Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 24 สั่งสม
เขาพลิกตำราในมืออ่านดู ตัวอักษรและภาพอักขระแต่ละตัวบนนั้นล้วนกลายเป็นโลกลวงแห่งต่างๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนพลิกอ่านอยู่ตรงหน้าชั้นหนังสือโบราณ ทุกครั้งที่พลิกไปหน้าหนึ่ง ข้อมูลจำนวนมากก็ถูกส่งถ่ายเข้าสู่สมองเขาโดยตรง และนี่ก็คือสิ่งที่เหล่าผู้อาวุโสซึ่งเดินไปได้ไกลกว่าบนเส้นทางของ ‘วิถีโลกเทียม’ นำสิ่งที่ตนได้รู้แจ้งมาบันทึกลงไป
การถ่ายทอดวิถีนั้นยากนัก
เพราะเดิมทีวิถีก็ว่างเปล่าล่องลอยอยู่แล้ว จะพรรณนาให้ชัดเจนนั้นยากมาก! ดังนั้นการคารวะสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ ผู้เคารพและผู้ปกครองท่านหนึ่งเป็นอาจารย์…ก็มีข้อแตกต่างกันเป็นอย่างมาก ยิ่งเป็นผู้ที่มีระดับขั้นสูงเท่าไหร่ ตอนที่ถ่ายทอดวิถีก็จะสามารถอธิบายได้ละเอียดยิ่งกว่า และทำให้ชนรุ่นหลังเข้าใจได้ดีกว่า
คัมภีร์เหล่านี้ บ้างก็เป็นสิ่งที่เทพอากาศบางคนเขียนลงไป เมื่อผ่านการตรวจสอบจากตำหนักหมื่นรูปจนมั่นใจว่ามีคุณสมบัติพอจะวางเอาไว้ในตำหนักหมื่นรูปจึงจะเข้ามาวางได้ บ้างก็เป็นคัมภีร์ที่ขั้นรวมเป็นหนึ่งไปจนถึงขั้นอลวนเขียนไว้ หรือแม้แต่ ‘บรรพชนเทียนอวี๋’ ‘จอมกระบี่’ และยอดฝีมือด้านความเร้นลับของกฎเกณฑ์คนอื่นๆ ที่มิได้สังกัดวังทวีสูญเขียนเอาไว้
จากนั้นก็จัดวางเอาไว้ในชั้นต่างๆ กันไปตามระดับความล้ำค่าของคัมภีร์
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็อ่านด้วยความอดทนโดยไม่รีบเร่ง ทั้งยังครุ่นคิดและรับรู้โดยละเอียดอีกด้วย
……
เวลาดุจดั่งวารีที่ล่วงเลยไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งเป็นศิษย์อาภรณ์ทองที่มาจากจักรวาลแห่งหนึ่งท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านผู้นี้ เพิ่งจะมาถึงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ‘วังทวีสูญ’ ก็อยู่ในตำหนักหมื่นรูปมาโดยตลอด เขาพลิกอ่านคัมภีร์จนเหมือนกับคลั่งมารไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น
“เจ้าหนุ่มที่มาจากจักรวาลเดียวกับจอมมารและจอมกระบี่ที่มีนามว่าตงป๋อเสวี่ยอิงอะไรนั่นอยู่แต่ในตำหนักหมื่นรูปมาตลอดเลยหรือ”
ชายหญิงคู่หนึ่งบินอยู่กลางอากาศพลางสนทนากัน
“ถูกต้อง อยู่มาตลอด! คาดว่าที่ผ่านมาเขาคงจะไม่เคยได้อ่านคัมภีร์ความเร้นลับของกฎเกณฑ์มามากสักเท่าใดนัก เมื่อเห็นคัมภีร์จำนวนนับไม่ถ้วนภายในตำหนักหมื่นรูป แน่นอนว่าต้องคลั่งและลุ่มหลงอยู่ในนั้นเป็นธรรมดา ทำไมรึ ศิษย์พี่หญิงเฟิ่งอวิ๋น ท่านก็สนใจเขามากเหมือนกันหรือ ฮ่าฮ่า ตอนนี้ศิษย์เทพแท้ทั้งหลายในวังทวีสูญล้วนแต่เคยพูดถึงเขาด้วยกันทั้งนั้น”
“เฮอะ ข้าล่ะอยากจะประลองกับเขาสักตั้งจริงๆ ดูสิว่าเจ้าหนุ่มที่มาจากจักรวาลเดียวกับจอมมารและจอมกระบี่คนนี้จะมีพลังสักเท่าใดกัน ศิษย์อาภรณ์ทองรึ เฮอะ!” สตรีนัยน์ตาสีเงินอาภรณ์สีม่วงนางนั้นแค่นเสียงเฮอะอย่างเย็นชา
“ศิษย์พี่หญิงเฟิ่งอวิ๋น จักรวาลแรกเริ่ม นอกจากจอมมารและจอมกระบี่แล้ว ก็ไม่มีผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศซึ่งควรค่าแก่การพูดถึงอีก ว่ากันว่าจอมมารและจอมกระบี่นั้นอยู่ในยุคจักรวาลเดียวกัน เมื่อแย่งชิงกัน ขัดเกลาซึ่งกันและกันจึงโดดเด่นสะดุดตาทั้งคู่ได้ ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้ไหนเลยจะเทียบกับจอมมารและจอมกระบี่ได้เล่า”
“เจ้าช่วยข้านัดต่อสู้กับเขาที คิดหาวิธีให้เขายอมรับปากให้จงได้” สตรีนัยน์ตาสีเงินกล่าว
“ศิษย์พี่หญิง ท่านก็อย่าทำให้ข้าลำบากไปหน่อยเลย! แสนกว่าปีมานี้ มีศิษย์ตั้งเท่าไหร่ปรารถนาจะไปท้าทายเขา แต่เจ้าคนชื่อตงป๋อเสวี่ยอิงนี่กลับก้มหน้าก้มตาอ่านคัมภีร์เพียงอย่างเดียว เขาบอกกับทุกคนว่า…ให้นำศิลาปฐมโลกายี่สิบห้าก้อนมานัดรบกับเขาในศึกศิษย์เทพแท้! ตอนนี้เขาไม่รับคำท้าทายใดๆ หากจะรบกันก็ต้องรอให้ถึงศึกศิษย์เทพแท้เสียก่อน”
“เจ้าก็พูดให้เขาเปลี่ยนใจมิได้หรือ”
“ไม่ได้หรอก เขาหนักแน่นมั่นคงนัก”
สตรีนัยน์ตาสีเงินพยักหน้าน้อยๆ นัยน์ตากลับมีความรีบร้อนสายหนึ่งผุดขึ้นมา
ครั้งก่อนนางถูกจัดอยู่ในอันดับที่สิบห้า ดังนั้นจึงมีสถานะสูงมากในบรรดาศิษย์เทพแท้ แต่นางกลับโชคไม่ดีเป็นอย่างมาก จวบจนบัดนี้ยังไม่เคยเข้าอยู่ในสิบอันดับแรกได้เลย!
“ต้องเข้าอยู่ในสิบอันดับแรกให้ได้ จึงจะได้สมบัติล้ำค่าทั้งหลายมาอยู่ในมือ ทั้งยังอาจจะได้ศาสตร์ลับขั้นจักรวาลมาด้วย” สตรีนัยน์ตาสีเงินพูดพึมพำ ศาสตร์ลับขั้นจักรวาลนั้นเป็นถึงศาสตร์ลับประจำวันซึ่งมีมูลค่าเหลือประมาณได้ มันเป็นตัวแทนของความสำเร็จระดับยอดสุดแห่งระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์!
“พลังของข้า หากคิดจะเข้าอยู่ในสิบอันดับแรกให้ได้ก็เฉียดฉิวเกินไป! ไม่มั่นใจเอาเสียเลย!”
“หากสามารถได้อาวุธเทพอากาศของตงป๋อเสวี่ยอิงมา นั่นก็มีมูลค่าราวยี่สิบสามสิบศิลาปฐมโลกา ซึ่งสามารถเอาไปแลกเปลี่ยนเป็นสมบัติล้ำค่าที่ช่วยในการบำเพ็ญต่างๆ มาได้ บางทีอาจจะสามารถทำให้พลังของข้าก้าวหน้าไปอีกชั้นหนึ่งได้” สตรีนัยน์ตาสีเงินขบกรามแน่น “สมควรตาย เจ้าศิษย์อาภรณ์ทองนั่นได้ศาสตร์ลับประจำวังไปแล้ว แต่ข้ากลับไม่มีศาสตร์ลับประจำวัง หากจะเอาชนะก็ยากเกินไปแล้ว!”
และนี่ก็คือปัญหาใหญ่ที่สุดซึ่งศิษย์เทพแท้ทุกคนที่อยากจะทะยานขึ้นไปอยู่ในสิบอันดับแรกจะต้องเผชิญ!
ตัวศิษย์อาภรณ์ทองเองก็ร้ายกาจอยู่แล้ว ทั้งยังมีศาสตร์ลับประจำวังอีกด้วย
ส่วนศิษย์อาภรณ์ม่วงไม่มีศาสตร์ลับประจำวัง จะเอาชนะศิษย์อาภรณ์ทองในตอนแรก และเข้าไปสู่สิบอันดับแรกนั้น…ยากเย็นหาใดเปรียบ ทว่าก็เป็นเช่นนี้เอง ศิษย์อาภรณ์ทองคนใหม่ก็โดดเด่นสะดุดตานัก
แน่นอนว่ายังมีอีกวิธีหนึ่ง…เมื่อศิษย์อาภรณ์ทองในตอนแรกสำเร็จเป็นเทพอากาศก็จะเหลือตำแหน่งว่าง หากเป็นเช่นนั้นก็ง่ายแล้ว
……
“ศิษย์พี่ตงป๋อเสวี่ยอิง ได้ยินมาว่าศิษย์พี่มีพลังเยี่ยมยอด จะต่อสู้กับศิษย์น้องดูสักยกได้หรือไม่ พวกเราไม่วางเดิมพันกันก็ได้” เสียงหนึ่งลอยมาถึงข้างหู
ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงมุมโดยมีไหสุราวางอยู่ข้างกายเงยหน้ามองแวบหนึ่ง ตรงหน้าคือชายหนุ่มผิวขาวดุจหยวกกล้วยซึ่งแฝงรอยยิ้มเอาไว้บนใบหน้า บนหน้าผากของชายหนุ่มผู้นี้มีเขาเดี่ยวสีแดงอยู่เขาหนึ่ง ภายในลูกตาก็มีประกายสีแดงอยู่เช่นเดียวกัน เขาเกรงอกเกรงใจเป็นอันมาก “ไม่จำเป็นต้องวางเดิมพัน เพียงแค่ประลองกันดูหน่อยเท่านั้น”
“หากจะประลอง ก็ต้องรอจนถึงศึกศิษย์เทพแท้” ตงป๋อเสวี่ยอิงปริปาก “ตอนนี้ข้าไม่มีเวลา”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดจบก็ก้มหน้าลงอ่านคัมภีร์ต่อไป และยังหยิบไหสุราข้างกายขึ้นมาจิบสักคำเป็นครั้งคราว
ชายหนุ่มคนนี้ยืนอยู่ข้างๆ ช่วงหนึ่ง จากนั้นก็ถอยไปด้วยความกระอักกระอ่วนและจนใจ
……
เทพอากาศของวังทวีสูญมีจำนวนน้อยนิดยิ่งนัก อีกทั้งหากอ่อนแอก็จะถูกขับออกไปยังเมืองอลหม่านด้านนอก
แต่จำนวนศิษย์เทพแท้กลับมากมายนัก แม้จะคัดเลือกอย่างจำกัดมากแล้วก็ตามที แต่ถึงอย่างไรโลกทิพย์ก็กว้างขวาง ในอีกด้านหนึ่ง ตอนที่เป็นผู้ปกครองเทพแท้ก็พอจะมองเห็นความสามารถที่ซ่อนอยู่ในภายหน้าได้ ดังนั้นวังทวีสูญจึงยินดีรับคนให้มากหน่อยแล้วให้พวกเขาต่อสู้กันอย่างดุเดือดมาก
บัดนี้ ใกล้จะถึงศึกศิษย์เทพแท้แล้ว
“ต่อให้ไม่มีเดิมพัน คาดว่าก็คงอยากจะอาศัยศึกนี้เพื่อดูพลังที่แท้จริงของข้าให้รู้ชัดกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ รู้เขารู้เรา ก็จะมีส่วนช่วยในการท้าทายเป็นอย่างมาก! แม้ทุกคนจะพากันเชื่อว่าตงป๋อเสวี่ยอิงไม่มีคุณสมบัติพอจะเทียบกับศิษย์อาภรณ์ทองสิบอันดับแรกอย่างแท้จริงได้ แต่พวกเขาก็เชื่อว่า เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกอ่านคัมภีร์จำนวนนับไม่ถ้วนภายในตำหนักหมื่นรูป พลังก็จะยกระดับขึ้น จนอาจจะสามารถบุกเข้าไปสู่ยี่สิบสามสิบอันดับแรกได้
นี่ก็นับว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่มิอาจดูแคลนได้คนหนึ่งแล้ว! ดังนั้นจึงเริ่มจัดคนที่ค่อนข้างอ่อนแอมาเสาะหาข่าวคราว!
“น่าเสียดาย”
“เป้าหมายของข้ามิใช่ยี่สิบหรือสามสิบ หากแต่เป็นสิบอันดับแรก!” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพึมพำ “ข้าต้องได้ผลปัดจิตวิญญาณมาให้ได้!”
เพื่อคว้าชัย ตงป๋อเสวี่ยอิงย่อมไม่มีทางทะเล่อทะล่าเผยวิธีการต่อสู้ของตนออกมาให้คู่ต่อสู้มีเวลาพอจะคิดหาวิธีรับมือเขาได้อย่างแน่นอน! เมื่อศึกศิษย์เทพแท้ในภายหน้ามาถึง ค่อยเผยวิธีการออกมา ภายในระยะเวลาอันสั้น ก็ยากมากที่บรรดาผู้ที่เยี่ยมยอดเหล่านั้นจะหาวิธีกำราบได้
เพราะยิ่งเป็นอันดับต้นๆ มากเท่าไหร่ นอกจากผู้ที่เยี่ยมยอดอย่างยิ่งแค่ไม่กี่คนแล้ว อันที่จริงโดยทั่วไปความแตกต่างกันก็จะลดน้อยลงเรื่อยๆ หากวิธีการบังเอิญกำราบคู่ต่อสู้ได้พอดี ก็จะสามารถคว้าชัยได้
******
ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่กลับคูหา ไม่ผูกมิตร ตั้งใจพลิกอ่านคัมภีร์จำนวนนับไม่ถ้วนภายในตำหนักหมื่นรูปเพียงอย่างเดียว
บัดนี้สิ่งที่เขาพลิกอ่านเป็นหลักก็คือคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับวิถีโลกเทียม วิถีเข่นฆ่าและวิถีระลอกคลื่น!
บางครั้งเขาก็เผยสีหน้ายินดีออกมา แล้วดื่มสุราอย่างเบิกบานใจ
บางครั้งก็งุนงง ครุ่นคิดอย่างหนักหน่วง
บางครั้งก็กระจ่างแจ้ง
ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ของเขากำลังยกระดับขึ้นและขยายออกไปอย่างต่อเนื่องด้วยความเร็วอันน่าหวาดหวั่นนัก!
แท้ที่จริงแล้ว!
ผู้ที่มาจากจักรวาลเช่นพวกเขามีความเข้าใจเรื่องวิถีที่บกพร่องโดยแท้ เพราะโดยทั่วไปยุคจักรวาลนั้นล้วนไม่มีการชี้แนะจากเทพอากาศและขั้นรวมเป็นหนึ่ง และยิ่งไม่มีคำแนะนำของขั้นอลวนและเทพจักรวาลด้วย! ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในจักรวาลบ้านเกิด ตอนแรกผู้ที่ร้ายกาจที่สุดก็คือจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ซึ่งสิ่งที่จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเชี่ยวชาญก็คือ ‘วิถีคมมีดโลหิต’ ‘วิถีเงามืด’ และ ‘วิถีทำลายล้าง’ ซึ่งไม่สอดคล้องกับตงป๋อเสวี่ยอิงเลยสักสายเดียว!
ดังนั้นเมื่อบำเพ็ญในจักรวาล ช่วงแรกที่ยังเป็นเทพโลกาก็ยังมีการชี้แนะบ้าง แต่หลังจากสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่แล้ว ต่อไปก็ต้องอาศัยตนเองคลำทางท่ามกลางความมืดบอด
ค้างเติ่งอยู่ในขั้นเทพแท้ทั่วไปเป็นแสนล้านปีก็พบเห็นได้เป็นประจำ!
ผู้เคารพและผู้ปกครอง…ไม่ว่าระดับขั้นใดก็ตาม ค้างเติ่งอยู่ตลอดกาล ไม่มีทางคืบหน้าได้อีกก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อยยิ่งนัก
เพราะพวกเขาทำได้เพียงพึ่งพาตนเอง!
แต่ขณะเดียวกัน เนื่องจากทำได้เพียงพึ่งพาตนเองก้มหน้าก้มตาครุ่นคิด ดังนั้นทุกก้าวจึงล้วนแต่มั่นคงเป็นอันมาก อย่าง ‘จอมกระบี่’ เมื่ออยู่ภายในจักรวาลก็สามารถบำเพ็ญจนถึงขั้นอลวนได้ ช่างน่าเหลือเชื่อนัก เมื่อมาถึงวังทวีสูญและได้พลิกอ่านคัมภีร์เป็นจำนวนมาก ปัญหาต่างๆ มากมายที่เคยพบขณะก้มหน้าก้มตาบำเพ็ญเพียงลำพังก็จะค่อยๆ ถูกแก้ไขไปทีละเปลาะๆ อาจถึงขั้นมีแสงแห่งปัญญาตกกระทบแล้วรับรู้อะไรได้มากขึ้น สุดท้ายหลังจากเก็บตัวบำเพ็ญแล้ว ก็จะสามารถบรรลุถึงระดับขั้นยอดสุดได้
จอมมาร ก็สำเร็จเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งระดับยอดก่อน หลังจากมาถึงวังทวีสูญแล้วจึงเข้าสู่ขั้นอลวน
แน่นอนว่าผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่ที่พึ่งพาตนเองก็ล้วนแต่หยุดอยู่ที่ขั้นเทพแท้ ขั้นผู้เคารพและขั้นผู้ปกครอง
“ควรหยุดได้แล้ว”
จู่ๆ ก็มีวันหนึ่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงปิดคัมภีร์ลง แล้ววางกลับไปบนชั้นตำราโบราณ เขารู้สึกว่าในสมองรับรู้เกี่ยวกับวิถีโลกเทียม วิถีเข่นฆ่าและวิถีระลอกคลื่นมากมายยิ่งนัก บางส่วนนั้นเข้าใจจากผู้อาวุโส แต่ก็มีบันทึกของผู้อาวุโสบางคนที่ขัดแย้งกันเป็นบางส่วน
“ข้าต้องนำสิ่งที่ได้รับรู้เหล่านี้มาเรียบเรียงให้หมด แล้วซึมซับอย่างแท้จริง หลอมรวมเข้าไปในวิถีของข้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในข้อนี้ดี แม้จะมิได้อ่านตำราจนจบ แต่ตอนนี้ก็เพียงพอแล้ว
เขาหยิบไหสุราข้างกายขึ้นมา แล้วเดินมุ่งหน้าออกไปนอกตำหนักหมื่นรูป
นี่คือสามล้านสองแสนสามหมื่นปีหลังจากที่เขามาถึงวังทวีสูญแล้ว…แค่พลิกอ่านคัมภีร์ที่เหมาะสมกับตนเองบางส่วน ก็เสียเวลาไปมากมายถึงเพียงนี้แล้ว!
“ไปตำหนักกาลเวลา” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจ ตำหนักกาลเวลาคือสถานที่ที่เหมาะสมกับการบำเพ็ญของตนที่สุด
ฟิ้ว
ทันใดนั้น เขาก็แปรเป็นลำแสงแล้วทะยานออกจากประตูตำหนักหมื่นรูป ก่อนจะบินมุ่งหน้าไปทางตำหนักกาลเวลา
…………………………..