Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 11 การต่อสู้ระหว่างทาง
หัวหน้าใหญ่สิ้นใจไปแล้ว วัตถุต่างๆ ที่หัวหน้าใหญ่ทิ้งไว้ล่องลอยอยู่รอบด้าน ตงป๋อเสวี่ยอิงยังมิทันได้เก็บลงไป เงาดำสายหนึ่งก็พลันทะยานออกมาจากหนึ่งในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ จากนั้นก็หนีอย่างสุดชีวิต นั่นก็คือ ‘สัตว์ประหลาดเกล็ดสีดำ’ หัวหน้ารองก่อนหน้านี้นั่นเอง
“หนีรึ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวก้าวออกไปก้าวหนึ่ง แล้วก็หลบหลีกในอากาศไล่ตามไป เพียงส่งหอกยาวในมือออกไป ฟึ่บ ไม่ว่าจะพูดถึงการหลบหลีกในอากาศหรือว่าความพิสดารของวิถีหอก ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ล้วนเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศเหล่ากลืนกินพวกนี้อยู่ลิบลับ
“ไม่ ไม่…” สัตว์ประหลาดเกล็ดสีดำเปล่งเสียงคำรามอย่างไม่ยอมจำนนออกมา แต่ร่างกายของเขากลับประสบกับการทำลายล้างอย่างง่ายดาย ใบหน้าอันเหี้ยมเกรียมก็พลันแหลกสลายเป็นผุยผงไปในพริบตา แล้วทิ้งวัตถุต่างๆ เอาไว้จำนวนหนึ่งเช่นเดียวกัน
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวแค่นเสียงเฮอะคราหนึ่ง สำหรับสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศซึ่งเห็นผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนเป็นอาหารเหล่านี้ เขาไม่รู้สึกสงสารเลยสักนิด! อันที่จริงหากพูดจากก้นบึ้งหัวใจแล้วล่ะก็ ตอนที่เขาเพิ่งจากบ้านเกิดมา ก็ยังรู้สึกดีต่อสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศเป็นอย่างมาก เพราะบรรพชนของผู้ท่องอากาศก็คือสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศที่พิเศษเป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่ว่าจะเป็น ‘บรรพชนห้วงอากาศ’ หรือว่าตงป๋อเสวี่ยอิง ก็ไม่มีทางไว้น้ำใจพวกที่กลืนกินสิ่งมีชีวิตตามอำเภอใจอย่างหัวหน้าใหญ่เป็นอันขาด
เขาพลิกมือแล้วเก็บวัตถุต่างๆ ลงไปจนหมดแล้วหลอมแปรสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์และที่เก็บวัตถุบางอย่างดูเพื่อตรวจสอบ
“พกสมบัติล้ำค่าติดตัวจริงๆ เสียด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ ก่อนหน้านี้ตอนที่ตรวจสอบดูนั้น เขาเคยให้วิญญาณอาวุธน้ำเต้าสีดำตรวจดูหมู่วังที่ทอดยาวต่อเนื่องกันนั้นมาก่อน ก็มิได้พบสมบัติล้ำค่าที่ร้ายกาจแต่อย่างใด เห็นได้ชัดว่าหัวหน้าทั้งสามไม่เชื่อใจบ่าวรับใช้ของพวกเขา สิ่งที่สำคัญจึงต้องพกติดตัวเอาไว้
“วัตถุส่งสารหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกมือคราหนึ่งแล้วหยิบป้ายสีทองอันน่าพิศวงออกมา คิ้วขมวดเล็กน้อย “จะส่งสารผ่านอากาศอันสับสนอลหม่านนั้นยากมาก ยิ่งระยะห่างมากก็ยิ่งยาก เขาคงจะทำได้เพียงส่งสารให้ดินแดนอลหม่านบางแห่งที่อยู่ใกล้ๆ เท่านั้น ก็ไม่รู้ว่าข้าถูกเปิดโปงไปแล้วหรือยัง”
“ได้อะไรมาไม่น้อยเลยจริงๆ วัตถุพิเศษมากมายถึงเพียงนี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้ายินดีออกมา หากพูดกันอย่างจริงจังแล้ว เขาก็ยังนับว่าค่อนข้าง ‘ยากจน’ สมบัติล้ำค่าบนร่างของเขามีได้ก็เพราะฐานะศิษย์อาภรณ์ทองและฐานะของผู้ท่องอากาศซึ่งล้วนสำคัญอย่างยิ่ง มิอาจทำการแลกเปลี่ยนได้
ตอนที่เขาเพิ่งจากบ้านเกิดมานั้น สิ่งที่เคยสั่งสมมาก็ได้ทิ้งเอาไว้ให้จิ้งชิว อวี้เอ๋อร์และชิงเหยาแทบจะทั้งหมด ครั้งนี้สังหารเทพอากาศสามท่านก็ได้อะไรมายกใหญ่ ทั้งวัตถุประหลาดพิสดารต่างๆ อาวุธ สมบัติล้ำค่าและหุ่นเชิดก็ล้วนมีไม่น้อย น่าเสียดายที่เขามิได้ค้นคว้าหมื่นสรรพสิ่งเช่นเดียวกับท่านอาจารย์จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต สำหรับเขาแล้ว วัตถุพวกนี้ก็แค่ใช้สำหรับแลกเปลี่ยนเท่านั้น
“สมบัติล้ำค่ายิ่งมากก็ยิ่งดี ในภายหน้าจะได้ใช้แลกเปลี่ยนเพื่อช่วยเหลือพวกจิ้งชิวได้” บนใบหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มสายหนึ่งออกมา
……
เพียงชั่วหนึ่งจอกชาให้หลัง
ณ กลางอากาศ
ผู้บำเพ็ญกลุ่มใหญ่ของดินแดนจอมละโมบรวมตัวกันอยู่ที่นี่ นำโดยผู้ปกครองห้าท่านที่ได้รับการปลดปล่อยออกมา ยังมีผู้เคารพและสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ทั่วไป รวมทั้งเทพโลกาอีกกลุ่มหนึ่ง พวกเขาต่างก็รวมตัวกันอยู่ที่นี่ พลางมองไปยังผู้ที่ช่วยเหลือทั้งแผ่นดินอลหม่านของพวกเขาด้วยความซาบซึ้งใจ
“ผู้อาวุโสช่วยชีวิตพวกเราจำนวนนับไม่ถ้วนในแผ่นดินนี้เอาไว้ ตอนนี้พวกเรายังไม่ทราบนามของท่านผู้อาวุโสเลย” ผู้ปกครองชุดดำร่างผอมซูบซึ่งเป็นผู้นำคนหนึ่งเอ่ยอย่างซาบซึ้งด้วยความเคารพ
“ข้ามีนามว่าตงป๋อ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม
“ผู้อาวุโสตงป๋อ”
ผู้ปกครอง ผู้เคารพ สิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่และเทพโลกาเหล่านี้ล้วนเรียกขานโดยพร้อมเพรียงกัน แต่ละคนต่างโค้งคำนับด้วยความเคารพ การคำนับนี้ ข้อแรกก็เพราะพลัง ข้อที่สองก็ด้วยความซาบซึ้งใจ
ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดต่อว่า “ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะคลายใจได้ พวกเจ้าควรจะเข้าใจว่าสัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศเหล่านี้ นอกจากที่ข้าสังหารไปกลุ่มหนึ่งแล้ว ในแผ่นดินอลหม่านอื่นๆ ก็มีเช่นกัน หากข่าวที่นี่ยังไม่ถูกเปิดเผยออกไป ดินแดนจอมละโมบก็น่าจะปลอดภัยไปค่อนข้างนานทีเดียว แต่หากเปิดเผยออกไปแล้ว ก็อาจจะมีอันตรายได้ ข้าจะลอบปกป้องพวกเจ้าอย่างลับๆ เป็นเวลาแสนปี หากภายในแสนปีไม่พบศัตรู ข้าก็จะจากไป”
“ขอบคุณผู้อาวุโส” ผู้บำเพ็ญเหล่านี้ต่างก็ซาบซึ้งใจเหลือแสน
ผู้อาวุโสตงป๋อคนนี้ช่วยพวกเขาเอาไว้ก็ด้วยวาสนาต่อกันล้วนๆ เพราะถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยผูกสัมพันธ์กันมาก่อน เขายินดีปกป้องอย่างลับๆ เป็นเวลาแสนปีก็นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว
“สิ่งที่ข้าสามารถทำได้ก็มีเท่านี้เอง จากนี้ไปชะตาชีวิตของพวกเจ้าก็ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าเองแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย พูดจบเขาก็หมุนกายไปแล้วก้าวออกไปก้าวหนึ่ง ก่อนจะทะลุอากาศไปถึงส่วนที่สูงที่สุดของแผ่นดินอลหม่าน เขาทะลุผ่านสิ่งกีดขวางไป แล้วเข้าสู่อากาศอันสับสนอลหม่านที่กว้างใหญ่ไพศาล
ขณะที่ชนพื้นเมืองเหล่านี้มองส่งตงป๋อเสวี่ยอิงจากไป ในใจก็รู้สึกซับซ้อนนัก
ก่อนหน้าที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจะมา…พวกเขาล้วนใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความมืดมิด มองไม่เห็นความหวัง แต่ผู้อาวุโสตงป๋อที่ไร้เทียมทานซึ่งเป็นเพียงผู้ปกครองคนนี้ มาจากท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่าน แต่กลับสามารถสังหารสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศทั้งหมดซึ่งรวมถึงเทพอากาศสามท่านด้วยกำลังของตัวคนเดียวได้
“ผู้อาวุโสตงป๋อมีบุญคุณใหญ่หลวงต่อดินแดนจอมละโมบของพวกเรา ทุกท่านจงจำเอาไว้ให้มั่น”ผู้ปกครองชุดดำร่างผอมซูบกล่าว
“ต้องจำเอาไว้แน่นอนอยู่แล้ว”
ผู้บำเพ็ญเหล่านี้ไม่มีทางลืมวันนี้ไปได้ตลอดกาล
ตำนานเรื่องผู้อาวุโสตงป๋อก็ถูกเล่าขานกันปากต่อปากภายในดินแดนจอมละโมบแห่งนี้ ถึงขั้นนานแสนนานหลังจากนั้น ดินแดนจอมละโมบแห่งนี้ก็ได้มีผู้ที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งคนหนึ่งถือกำเนิดขึ้นแล้วเขาก็ได้ไปเยี่ยมคารวะตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยเหตุนี้ ทว่านั่นก็เป็นเรื่องหลังจากนั้นนานมากทีเดียว
*******
นอกดินแดนอลหม่าน
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่ท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านพลางอาศัยการสัมผัสรับรู้อากาศแผ่คลุมไปรอบแผ่นดินอลหม่าน
“ตามพิกัดตำแหน่งในแผนที่อากาศ หากแผ่นดินอลหม่านที่อยู่ใกล้ที่นี่มากที่สุดได้รับข่าวแล้วเร่งมาที่นี่ก็คงจะสามารถมาถึงได้ในเวลาสามหมื่นปี” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ หากมีใครเร่งมาจริงๆ แล้วล่ะก็ ปกป้องเป็นเวลาแสนปีก็เพียงพอแล้ว ถึงอย่างไรตนก็มิอาจปกป้องที่นี่ไปตลอดกาลได้
ทุกสิ่งทำตามใจ ทำสิ่งที่ตนควรทำ
ขณะเดียวกับที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังสัมผัสรับรู้อากาศนั้น ก็หลับตาเพื่อบำเพ็ญอย่างเงียบๆ ไปด้วย
ตามคำชี้แนะที่บรรพชนเทียนอวี๋ทิ้งเอาไว้ให้ การบำเพ็ญทางสายความเร้นลับของกฎเกณฑ์นั้นต้องรับรู้ศาสตร์ลับที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ หรือถึงขั้นคิดค้นศาสตร์ลับที่แข็งแกร่งอย่างมากขึ้นมาเอง! แล้วใฝ่หาขั้นสุดอย่างไม่หยุดหย่อน การเข้าใจความเร้นลับของกฎเกณฑ์ก็จะยิ่งลึกล้ำขึ้น เมื่อการสั่งสมลึกล้ำพอแล้ว การบรรลุก็สำเร็จไปเกือบหมดแล้ว
การฝึกกระบี่ที่หนึ่งของสิบสามกระบี่ผลาญโลกาได้สำเร็จนั้นทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงได้เปิดหูเปิดตาอย่างแท้จริง และยังรู้จักการใช้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์มากขึ้น ขณะที่เขาชมดูภาพค่ายกลชั้นที่ยี่สิบเอ็ดของวิชาลับผู้ท่องนั้น ที่ผ่านมาเขาแทบจะมองไม่ออกเลย ตอนนี้กลับพบว่ามีหลายแห่งที่พอจะดูแล้วเข้าใจได้
แท้ที่จริงแล้วนี่เป็นการยกระดับขั้นขึ้นอย่างช้าๆ
“ข้ารู้ตัวดี จึงไม่กล้าคิดที่จะคิดค้นศาสตร์ลับวิถีเข่นฆ่าที่แข็งแกร่งกว่ากระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกาขึ้นมา” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “ทว่ากลับสามารถนำความเร้นลับของวิถีระลอกคลื่นไปเสริมกระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกาได้”
“อื้ม เริ่มต้นเถิด”
ปรัชญาคลื่นลมก็คือศาสตร์ลับซึ่งเป็นการผสานกันระหว่างวิถีเข่นฆ่าและวิถีระลอกคลื่นที่ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดค้นขึ้นมาเอง
กระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกาสูงส่งเหลือเกิน!
สมบูรณ์แบบเสียจนไม่มีจุดให้แก้ไขอีกแล้ว! ทว่าวิถีระลอกคลื่นนั้นก็ใช้เพื่อส่งเสริม ‘เติมแต่งลวดลายบนแพรไหม’ ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าก็ยังสามารถลองดูได้ เพียงแต่อันที่จริงการเสริมก็ยากมากทีเดียว เพราะหากไม่ถูกต้องเพียงเล็กน้อยก็จะเป็นการ ‘วาดงูเติมขา’ ซึ่งเกินจำเป็นไปเสีย ถึงอย่างไรตงป๋อเสวี่ยอิงก็เป็นยอดฝีมือผู้คิดค้นปรัชญาคลื่นลมขึ้นมา จึงพอจะมีประสบการณ์อยู่แล้ว และมีความมั่นใจที่จะลองดู
……
เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปแสนปีแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวซึ่งอารักขาอยู่นอกดินแดนอลหม่านเปิดเปลือกตาขึ้น เขาไม่พบผู้ที่มาลอบโจมตีแต่อย่างใด
“ควรไปได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูแผ่นดินอลหม่านที่กว้างใหญ่ไพศาลด้านหลังแห่งนี้ จากนั้นก็หลบหลีกในอากาศจากไปอย่างเงียบๆ
เขาเร่งหลบหลีกในอากาศไปเป็นระยะเวลายาวนาน
หกพันกว่าปีให้หลัง
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองเห็นดินแดนอลหม่านอีกแห่งหนึ่ง
“ที่นี่คงจะถูกสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศครอบครอง” นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง “สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศที่กลืนกินและกวาดล้างสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านี้ล้วนสมควรตายทั้งสิ้น การประมือกับพวกเขาก็นับว่าเป็นการเคี่ยวกรำกระมัง”
สวบ สวบ สวบ
ทันใดนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ดำทั้งสามร่างก็ปรากฏขึ้น แต่ละร่างต่างก็พกเกราะพลมาด้วย พลางทะยานตรงไปทางดินแดนอลหม่านแห่งนี้พร้อมกัน
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้โง่เง่าจนไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของศัตรู เขาจึงย่อมต้องส่งร่างแปรออกไปบุกสังหารเป็นธรรมดา แต่หากข้างในมีสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นอยู่จริง เช่นนั้นร่างจริงของตนก็จะหนีออกไปไกลลิบท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่าน ทว่าตามที่คาดการณ์เอาไว้ โอกาสที่จะพบสิ่งมีชีวิตระดับ ‘เทพอากาศขั้นรวมเป็นหนึ่ง’ นั้นค่อนข้างต่ำ
……………………………………………