Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 2
ณ โลกภูผาศิลาแดง บนเกาะธุลีแดง
หลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ขาวอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนภรรยาและบุตรชายบุตรสาวครู่หนึ่งแล้วก็เริ่มต้นปลีกวิเวก พรึ่บๆ สองร่างแยกทั้งตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ดำและตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์แดงก็จากโลกวัตถุมาถึงเกาะธุลีแดง มาบรรจบรวมกับร่างจริง
อันที่จริงแล้วร่างจริงกับร่างแยกนั้นมีวิญญาณและกายเนื้อที่เหมือนกัน มิได้แตกต่างกันเลย และตอนนี้ก็ยังสามารถรักษาร่างแยกเอาไว้ได้… ท้ายที่สุดแล้วในอนาคตก็ยังต้องรวมร่างจริงและร่างแยกเป็นหนึ่งเดียวให้วิญญาณบริบูรณ์
ร่างทั้งสามได้พานพบกัน
ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ขาวพลิกมือหยิบเอาป้ายสัญลักษณ์ของสถานที่แรกเริ่มออกมามอบให้ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ดำ
“ไปเสีย” พอรับป้ายสัญลักษณ์มาแล้ว ความทรงจำหนึ่งก็ถูกกระตุ้นขึ้นมาโดยตรง
พลังงานทั้งหมดทั้งมวลในจักรวาลต่างก็ปกป้องตนอย่างอ่อนโยน ในเวลาชั่วพริบตา ฉากตรงหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ดำก็เปลี่ยนไป มาถึงยังสถานที่แรกเริ่มที่เคยมา
“ประสาทสัมผัสของมนุษย์ธรรมดา” ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ดำเผยรอยยิ้มหนึ่งออกมา ประสาทการได้ยินและการมองเห็นล้วนลดลงฮวบฮาบ ราวกับมนุษย์ธรรมดา
“พลังของข้าในตอนนี้สามารถเทียบได้กับผู้ปกครอง แต่ภายใต้กฎเกณฑ์ของสถานที่แรกเริ่มก็เปลี่ยนไปเหมือนกับมนุษย์ธรรมดาเช่นเดิม” ตงป๋อเสวี่ยอิงสะเทือนใจอยู่บ้าง เขาเข้าใจดีว่าสถานที่แรกเริ่มที่บรรพชนเทียนอวี๋รังสรรค์ขึ้นสามารถทำได้ถึงขั้นนี้ เช่นนั้นถ้าหากร่างจริงของบรรพชนเทียนอวี๋กำเนิดขึ้น ความคิดวูบหนึ่ง ตนเองก็กลัวว่าจะเหมือนกับมนุษย์ธรรมดาแล้ว พลังที่ได้บำเพ็ญมาก็จะถูกเพิกถอนจนสิ้น!
แน่นอนว่าตัวอย่างเช่นจอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบก็เคยไม่ได้รับเชิญ แล้วฝืนบุกเข้ามายังสถานที่แรกเริ่ม ไม่ยอมรับข้อห้ามของกฎเกณฑ์ของสถานที่แรกเริ่ม นี่ก็คือความแตกต่างของพลังยุทธ์ เห็นได้ชัดว่าพลังของตนยังอ่อนแอ ห่างชั้นกับบรรพชนเทียนอวี๋มากมายเหลือเกิน
อ้างอิงจากที่ท่านอาจารย์ผู้ท่องอากาศ ‘กู่ฉี’ ได้พูดเอาไว้ ตอนนั้นจอมกระบี่เกาะใจกลางทะเลสาบห่างชั้นกับบรรพชนเทียนอวี๋เพียงก้าวเดียวเท่านั้น ตอนนี้ที่‘โลกทิพย์ทะเลสัตตดารา’ บรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่เกาะใจกลางทะเลสาบก็คือสิ่งมีชีวิตสองท่านที่น่าหวั่นเกรงผู้นั่งอย่างมั่นคงอยู่ที่ขุมอำนาจของฝ่ายตนเอง
“ฟิ้ว…”
สายลมอ่อนโชยพัด
ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวย่างช้าๆ อย่างคุ้นเคยไปบนพื้นหญ้าอันอ่อนนุ่ม ไกลออกไปยังมีสวนดอกไม้อีกด้วย
“ตงป๋อเสวี่ยอิง ทำไมเจ้ามาเร็วเช่นนี้เล่า” ชายชราผมขาวเดินมาจากเรือนหินหลังหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป “โอ้ ตอนนี้เจ้าเป็นขั้นบุกเบิกแล้ว พร้อมที่จะรับการทดสอบของขั้นบุกเบิกแล้วหรือ”
“ใช่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
นี่คือสิ่งที่ผู้สรรสร้างจักรวาลเหลือทิ้งเอาไว้ เป็นการมอบ ‘ของขวัญ’ ให้กับชนรุ่นหลังอย่างพวกเขา แต่ก็ชัดเจนว่าการจะได้รับของกำนัลจากบรรพชนเทียนอวี๋นั้นมิใช่เรื่องง่าย
“สิ่งที่เจ้าได้ประสบในคราวก่อน คือการทดสอบของขั้นเทพโลกา และเป็นการทดสอบขั้นต่ำที่สุด ที่สูงกว่าขั้นเทพโลกาคือขั้นฟ้าดิน ที่สูงขึ้นไปอีกก็คือขั้นบุกเบิก! ส่วนขั้นสูงสุดนั้นก็คือขั้นผู้ปกครอง ”ชายชราผมขาวเดินไปพลางพูดยิ้มๆ “คราวนี้สูงกว่าคราวก่อนถึงสองระดับขั้นใหญ่ ระดับความยากก็เหนือกว่าคราวก่อนมากมายนัก ยุคจักรวาลนี้ยังไม่มีใครสามารถผ่านการทดสอบของขั้นบุกเบิกได้เลย เจ้าเตรียมตัวมาเพียงพอแล้วหรือ”
“พอแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
พูดเล่นแล้ว
ก่อนหน้าการบำเพ็ญในห้วงนิทรา ตนเองก็สามารถเป็นผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรพคีรีมารได้แล้ว! ถึงแม้ว่าหลังจากกลับมาคราวนี้แล้วจะมิได้บำเพ็ญทันที ร่างกายก็ยังคงอยู่ในระดับวิชาลับผู้ท่องขั้นแปด แต่ความเข้าใจในวิถีเข่นฆ่า วิถีระลอกคลื่น และวิถีโลกเทียมของตนนั้นแกร่งกว่าในอดีตมาก พลังในการต่อสู้ก็สูงขึ้นอย่างมาก พลังยุทธ์เช่นนี้หากยังไม่ผ่านการทดสอบก็เป็นเรื่องน่าขันแล้ว
“ดูนั่นสิ”
ชายชราผมขาวหันหน้าแล้วชี้จุดที่อยู่ไกลออกไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองตามไปยังทิศทางที่เขาชี้ นั่นคือจุดศูนย์กลางของดินแดนอันว่างเปล่าแห่งนี้ ที่นั่นมีกระท่อมฟางอยู่สามหลัง
“กระท่อมฟาง” ชายชราผมขาวพูด “กระท่อมฟางสามหลัง หลังหนึ่งคือคลังสมบัติ ส่วนอีกสองหลังนั้น หลังหนึ่งมีเพียงผู้ที่ผ่านการทดสอบขั้นบุกเบิกเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าไปได้ ส่วนอีกหลังนั้นหลังหนึ่งมีเพียงผู้ที่ผ่านการทดสอบขั้นผู้ปกครองเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติพอจะเข้าไปได้! ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถเข้าไปได้นะ…ท่านเจ้าของเองก็หวังว่าในบรรดาเด็กอย่างพวกเจ้าจะมีผู้มีความสามารถเข้าไปได้”
“อืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “แน่นอน”
“เห็นเจ้ามั่นใจพอดู แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็อย่าลำพองใจเด็ดขาดล่ะ” ชายชราผมขาวพูดแล้วก็เดินไปยังทิศทางข้างหน้า “ตามข้ามา”
……
เฉกเช่นเดียวกับคราวที่แล้ว
เดินไปกว่าครึ่งชั่วยามจึงจะห่างมาได้ยี่สิบลี้ ที่นั้นมีต้นไม้ใหญ่อยู่ห้าต้น ลำต้นของต้นไม้ใหญ่นั้นมีขนาดหลายคนโอบ ชายชราผมขาวเดินตรงไปยังต้นที่อยู่ตรงกลางต้นไม้ใหญ่ห้าต้นนั้น “เข้ามาสิ” ร่างของเขาสัมผัสต้นไม้ใหญ่คราหนึ่งก็ทะลุผ่านหายเข้าไป มิอาจเห็นได้อีก ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เดินตามไปสัมผัสต้นไม้ใหญ่ ทะลุผ่านตรงเข้าไปเช่นกัน
พรึ่บ
เดินทางผ่านมิติ ตรงหน้าคือดินแดนกว้างใหญ่ไพศาลอันหนาวเหน็บ ไกลสุดลูกหูลูกตาล้วนเป็นน้ำแข็งทั้งสิ้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางอากาศพลางมองไปรอบทิศทาง ดินแดนอันหนาวเหน็บทอดยาวไปจนถึงจุดสิ้นสุดของมิตินี้ ชายชราผมขาวยืนอยู่อีกข้าง
“คู่ต่อสู้ของข้าในคราวนี้คือใครหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง
“คู่ต่อสู้หรือ”
ชายชราผมขาวแย้มยิ้ม เขายื่นมืออกมาชี้ไปรอบด้าน “โลกแห่งนี้แหละ คือคู่ต่อสู้ของเจ้า”
“โลกแห่งนี้หรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้ง
“สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือการมีชีวิตรอดในโลกแห่งนี้” ชายชราผมขาวพูด “หากเจ้าตายก็พ่ายแพ้ หากเจ้ามีชีวิตรอดก็ชนะ ระวังหน่อยนะ จะเริ่มแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงรับสัมผัสโลกน้ำแข็งแห่งนี้อย่างระมัดระวัง
พรึ่บๆๆ
อุณหภูมิของโลกน้ำแข็งแห่งนี้ลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว ลำพังแค่อุณหภูมินี้ก็สามารถแช่แข็งบรรดาผู้เคารพที่อ่อนแอสักหน่อยได้แล้ว แต่อุณหภูมิก็ยังลดลงอีก กลางท้องฟ้าเริ่มมี ‘ผลึกน้ำแข็ง’ อันใสกระจ่างจับตัวกันตกผลึกออกมา ผลึกน้ำแข็งอันหนึ่งตกผลึกออกมากลางอากาศ แต่โดยรอบมีขอบคมยิ่ง
“ฟึ่บ!” ผลึกน้ำแข็งอันหนึ่งลอยเคลื่อนผ่านอากาศมา แหวกผ่านท้องฟ้ามาอย่างคุกคามน่าหวาดหวั่น
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูอย่างสงบนิ่ง เขาขยับนิ้วมือขวากลางอากาศเล็กน้อย กลางอากาศก็มีคลื่นระลอกหนึ่งปรากฏขึ้น ขณะที่ระลอกคลื่นกระเพื่อมก็เหนี่ยวนำให้เกิดการสั่นพ้องจากระยะไกล ทำให้เกิดระลอกคลื่นขึ้นจากที่ไกลๆเช่นเดียวกัน ระลอกคลื่นกระทบบนผลึกน้ำแข็งจนผลึกน้ำแข็งแตกกระจาย
เมื่อชายชราผมขาวที่มองอยู่ด้านข้างได้เห็นแล้วแววตาก็เป็นประกาย “ง่ายราวกับปอกกล้วย จัดการกับความเร้นลับของกฎเกณฑ์ได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ร้ายกาจกว่าเจ้าเด็กน้อยผู้ยอดเยี่ยมในกาลมิติเมื่อคราวก่อนผู้นั้นมากมายแล้ว”
ตอนนั้นประมุขเกาะกาลมิติก็เคยเข้ามา แต่น่าเสียดายที่ล้มเหลวตอนทำการทดสอบขั้นบุกเบิกจนตัวตาย
“แต่การทดสอบนี้เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น” ชายชราผมขาวเอ่ยพึมพำ “เจ้าก็อย่าตำหนิท่านเจ้าของเลยนะ ภายในจักรวาลมีต้นกำเนิดจักรวาลคอยปกป้อง วันคืนที่พวกเจ้าผ่านมายังนับว่าปลอดภัยยิ่งนัก รอหลังจากที่ไปจากจักรวาลแล้ว… สารพัดภยันตรายทั้งหลายก็จะพากันถาโถมเข้ามา หากไม่มีความสามารถในการเอาตัวรอด เจ้าก็เจริญเติบโตขึ้นมามิได้แล้ว จะต้องร่วงหล่นตั้งแต่เนิ่นๆ ความสามารถในการเอาตัวรอดเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสุดยอดผู้แกร่งกล้า”
……
หลังจากที่ผลึกน้ำแข็งแตกกระจายแล้ว อุณหภูมิก็ยิ่งลดต่ำลงอย่างรวดเร็วตามมา เห็นเพียงผลึกน้ำแข็งผลึกแล้วผลึกเล่าควบแน่นอย่างรวดเร็วกลางอากาศ พอควบแน่นสำเร็จแล้วก็พุ่งเข้าใส่ตงป๋อเสวี่ยอิง มีผลึกน้ำแข็งบางส่วนเคลื่อนผ่านร่างของ ‘ชายชราผมขาว’ แต่ชายชราผมขาวมิได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย ราวกับเป็นภาพมายา ทั้งยังมิได้ปัดป้องผลึกน้ำแข็งเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนกลางอากาศพร้อมกระดิกนิ้วน้อยๆ คราหนึ่ง ระลอกคลื่นกลางท้องฟ้าก็แผ่กระจายออกไปทุกทิศทุกทางราวกับมีสายพิณดีดอยู่กลางอากาศ ระลอกคลื่นนี้พลันปรากฏขึ้นยังบริเวณห่างไกล
ระลอกคลื่นระลอกแล้วระลอกเล่าแผ่กระจายออกไปทุกทิศทุกทาง ทำให้ผลึกน้ำแข็งเหล่านั้นแตกกระจายไม่หยุดหย่อน
อุณหภูมิยังคงลดต่ำต่อไปอีก
ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วมุ่น ทว่าเขาเป็นผู้ท่องอากาศ ร่างกายก็ย่อมแข็งแกร่งไม่สะทกสะท้านต่อความหนาวเหน็บนี้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าอุณหภูมิที่ลดต่ำลงนี้ทำให้จำนวนของผลึกน้ำแข็งพุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว พุ่งทะยานขึ้นเป็นสิบๆเท่า แล้วปกคลุมอย่างมืดฟ้ามัวดินเป็นสิบล้านร้อยล้านเท่าอย่างรวดเร็วยิ่ง…
ถึงแม้ว่าจะดีดนิ้วมือจนทำให้รอบทิศทางมีระลอกคลื่นแผ่กระจายกลางอากาศ แต่ภายใต้การปะทะของผลึกน้ำแข็งจำนวนมาก ระลอกคลื่นกลางอากาศก็สูญสิ้นไปอย่างรวดเร็วยิ่ง
“ไม่มีทางต้านทานได้เลย”
“สิ่งที่ทดสอบคือความสามารถในการเอาตัวรอดของเจ้า นี่เพิ่งจะเป็นเพียงแค่ระลอกแรกเท่านั้น” ชายชราผมขาวที่ดูอยู่จากที่ไกลๆ ส่ายศีรษะพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ “คิดจะต้านทานหรือ นี่ย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่ลังเลต่อไปอีก “จะต้องใช้บริเวณมาตอบสนองเสียแล้ว”
ปัง…
ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นศูนย์กลาง ระลอกคลื่นสีแดงโลหิตอันใหญ่มหึมาใช้เขาเป็นศูนย์กลาง แผ่กระจายไปรอบทิศทาง ทะเลโลหิตแผ่ออกไปรอบด้านอย่างรวดเร็ว ไหลบ่าท่วมผลึกน้ำแข็งทั้งหมดที่เข้ามาโจมตี