต่างก็กำลังเลือนหาย กระจัดพลัดพรายไปกลางอากาศ
ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ถือจอกสุราอยู่มองดูอย่างเงียบๆ…
เจ้าหินน้อย…
ท่านพ่อ ท่านแม่…
ท่านอาจง ท่านอาถง…
ทุกคนล้วนไปแล้ว! ไปกันหมดแล้ว!
นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงมีประกายน้ำตาพร่างพราย นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ ไม่ส่งเสียงแม้แต่คำเดียว
ภายในบ้านที่เดิมทีคึกคักหาใดเปรียบ ตอนนี้เปลี่ยนเป็นเงียบสงบอย่างยิ่ง บนโต๊ะยาวที่เดิมทีล้อมรอบไปด้วยกลุ่มคน คอนนี้เหลือเพียงตงป๋อเสวี่ยอิงและภรรยานั่งอยู่ข้างกัน ที่นั่งตำแหน่งอื่นๆ ต่างก็ว่างเปล่า
อวี๋จิ้งชิวคิดจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่ยืนเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ
เงียบสงัด
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งเงียบงันอยู่ตรงนั้นอย่างเนิ่นนาน เขาไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ ห้วงสมองคล้ายจะมืดบอด ว่างเปล่าไปเสียแล้ว
ทันใดนั้น
ความเจ็บปวดสายแล้วสายเล่าก็แผ่กวาดไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย กวาดไปถึงดวงวิญญาณ ทำให้ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงยากที่จะรับได้ไหว ทันใดนั้นเองมือข้างหนึ่งจากด้านข้างก็กุมมือของเขาเอาไว้ จับเอาไว้แน่น ตงป๋อเสวี่ยอิงหันหน้าไปมอง ก็เห็นอวี๋จิ้งชิวภรรยาที่อยู่ด้านข้างกำลังมองเขาอย่างกังวลใจ
“เจ้ายังมีพวกเราอยู่นะ” อวี๋จิ้งชิวมองเขา
…………………………………….