Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 25 การเปลี่ยนแปลงของเวลา
ตำหนักกาลเวลาก็อยู่บนแผ่นดินแขวนลอยของวังทวีสูญ เป็นสิ่งก่อสร้างอันแปลกประหลาดรูปทรงเจดีย์สามเหลี่ยมมุมสีดำ พอเข้าไปใกล้มัน ห้วงมิติเวลาก็บิดเบี้ยวน้อยๆ
ตงป๋อเสวี่ยอิงเหินลอยมาถึงประตูตำหนักของตำหนักกาลเวลา
ภายในช่องประตูตำหนักเต็มไปด้วยความมืดมนอนธการ ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยทักทายอย่างเคารพนบนอบ “ผู้อาวุโส ข้าต้องการเร่งเวลาให้เพิ่มความเร็วร้อยเท่าขอรับ”
“ได้สิ” น้ำเสียงแก่ชราเสียงหนึ่งดังลอยมา ในขณะเดียวกันนั้นพลังดูดกลืนขุมหนึ่งก็ลอยมาจากในประตูตำหนักแล้วห่อหุ้มตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้โดยตรง สวบ แล้วดึงลากตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไป
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าภาพตรงหน้าราวกับมายา แล้วพร้อมกันนั้นก็พบว่าฉากโดยรอบแปรเปลี่ยนไปเสียแล้ว
“ดาวเคราะห์” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูดาวเคราะห์ดวงนี้ที่ตนอยู่ในปัจจุบัน ดาวเคราะห์เต็มไปด้วยความแห้งแล้ง หนาวเหน็บเป็นที่สุด ดาวเคราะห์ทั้งดวงราวกับสร้างขึ้นจากน้ำแข็ง พื้นผิวดาวเคราะห์ยังมีเกล็ดหิมะล่องลอย นี่คือดาวเคราะห์ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียงแปดพันลี้ดวงหนึ่ง สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วก็เล็กเกินไปจริงๆ
เขาอยู่ที่จวนจ้าวตงป๋อในจักรวาลภูมิลำเนา ดาวเคราะห์ที่ดวงใหญ่สักหน่อยเช่นนี้ดวงหนึ่ง วางไว้ในจวนก็เป็นได้เพียงแค่เครื่องตกแต่งเท่านั้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยศีรษะ
ภายในห้วงอากาศอันดำมืดมีดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ อยู่อีกหลายดวง ดาวเคราะห์มากมายกำลังเคลื่อนหมุนอยู่ตลอดเวลาตามค่ายกลอันโบร่ำโบราณและลึกลับ พลังงานอันไร้รูปร่างก็ถูกเหนี่ยวนำให้มารวมตัวกันอยู่บนดาวเคราะห์ทุกดวง ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงหนึ่งเดียวบนดาวเคราะห์ที่เขาอยู่ พลังงานอันไร้รูปร่างนี้ก็รวมตัวกันเข้ามาทางเขา
“ช่างรู้สึกแปลกประหลาดจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าร่างกายล้วนผ่อนคลายลงเป็นอย่างมาก ดวงวิญญาณก็คล้ายจะละเอียดขึ้นด้วย
“มิน่าเล่าจึงมีมูลค่าสูงเช่นนั้น ผลของการบำเพ็ญดีกว่าคูหาศิษย์อาภรณ์ทองของข้าไม่น้อยเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยชม
ณ ตำหนักกาลเวลา
คือสถานที่บำเพ็ญภายในวังทวีสูญ ที่สามารถเพิ่มความเร็วของเวลาได้ การจะทำให้เวลาในมิติที่ผู้แกร่งกล้าอยู่เพิ่มความเร็วขึ้นและไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของความเร้นลับของกฎเกณฑ์ที่อยู่บริเวณรอบๆ นั้นเป็นเรื่องที่ยากเย็นอย่างยิ่ง เช่นการเร่งความเร็วที่บ้านเกิดของพวกตงป๋อเสวี่ยอิงก็จะส่งผลกระทบต่อความเร้นลับของกฎเกณฑ์
อย่าง ‘จักรวาลคีรีมาร’ ก็จะรักษาเสถียรภาพของกฎเกณฑ์ แต่นั่นคือจักรวาลขนาดใหญ่ยักษ์ที่บรรพชนทุ่มราคามหาศาลเพื่อหลอมขึ้นมา แม้กระทั่งบรรดาเทพอากาศโดยทั่วไปต่างก็อาศัยอยู่ภายใน ‘บรรพคีรีมาร’ เพราะยิ่งระดับสิ่งมีชีวิตยิ่งสูงขึ้น ความรับผิดชอบที่มีต่อจักรวาลคีรีมารก็ยิ่งใหญ่ขึ้น
‘ตำหนักกาลเวลา’ ก็คือสมบัติชั้นยอดที่บรรพชนเทียนอวี๋สรรสร้างขึ้น
หากจะสัญจรราคาก็สูง ดังนั้นหากคิดจะเข้าไปบำเพ็ญก็ต้องยอมจ่ายด้วยสมบัติล้ำค่า
ผู้ปกครองเทพแท้ ถ้าหากเร่งความเร็วของเวลาขึ้นร้อยเท่าเป็นระยะเวลาหนึ่งร้อยล้านปีก็ต้องใช้ศิลาปฐมโลกาก้อนหนึ่ง! แน่นอนว่าหนึ่งร้อยล้านปีนี้คือระยะเวลาของโลกภายนอก ภายในตำหนักกาลเวลาคือระยะเวลาหมื่นล้านปี
เทพอากาศ เร่งความเร็วของเวลาขึ้นร้อยเท่า หนึ่งร้อยล้านปี ก็ต้องใช้ศิลาปฐมโลกาห้าก้อน
ขั้นรวมเป็นเอกภาพ เร็วขึ้นร้อยเท่า หนึ่งร้อยล้านปี ต้องใช้ศิลาปฐมโลกายี่สิบห้าก้อน
ขั้นอลวน เร็วขึ้นร้อยเท่า หนึ่งร้อยล้านปี ต้องใช้ศิลาปฐมโลกาหนึ่งร้อยก้อน!
นี่ยังเป็นเพียงแค่การเร่งความเร็วของเวลาขึ้นร้อยเท่า ถ้าหากเร่งความเร็วของเวลาขึ้นพันเท่า…ราคาก็จะพุ่งพรวดขึ้นร้อยเท่าในทันที!
สำหรับการเร่งเวลาหมื่นเท่า… เช่นนั้นมูลค่าก็น่ากลัวเหลือเกิน ‘ขั้นอลวน’ นั้นห้ามเร่งเวลาหมื่นเท่า เพราะความรับผิดชอบของสิ่งมีชีวิตขั้นอลวนต่อ ‘ตำหนักกาลเวลา’ นั้นใหญ่หลวงเกินไป เช่น ‘จักรวาลคีรีมาร’ นั้นอ่อนแอกว่าตำหนักกาลเวลา เทพอากาศก็ต้องใช้ชีวิตตามปกติอยู่ภายในบรรพคีรีมาร ขั้นรวมเป็นเอกภาพก็ยิ่งต้องอยู่ที่บรรพคีรีมาร หรือไม่ก็ต้องไปจากจักรวาล! ส่วนขั้นอลวนก็ต้องไปจากจักรวาลอย่างแน่นอนอยู่แล้ว
แน่นอน…
ที่นี่พูดว่าเป็น ‘หนึ่งร้อยล้านปี’ สำหรับผู้แกร่งกล้าโดยทั่วไปแล้ว ต่างก็เป็นกังวลกับเรื่องเวลา ล้วนต้องการยกระดับพลังยุทธ์ภายในระยะเวลาอันสั้นด้วยกันทั้งสิ้น จึงได้เข้าสู่ตำหนักกาลเวลา! อย่างเช่นเข้ามาบำเพ็ญล้านปี เช่นนั้นค่าใช้จ่ายก็ย่อมต่ำลงมากแล้ว
“ข้าเป็นศิษย์อาภรณ์ทอง มีจุดความดีความชอบหนึ่งพันจุด อย่างมากที่สุดก็สามารถบำเพ็ญได้ร้อยล้านปี” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ
จุดความดีความชอบ…
ภายในวังทวีสูญ การรับภารกิจหรือหากตำราที่ตนเขียนออกมามีคุณสมบัติพอที่จะได้เข้าไปวางในตำหนักหมื่นรูป ล้วนมีจุดความดีความชอบเป็นรางวัล! อย่างเช่นสถานะตัวตนที่สูงพอดังเช่นศิษย์อาภรณ์ทอง ผู้อาวุโสตำหนักใน และประมุขวัง ทุกหนึ่งพันล้านปีต่างก็มีจุดความดีความชอบเป็นรางวัล
หนึ่งหมื่นจุดความดีความชอบเท่ากับศิลาปฐมโลกาหนึ่งก้อน! ก็สามารถจับจ่ายซื้อของได้มากมายภายในวังทวีสูญ
แต่มีอยู่อย่างหนึ่ง…
ภายในวังทวีสูญ ศิลาปฐมโลกาสามารถแลกเปลี่ยนกับจุดความดีความชอบได้ แต่จุดความดีความชอบกลับมิอาจแลกเปลี่ยนกับศิลาปฐมโลกาได้! รางวัลที่วังทวีสูญมอบให้ล้วนแล้วแต่เป็นสมบัติล้ำค่า เช่นจุดความดีความชอบและอื่นๆ แต่กลับไม่มีทางมอบศิลาปฐมโลกาให้
******
เวลาของตงป๋อเสวี่ยอิงล้ำค่าอย่างยิ่ง เขาต้องการกลับไปยังบ้านเกิดก่อนถึงจุดสิ้นยุคจักรวาล ทำให้จิ้งชิวและอวี้เอ๋อร์สามารถบรรลุได้
ดังนั้นเขาจึงหวงแหนเวลาทุกวินาที เขากำหนดให้มายัง ‘ตำหนักกาลเวลา’ บ่อยๆ นี่เป็นการบีบบังคับให้เขาเพียรพยายามหาสมบัติล้ำค่ามาให้ได้มากยิ่งขึ้น
“พรึ่บ…”
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิลงบนชั้นน้ำแข็งหนาวเหน็บ ดาวเคราะห์ดวงนี้เต็มไปด้วยความเดียวดาย มีเขาที่เป็นวิญญาณมีชีวิตอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น
ในขณะนี้ เขาเริ่มคิดใคร่ครวญสิ่งที่เก็บเกี่ยวได้จากการอ่านตำราจำนวนนับไม่ถ้วนในตำหนักหมื่นรูปอยู่ในห้วงสมอง ถึงขนาดเริ่มพิสูจน์อยู่ตลอดเวลา ข้อมูลจำนวนมหาศาลที่เรียนรู้จากการพลิกตำรามาสามล้านกว่าปี มีบางส่วนที่ได้ซึมซับ มีบ้างที่ไม่เหมาะสมกับตนเองแล้วโยนทิ้งไปทางหนึ่ง!
การพิสูจน์แล้วซึมซับเช่นนี้เนิ่นช้ากว่าการพลิกตำราแล้วหยั่งรู้มากมายนัก
กว่าแปดสิบล้านปีเต็มๆ จึงจะสามารถซึมซับได้ทั้งหมด
“วิถี…”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่บนดาวเคราะห์ มองดูดาวเคราะห์ดวงแล้วดวงเล่าที่โคจรล้อมรอบแล้วก็อดคลี่ยิ้มมิได้ “ไม่เข้าใจก็คือไม่เข้าใจ ติดอยู่ตรงนั้น หลายร้อยล้านปีก็ยังมิอาจเข้าใจได้กระจ่าง แต่พอเข้าใจแล้วต่อไปก็จะง่ายดายขึ้นมากแล้ว”
ที่จักรวาลภูมิลำเนา หลังจากกลายเป็นผู้ปกครองแล้ว เขาก็บำเพ็ญต่ออีกเป็นเวลาหนึ่งพันล้านปี!
แม้กระทั่งยามที่จากบ้านเกิดมาล่องลอยอยู่ท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่าน ก็ยังหยั่งรู้วิชากระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกา! พอไม่มีผู้ใดชี้แนะ ภายใต้สถานการณ์ที่อาศัยตนเองคลำทางล้วนๆ เขาก็ประสบความสำเร็จอย่างสูงยิ่งแล้ว
ตอนนี้หลังจากที่พลิกอ่านตำรามามากมายแล้วซึมซับ เขาก็ไม่มีความสงสัยใน‘ขั้นผู้ปกครอง’ จนถึง ‘เทพอากาศ’ อีกต่อไปแล้ว
“ผู้ปกครอง ขึ้นกับ ‘ความบริสุทธิ์’! จิตใจต้องบริสุทธิ์ วิถีก็ต้องบริสุทธิ์ วิถีต้องสมบูรณ์แบบมากพอจึงจะเป็นนิรันดร์” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ “แต่ทว่าเทพอากาศกลับขึ้นกับ ‘ความยิ่งใหญ่’ ขึ้นกับ ‘ความอดทน’ ขึ้นกับ ‘ความสมดุล’ แล้วก็ขึ้นอยู่กับระบบกฎเกณฑ์”
อย่างเช่นวิถีโลกเทียม ก็เป็นเพียงแค่วิถีสายหนึ่งเท่านั้น
หากอยากจะกลายเป็น ‘เทพอากาศ’ โดยอาศัยวิถีโลกเทียม ก็จำเป็นต้องให้วิถีโลกเทียมซึมซับความเร้นลับของกฎเกณฑ์อื่นๆ มากมาย ก่อให้เกิดเป็น ‘ระบบกฎเกณฑ์’ ระบบหนึ่งที่มีวิถีโลกเทียมเป็นแกนหลัก
ต้องรู้เอาไว้ว่ากฎเกณฑ์ที่ขับเคลื่อนจักรวาล ก็เป็นกฎเกณฑ์นานาชนิดรวมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว มิใช่ลำพังเพียงวิถีเดียว
ต้องการจะเป็นเทพอากาศ
ได้ ‘วิถีโลกเทียม’ เป็นแกนหลัก ความเร้นลับของกฎเกณฑ์อื่นๆ จำนวนหนึ่งรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบกลายเป็นระบบกฎเกณฑ์ระบบหนึ่ง ตะเกียบอันหนึ่งก็สามารถทำลายได้โดยง่าย เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วตะเกียบคู่หนึ่งก็ยังทนทานกว่ามาก พอสร้างระบบกฎเกณฑ์ขึ้นมาได้แล้ว ‘อาณาเขตของกฎเกณฑ์’ ที่สร้างขึ้นก็จะสมบูรณ์แบบเป็นอย่างยิ่ง พลังคุกคามก็แกร่งกล้าเป็นอย่างมาก
ข้อเรียกร้องของกฎเกณฑ์อื่นๆ ก็ไม่สูงนัก อย่างเช่น ‘วิถีกาลมิติ’ และ ‘วิถีจุดสูงสุด’ เป็นต้น ราวกับแผ่นกระเบื้อง ดูดซึมเข้าสู่แก่นใจกลางของ ‘วิถีโลกเทียม’ กลายเป็นระบบที่สมบูรณ์แบบระบบหนึ่ง
ในบรรดาวิถีสามสายของตงป๋อเสวี่ยอิง ‘วิถีโลกเทียม’ มีความทนทานมากที่สุด บวกกับพื้นฐานของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ ถ้าหากตั้งใจจะหยั่งรู้จริงๆ เขาก็มั่นใจว่าใช้เวลาสักหน่อยก็จะสามารถบรรลุได้แล้ว! แต่ว่า… พอบรรลุแล้วเขาก็จะเป็นเทพอากาศ ก็จะไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมการประลองของศิษย์เทพแท้ สมบัติล้ำค่าเช่น ‘ผลปัดจิตวิญญาณ’ ก็จะไม่มีอีกแล้ว พอโอกาสผ่านเลยไป หากคิดจะได้มาอีกก็ยากแล้ว นี่คือการบ่มเพาะพิเศษสำหรับศิษย์อาภรณ์ทองของวังทวีสูญ แม้กระทั่งศิษย์อาภรณ์ทองก็จะได้มาเฉพาะครั้งแรกที่ได้จัดเข้าเป็นสิบคนแรกในการประลองจัดอันดับเท่านั้น
“มุ่งมั่นตั้งใจบำเพ็ญศาสตร์ลับเพียงอย่างเดียวก่อนเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่เร่งร้อนที่จะบรรลุ อยู่ในลำดับขั้นต่ำแล้วใช้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ที่อ่อนแอกว่าไปหยั่งรู้ศาสตร์ลับที่แข็งแกร่งกว่า ก็เป็นการขัดเกลาการหยั่งรู้อย่างหนึ่งเช่นกัน
การหยั่งรู้ก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตา การขัดเกลา และความเปลี่ยนแปลงด้วย
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงเทความนึกคิดจิตใจไปไว้ที่ตาข่ายสวรรค์ไร้เงา สามพันร่างแปร คัมภีร์รัศมีเทพ และสิบสามกระบี่ผลาญโลกาที่แข็งแกร่งที่สุด แน่นอนว่าในท้ายที่สุดเขาก็ต้องการรวมวิชากระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกากับความเร้นลับวิถีระลอกคลื่นของตนเข้าด้วยกัน ต้องการที่จะสร้างปรัชญาคลื่นลมบทใหม่ขึ้นมา
ขณะที่ซึมซับแก่นแท้ของตำราจำนวนมากมาย ก็ยิ่งเข้าใจวิถีโลกเทียม วิถีเข่นฆ่าและวิถีระลอกคลื่นได้อย่างลึกล้ำ กระทั่งหลังจากที่มีความมั่นใจว่าจะไปถึงขั้นเทพอากาศได้แล้ว ตอนนี้แม้กระทั่ง ‘กระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกา’ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจจุดประสงค์บางส่วนที่ในตอนแรกบรรพชนเทียนอวี๋สรรสร้างขึ้นเช่นนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว
ในอดีตเรียนรู้เพื่อนำไปใช้ แต่กลับไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดจึงสรรสร้างขึ้นเช่นนี้
ตอนนี้โลกทัศน์เปิดกว้างขึ้นไม่รู้กี่เท่า แต่พอมีความเข้าใจแล้ว เขาก็ยิ่งมีความมั่นใจกับ‘ความเสร็จสมบูรณ์’ มากยิ่งขึ้น
……
กาลเวลาไหลผ่าน ภายในตำหนักกาลเวลา บนดาวเคราะห์ที่เดียวดายดวงนี้เพียงชั่วพริบตาก็ผ่านไปสองสามร้อยล้านปีแล้ว เวลาของโลกภายนอกก็ผ่านไปกว่าสามล้านปีแล้ว รอคอยมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ก็หักลบไปถึงสามร้อยยี่สิบกว่าจุดความดีความชอบ!
“คิดไม่ถึงว่าเป็นเทพอากาศ ใครจะคิดว่าวิชาลับผู้ท่อง ภาพค่ายกลขั้นที่ยี่สิบเอ็ดก็หยั่งรู้สำเร็จแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงที่สวมอาภรณ์สีทองทั้งร่างก็ส่ายหน้าพลางแย้มยิ้ม ยังดีที่วิชาลับผู้ท่องและความเร้นลับของกฎเกณฑ์ไม่เหมือนกัน หยั่งรู้แล้ว ก็ต้องซึมซับพลังของอากาศอันสับสนอลหม่านในการบำเพ็ญจึงสามารถยกระดับไปถึงขั้นเทพอากาศได้
ส่วนความเร้นลับของกฎเกณฑ์ พอหยั่งรู้แล้ว เช่นนั้นก็บรรลุแล้ว
ดังนั้นขอเพียงแค่ไม่บำเพ็ญชั่วคราว ก็ยังคงเป็นผู้ปกครองเช่นเดิม
“สรรสร้างปรัชญาคลื่นลมบทใหม่สำเร็จแล้ว พลังยุทธ์ของข้ามิอาจขยับเข้าใกล้กว่านี้ได้ชั่วคราว ถ้าหากบำเพ็ญวิถีโลกเทียม วิถีเข่นฆ่า และวิถีระลอกคลื่น หากบรรลุโดยไม่ระวัง ข้าก็จะซ่อนวิญญาณอาวุธของตำหนักกาลเวลาแห่งนี้เอาไว้มิได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ “ออกไปเถิด ข้าเพิ่งจะอ่านตำราภายในตำหนักหมื่นรูปไปได้เพียงแค่ส่วนเล็กๆ เท่านั้น อ่านต่อไปดีกว่า!”
“ผู้อาวุโส”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยด้วยเสียงกังวาน “ข้าต้องการไปจากตำหนักกาลเวลา”
ปัง…
พลังมิติเวลาอันไร้รูปร่างขุมหนึ่งห่อหุ้มตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้แล้วเคลื่อนย้ายออกไปโดยตรง
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าตรงหน้าพร่าเลือน ก็มาถึงนอกประตูของตำหนักกาลเวลาแล้ว คำนวณดูแล้วก็เพิ่งมาถึงวังทวีสูญได้หกล้านปีกว่าเท่านั้น ยังห่างจากการประลองศิษย์เทพแท้อีกยี่สิบแปดล้านปี ยังมีเวลาอีกเหลือเฟือนัก
พลังยุทธ์ใกล้จนไม่รู้จะใกล้อย่างไร แต่กระบี่ที่สองผลาญโลกาก็ยังหยั่งรู้ไม่กระจ่าง ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงภายในตำหนักหมื่นรูปอีกครั้งอย่างง่ายดายแล้วดื่มสุราต่อไป พลิกดูตำราจำนวนนับไม่ถ้วนอย่างสบายๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของผู้แกร่งกล้าแห่งยุคจำนวนนับไม่ถ้วน บ้างก็ยังมีชีวิตอยู่ บ้างก็เป็นการตกผลึกทางปัญญาของผู้แกร่งกล้าที่สิ้นชีพไปแล้วเหล่านั้น ยามที่อ่านก็ราวกับกำลังฟังคำสั่งสอนชี้แนะของผู้แกร่งกล้าท่านแล้วท่านเล่า ความรู้สึกที่ได้รับเช่นนี้ ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเคลิบเคลิ้ม
…………………………………