Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 6
เสาศิลาสีดำขนาดมหึมาต้นหนึ่งปักอยู่กลางดวงดาราอันมืดมิด โซ่สายแล้วสายเล่าอยู่บนเสาศิลาสีดำแล้วแผ่ขยายออกไปยังอากาศทั่วทิศ ลวดลายจำนวนนับไม่ถ้วนเคลื่อนไหวอยู่บนโซ่ บนเสาศิลานั้นก็มีลวดลายจำนวนนับไม่ถ้วนเคลื่อนไหวอยู่เช่นกัน อานุภาพอันยิ่งใหญ่แผ่คลุมออกไปไกลถึงแสนล้านลี้โดยรอบ
อานุภาพระลอกนี้เพียงพอให้เหล่าผู้ปกครองสั่นสะท้านไปหมด ส่วนยอดของเสาศิลาสีดำมีอาณาเขตกว่าหมื่นลี้ ณ ยอดเสาศิลามีเงาร่างสองสายนั่งอยู่ คนหนึ่งคือจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตในอาภรณ์สีแดงเข้ม ส่วนอีกผู้หนึ่งคือเจ้าแม่กานเหอผู้หรูหรางดงาม
“สวบ” เงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ เป็นตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวนั่นเอง
“เฮ้อ ค่ายกลเสาศิลานี่…” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าพละกำลังชั้นแล้วชั้นเล่าจำนวนนับไม่ถ้วนขัดขวางตนเอาไว้ เดิมทีเขาวางแผนว่าจะร่อนลงตรงยอดของเสาศิลานั้นเพื่อพบท่านอาจารย์ ผู้ใดจะไปคิดเล่าว่าห่างออกมาตั้งไกลก็จะถูกสกัดกั้นเอาไว้เสียแล้ว
“ฮ่าฮ่า แม้แต่คนเป็นอาจารย์อย่างข้าก็ยังฝืนบุกฝ่าเข้ามามิได้ เจ้ายังคิดจะบุกฝ่าเข้าไปอีกรึ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตซึ่งยืนอยู่บนยอดเสาศิลาสีดำยืนขึ้นมา พลางมองดูศิษย์ซึ่งหมดท่าอยู่ตรงนั้นห่างๆ เขายิ้มออกมา “เข้ามาเถิด อย่าได้ต่อต้านเลย”
เขาพูดพลางควบคุมค่ายกล
พละกำลังระลอกหนึ่งเข้าพันธนาการตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้แล้วเคลื่อนย้ายเขาออกไปทันใด
ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกายขึ้นที่ยอดเสาศิลาสีดำ จากนั้นก็ยิ้มพลางโค้งคำนับ “คารวะท่านอาจารย์”
“ระหว่างข้ากับเจ้าไม่จำเป็นต้องเกรงอกเกรงใจเกินไปนักหรอก” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็มองดูพลางยิ้มตาหยี เส้นทางการบำเพ็ญนั้นเดียวดายมาก บนเส้นทางอันเดียวดายสายนี้ ศิษย์สองคนของตนล้วนสามารถเดินตามรอยเท้าของเขาได้ จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็รู้สึกว่าพึงพอใจนัก
“ตงป๋อเสวี่ยอิง” เจ้าแม่กานเหอเดินมา น้ำเสียงของนางเยือกเย็นอยู่บ้าง “เมื่อพบเจ้าครั้งแรกในตอนนั้น เจ้ายังเป็นเด็กน้อยที่เข้าร่วมงานหมื่นบุปผาอยู่เลย เพียงพริบตาเดียวก็เข้าสู่ขั้นผู้ปกครองเสียแล้ว”
“โชคดีน่ะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดอย่างถ่อมตน
“การบำเพ็ญไม่มีคำว่าโชคดีหรอก” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเอ่ย “ใช่แล้ว วิถีสายใดของเจ้าบรรลุจนสำเร็จเป็นผู้ปกครองหรือ วิถีโลกเทียมหรือวิถีเข่นฆ่ากันเล่า”
เจ้าแม่กานเหอที่อยู่ด้านข้างก็ตั้งใจฟังอย่างละเอียด
“วิถีโลกเทียมขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย
หากพูดกันอย่างจริงจังแล้วล่ะก็ ตนมีถึงสองระบบที่ก้าวเข้าสู่ขั้นผู้ปกครอง หนึ่งคือ ‘วิถีโลกเทียม’ ของระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์บรรลุถึงขั้นสมบูรณ์แบบนิรันดร์กาล สองก็คือระบบผู้ท่องอากาศ หากพูดถึงประโยชน์ด้านพลังเพียงอย่างเดียว ‘ระบบผู้ท่องอากาศ’ นั้นมีส่วนช่วยมากที่สุด เนื่องจากฝึกให้เข้าที่ได้ลำบากยากเข็ญอย่างยิ่ง จึงเป็นระบบที่จำนวนผู้บำเพ็ญน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย…อย่างน้อยในช่วงแรก ก็มีข้อดีมากมายเลยทีเดียว!
“วิถีโลกเทียมหรือ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตสะดุ้ง “แล้ววิถีเข่นฆ่าเล่า”
“รู้สึกว่าใกล้จะบรรลุแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ว่ายังขาดการสั่งสมอยู่บ้าง” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“ผู้เคารพระดับยอดจำนวนมากที่บรรลุถึงขีดจำกัดแล้ว รู้สึกว่าขาดอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่กลับติดอยู่ไม่รู้ว่านานเพียงใด” เจ้าแม่กานเหอที่อยู่ด้านข้างส่ายหน้า
ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้ว “เจ้าแม่กานเหอ ท่านเอ่ยวาจานี้หมายความว่าอย่างไรกัน”
วันคืนในการบำเพ็ญของตนสั้นเพียงใด
ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์สำเร็จเป็นผู้ปกครองยากเย็นเพียงใดกัน ที่วิถีโลกเทียมสามารถบรรลุได้ ก็มีสาเหตุเพราะ ‘การบำเพ็ญในห้วงนิทรา’ อยู่แล้ว วิถีเข่นฆ่ามิได้บรรลุก็เป็นเรื่องธรรมดานัก ที่แท้แล้วเจ้าแม่กานเหอเอ่ยวาจาเหล่านั้นออกมาหมายความว่าอะไรกันแน่
“ฮ่าฮ่า ตงป๋อเสวี่ยอิง อย่าโกรธไปเลย ข้าเพียงแค่เสียใจเท่านั้น เสียใจที่วิถีเข่นฆ่าของเจ้ามิได้บรรลุ” เจ้าแม่กานเหอเอ่ย
“ไม่มีอะไรน่าเสียใจหรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงอึดอัดใจ
“ข้าก็หวังว่าวิถีเข่นฆ่าของเจ้าจะบรรลุ เพราะอาจจะมีส่วนช่วยในศึกระหว่างพวกเราและลัทธิจอมมารดาเป็นอย่างมากก็เป็นได้” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเอ่ย
ตงป๋อเสวี่ยอิงกระจ่างขึ้นมาบ้างแล้ว
วิถีโลกเทียม…
เชี่ยวชาญทางด้านการรักษาชีวิต การแอบซุ่มและเคล็ดภาพลวงมากกว่า การห้ำหั่นซึ่งหน้านั้นอ่อนแอมาก แต่ตนก็ยังคงเป็นผู้ปกครองของอีกระบบการบำเพ็ญที่แข็งแกร่งนี่นา
“ฟิ้ว” “ฟิ้ว” “ฟิ้ว”…
ทันใดนั้นเงาร่างสายแล้วสายเล่าก็ปรากฏขึ้นรอบด้าน ซึ่งก็คือร่างแปรของผู้ปกครองกลุ่มหนึ่ง เช่นผู้ครองชิงซึ่งแผ่กลิ่นอายกดดันอันไร้ที่สิ้นสุดออกมา และประมุขหยวนชูในอาภรณ์อันเรียบง่าย นอกจาก ‘ผู้ปกครองคลุ้งคาวเลือด’ หนีหลัว ศิษย์ทรยศที่สิ้นใจไปแล้ว ก็นับว่าผู้ปกครองคนอื่นๆ มาที่นี่โดยพร้อมเพรียงกัน แน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นร่างแปร
“ตงป๋อ ยินดีด้วยที่ก้าวสู่ขั้นผู้ปกครองจนได้”
“ตงป๋อเสวี่ยอิง ยินดีด้วยที่สำเร็จเป็นผู้ปกครองแล้ว”
“สามารถสำเร็จเป็นผู้ปกครองได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ ในภายหน้าก็มีหวังมากที่จะสำเร็จเป็นเทพอากาศ ยินดีด้วย”
ทุกคนล้วนพากันมาแสดงความยินดี
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยิ้มรับ
ในที่นั้นมีผู้ปกครองอยู่สิบท่านรวมทั้งตงป๋อเสวี่ยอิงด้วย นี่เป็นสิ่งมีชีวิตระดับยอดสุดของฝ่ายจักรวาลผู้บำเพ็ญ
“ใช่แล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิง วิถีใดของเจ้าสำเร็จเป็นผู้ปกครองหรือ” ประมุขหยวนชูถาม
ตงป๋อเสวี่ยอิงอึดอัดใจขึ้นมา ประมุขหยวนชูเป็นถึงผู้ที่มีชีวิตอยู่มาเนิ่นนานที่สุดก็ยังถามเรื่องนี้ด้วยหรือ
“วิถีโลกเทียมขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตอบไปส่งๆ
“อ้อ” ประมุขหยวนชูพยักหน้าน้อยๆ โดยมิได้พูดอะไร
“วิถีโลกเทียมหรือ” ผู้ปกครองคนอื่นบ้างก็สงบนิ่ง บ้างก็เผยสีหน้าผิดหวังออกมา
“ทำไมหรือขอรับ ที่แท้แล้วทำไมกันแน่” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกล่าวว่า “พวกเขาใส่ใจว่าวิถีสายใดของเจ้าที่บรรลุ ก็เพราะสงครามกับลัทธิจอมมารดาน่ะ”
“บัดนี้สถานการณ์เป็นเช่นไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สนใจมากเช่นกัน แม้เขาจะเคยถามจิ้งชิวผู้เป็นภรรยา แต่อันที่จริงบัดนี้สิ่งมีชีวิตจำนวนมากทั้งบรรดาผู้เคารพ สิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ทั่วไป เทพโลกาทั้งหลายและผู้เยี่ยมยุทธ์ซึ่งควรค่าแก่การบ่มเพาะล้วนถูกอพยพมายังโบราณสถานเกาะใจกลางทะเลสาบ อย่างพวกอวี๋จิ้งชิวและผู้เคารพหั่วเฉิงซึ่งมิได้ร่วมสงครามด้วยก็ก็เพียงแค่รู้ข้อมูลพื้นฐานที่สุดเท่านั้น ผู้ที่มีสถานะต่ำกว่าก็ยิ่งรู้น้อยลงไปอีก
เพราะถึงอย่างไรเหล่าผู้ปกครองก็ไม่มีทางเปิดเผยสถานการณ์โดยละเอียดออกไปต่อสาธารณชนทุกเรื่องได้
ข้อแรก เป็นเพราะยังคงมีศิษย์ทรยศแอบแฝงอยู่ แล้วนำความลับไปเปิดเผยให้ลัทธิจอมมารดารู้ ข้อสอง ก็ไม่จำเป็นต้องนำข้อมูลมากมายไปบอกให้เหล่าผู้เคารพและบรรดาสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ล่วงรู้
ดังนั้นตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงรู้เรื่องสงครามครั้งนี้น้อยยิ่งนัก
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพูดถึงตรงนี้ก็หัวเราะขึ้นมา “ตอนแรกลัทธิจอมมารดาต่อสู้กับพวกเราอย่างร้ายกาจนัก ความเคลื่อนไหวของการต่อสู้ใหญ่หลวงเกินไป คลื่นที่แผ่ออกไปได้ทำลายบริเวณหลายแห่ง ทำเอาสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนล้มตายไป ทว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนมิอาจหลีกเลี่ยงได้ รอจนถึงคราวคับขันอย่างแท้จริง ลัทธิจอมมารดาก็ใช้ผู้ปกครองคลุ้งคาวเลือดหนีหลัวหมายจะลอบคิดบัญชีกับพวกเรา! พวกเราจึงได้ซ้อนแผน ทำให้พวกเขาเสียหายอย่างใหญ่หลวง และอ่อนแอในสงครามมากยิ่งขึ้น”
“จวบจนบัดนี้!”
“เจ้าดูทางนั้นสิ”
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตชี้ออกไปยังอากาศทางซ้ายตรงหน้า “ทางทิศนี้นี่แหละ เจ้าลองมองดูให้ดีๆ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงแหงนหน้ามองไป สายตาก็มองทะลุอุปสรรคของมิติ แล้วทะลุไปตรงหน้าอย่างต่อเนื่อง ไม่นานนักก็มองเห็นว่ากลางฟากฟ้ามีป้อมปราการทรงกลมอันแปลกประหลาดอยู่แห่งหนึ่ง ป้อมปราการสีเทาขาวนั้นเก่าแก่มาก เหนือผิวของมันมีลวดลายอันงดงาม ระดับความวิจิตรพิสดารนั้นยังเหนือกว่าเสาศิลาสีดำใต้ฝ่าเท้าอยู่ลิบลิ่ว
“สามารถตัดขาดการตรวจสอบของข้าได้ด้วยหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงอยู่บ้าง สายตาของตนมิอาจล่วงล้ำเข้าไปในป้อมปราการแห่งนั้นได้เลยหรือไร
“เห็นแล้วใช่หรือไม่ นั่นคือที่มั่นของลัทธิจอมมารดา” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตมองอยู่ห่างๆ “บัดนี้พวกเขารักษาการอยู่ในที่มั่น เสียดายก็แต่ว่า ที่มั่นนี้แข็งแกร่งเกินไป! พวกเราเคยลองมาหลายวิธีแล้ว แม้แต่พละกำลังต้องห้ามที่ทำให้พวกเราหวาดหวั่น…พวกเราก็เคยใช้โดยไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้น แต่กลับทำให้ป้อมปราการแห่งนั้นเสียหายมิได้เลย”
“สมบัติล้ำค่าที่พวกเขามีนั้นมากกว่าพวกเรามากโข” ประมุขหยวนชูกล่าว “เคราะห์ดีที่พลังโดยรวมของระบบการบำเพ็ญของเราแข็งแกร่งกว่าพวกเขา และยังมีคมมีดโลหิตเป็นผู้นำในทุกเรื่อง ทำให้แต่ละก้าวของพวกเราดำเนินไปอย่างรัดกุมและบีบพวกเขาให้ไปถึงทางตัน”
ผู้ครองชิงเอ่ยขึ้นว่า “ได้ยินมาว่าจักรวาลของพวกเขาดำเนินมาถึงยุคท้ายสุดแล้ว กำลังจะถล่มทลายในท้ายที่สุด แม้การถล่มทลายของทั้งจักรวาลจะช้ามาก แต่โบราณสถานต่างๆ ด้านในก็เริ่มเกิดความเสียหายแล้ว สมบัติล้ำค่าจำนวนมากภายในโบราณสถานก็จะถูกค้นพบ ดังนั้นสมบัติล้ำค่าของพวกเขาจึงย่อมเหนือกว่าพวกเราลิบลับ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงกระจ่างแจ้งขึ้นมาทันที
เหมือนกับโบราณสถานต่างๆ อย่างโบราณสถานเกาะใจกลางทะเลสาบและจักรฟ้าหกวิถี ที่มิอาจได้สมบัติล้ำค่าทั้งหลายมาไว้ในมือ
แต่ทันทีที่จักรวาลเริ่มถล่มทลาย โบราณสถานเหล่านี้ก็ย่อมถล่มทลายไปด้วยเป็นธรรมดา สมบัติล้ำค่าจำนวนมากก็จะปรากฏขึ้นมา
อีกทั้งจักรวาลลัทธิจอมมารดาก็ยังผ่านยุคจักรวาลต่างๆ มาเป็นจำนวนมาก ประวัติศาสตร์ก็ยาวนานกว่าจักรวาลผู้บำเพ็ญลิบลับ บัดนี้จะถล่มทลายลงไป สมบัติล้ำค่าจะมากมายเพียงใดกันเล่า