Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 3 ลงมือครั้งแรก
ภายในแผ่นดินอลหม่าน
ที่นี่ก็มีสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังวิวัฒน์และบำเพ็ญอยู่
“เร็วๆๆ”
“เร็วเข้า”
บ่าวรับใช้กลุ่มหนึ่งรีบเข้าไปภายในโถงตำหนักอันมืดมิดอย่างรวดเร็ว เหนือโถงตำหนักมีสัตว์ประหลาดที่แปรเป็นรูปร่างมนุษย์ได้อย่างพอถูไถตนหนึ่งหมอบอยู่ เขาเหลือบมองลงมาเบื้องล่าง หลังจากบ่าวรับใช้กลุ่มหนึ่งเข้ามาแล้วก็รีบโบกมือ ทันใดนั้นภายในโถงตำหนักก็มีกรงใหญ่มากมายปรากฏขึ้น บางกรงก็มีมนุษย์กลุ่มหนึ่งถูกขังอยู่ข้างใน บางกรงก็มีสัตว์กลุ่มหนึ่งถูกขังเอาไว้ บางกรงก็มีสิ่งมีชีวิตจำพวกพืชต่างๆ…ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ อย่างน้อยพวกเขาก็เป็นระดับเทพโลกา ทว่าต่างก็ถูกผนึกกำลังเอาไว้เหมือนกันทั้งสิ้น
“นายท่าน อาหารมาส่งแล้วเจ้าค่ะ” บรรดาบ่าวรับใช้เหล่านี้ต่างก็พูดด้วยความตื่นตระหนก
“อื้ม”
สัตว์ประหลาดที่หมอบอยู่บนนั้นอ้าปากขึ้นมา
ฟิ้ว กรงหนึ่งลอยเข้าไป ขณะที่ลอยเข้าไปนั้นก็หดเล็กลงเรื่อยๆ จากนั้นก็กลายเป็นจุดเล็กๆ ลอยเข้าไปในปากใหญ่ดุจแอ่งโลหิตของมัน หลังจากกินเข้าไปแล้วท้องของเขาก็กระเพื่อมไหว
“ไม่มีเหตุปัจจัยแล้ว” บ่าวรับใช้เหล่านี้แต่ละคนล้วนเป็นระดับสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ทั่วไป จึงสามารถสัมผัสได้ว่าเหตุปัจจัยของผู้ที่เข้าไปนั้นล้วนไม่เหลืออยู่แล้ว พวกเขาอดเศร้าโศกเป็นอย่างมากมิได้ เพียงแต่มิกล้าเผยสีหน้าผิดแผกออกมาเท่านั้น
สัตว์ประหลาดเคี้ยวกินดังกร้วมกร้าม สิ่งมีชีวิตจำพวกต่างๆ ที่บำเพ็ญทั้งมนุษย์ สัตว์และพืช…ล้วนถูกกลืนกินลงท้องไป
เมื่อกินไปได้ครึ่งหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้น “มีผู้มาจากภายนอกเข้ามาด้วยหรือนี่!”
สวบ!
เขาพลันเคลื่อนที่ในอากาศหายวับไปทันที
บ่าวรับใช้เหล่านี้แต่ละคนพากันถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ทว่าพวกเขาก็ยังคงมองออกไปด้านนอกอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ดีร้ายอย่างไรพวกเขาก็เป็นสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ ภาพที่สามารถมองเห็นได้ผ่านการกีดขวางของอากาศ ณ ที่ไกลออกไป ก็คือชายหนุ่มชุดดำคนหนึ่งที่กำลังร่อนลงมายังแผ่นดินอลหม่านแห่งนี้
“ผู้มาจากภายนอกหรือ เป็นมนุษย์อย่างนั้นหรือ” บรรดาบ่าวรับใช้พากันตื่นเต้น
“ผู้ที่ท่องไปในอากาศอันสับสนอลหม่าน โดยทั่วไปล้วนเป็นเทพอากาศด้วยกันทั้งสิ้น อีกทั้งเมื่อดูจากรูปร่างของเขา ต่อให้สัตว์ประหลาดพวกนั้นแปลงเป็นรูปร่างมนุษย์ ก็ยังชอบคงศีรษะและเกราะอันอัปลักษณ์ของพวกเขาเอาไว้ ผู้มาจากภายนอกคนนี้น่าจะเป็นผู้บำเพ็ญทั่วไป”
“พวกเรามีหวังแล้วอย่างนั้นหรือ”
“เขามาช่วยพวกเราหรือ”
บ่าวรับใช้เหล่านี้สบตากันไปมา ทั้งตื่นเต้นและจิตใจไม่สงบ พวกเขายังถึงขั้นลอบส่งข่าวให้กันอีกด้วย
บรรดาสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ในบรรดาผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนของแผ่นดินอลหม่านแห่งนี้ต่างก็ล่วงรู้ข่าวนี้…ผู้บำเพ็ญที่แข็งแกร่งคนหนึ่งจากอากาศอันสับสนอลหม่านที่มาเยือนนั้นได้ร่อนลงมาแล้ว เป็นไปได้มากว่าจะทำการต่อสู้กับสัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศเหล่านั้น
ในใจของพวกเขาก็เข้าใจดีว่า โอกาสที่พวกเขาจะได้รับความช่วยเหลือนั้นต่ำอย่างยิ่ง เพราะบรรดาผู้แกร่งกล้ามักจะไม่ทุ่มเทชีวิตให้กับคนแปลกหน้าง่ายๆ! ขณะเดียวกันพวกเขาก็รู้ว่า พลังของสัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศเหล่านี้น่ากลัวเพียงใด ต่อให้ผู้ที่มาเยือนเป็นเทพอากาศ โอกาสที่จะช่วยเหลือพวกเขาได้ก็ต่ำมากอยู่นั่นเอง
แต่ว่า…
ต่อให้ต่ำกว่านี้ ก็เป็นความหวังนี่นา!
วันคืนของพวกเขาดำมืดไปหมดจนมองไม่เห็นความหวังเลย บัดนี้สามารถมองเห็นความหวังได้สายหนึ่ง ก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาตั้งตารอคอยด้วยความตื่นเต้นได้แล้ว
******
ชั่วขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงร่อนลงไปนั่นเอง ก็สัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นอันไร้รูปร่าง
“ไม่ดีแล้ว มีค่ายกลเตือนภัย ทันทีที่ข้าเข้าไปก็ถูกพบเข้าเสียแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในข้อนี้ เคราะห์ดีที่ร่างของเขาที่ปรากฏขึ้นมาเป็นเพียงร่างแยกเท่านั้น ยามนี้ร่างจริงของเขาก็ปลดปล่อยการรับรู้ที่มีต่ออากาศออกมา แล้วแผ่คลุมไปทั่วทั้งอากาศและผืนดินในทันที
“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสงสัยขึ้นมา
แผ่นดินอลหม่านแห่งนี้มีสิ่งมีชีวิตทั่วไปจำนวนนับไม่ถ้วนอาศัยอยู่ มีทั้งปุถุชน ระดับเหนือธรรมดา ขั้นเทพ เทพโลกา และเทพแท้
แต่มีเทพโลกาไปจนถึงเทพแท้จำนวนมากที่ถูกคุมขังเอาไว้! ขณะเดียวกันผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดกลับเป็นสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศฝูงหนึ่ง! สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศถึงสิบหกตน อ้อ ยังมีวังอันกว้างใหญ่สะดุดตาที่สุดอีกแห่งหนึ่งที่มีค่ายกลอันร้ายกาจยิ่งอยู่ ด้วยความสามารถในการสัมผัสรับรู้อากาศของตนนั้นมิอาจแทรกซึมเข้าไปตรวจสอบได้
“สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศเข้าไปยังแผ่นดินอลหม่านแล้วบัญชาการที่นี่หรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ “แต่เหตุใดจึงกักขังผู้บำเพ็ญเหล่านั้นเอาไว้เสียเล่า”
สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศก็มีปัญญาเช่นกัน ครอบครองแผ่นดินอลหม่านสักแห่งก็ไม่น่าแปลกใจ ทว่าโดยทั่วไปมักจะอยู่ร่วมกันได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว
“ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว”
อากาศรอบด้านสั่นสะเทือนไปหมด เงาร่างสายแล้วสายเล่าปรากฏขึ้นมา ซึ่งก็คือสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศตนแล้วตนเล่าซึ่งทะลุอากาศมาแล้วปรากฏกายขึ้น บัดนี้พวกเขาล้วนแปรเป็นรูปร่างมนุษย์อย่างพอถูไถ โดยยังคงลักษณะพิเศษบางอย่างเช่นกรงเล็บ เกล็ด และศีรษะอันอัปลักษณ์เอาไว้ พวกเขาต่างพากันจับจ้องตงป๋อเสวี่ยอิง ดวงตาล้วนทอประกาย
“ข้าท่องไปในอากาศอันสับสนอลหม่านแล้วผ่านมาที่นี่ จึงตั้งใจมาคารวะเยี่ยมเยียนโดยเฉพาะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ ในใจกลับยิ่งระแวดระวังมากขึ้น “หลังจากสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศมีปัญญาค่อนข้างสูงส่งแล้ว โดยทั่วไปก็มักอยู่ร่วมกับผู้บำเพ็ญโดยสันติ แต่เมื่อพวกเขาเห็นข้า แววตาก็ดูเหมือนไม่ค่อยชอบมาพากลนัก ราวกับมองเห็นเหยื่ออย่างไรอย่างนั้นหรือ”
“อ้อ มาเยี่ยมหรอกรึ” สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศถึงหกตนปรากฏกายขึ้น สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศรูปร่างผอมสูงในจำนวนนั้นเอ่ยขึ้น “ผู้ปกครองอย่างเจ้าคนหนึ่งก็สามารถท่องไปในอากาศอันสับสนอลหม่านได้ด้วยอย่างนั้นหรือ เพราะอาศัยวัตถุภายนอก หรืออาศัยวิธีการเคลื่อนที่ชนิดพิเศษกันเล่า”
“พบกันครั้งแรก ก็ถามเรื่องที่เป็นความลับถึงขั้นนี้แล้ว คงไม่ดีสักเท่าใดนักกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางขมวดคิ้ว “ข้ามาที่นี่ก็เพราะที่นี่เป็นสถานที่ที่มิได้ระบุเอาไว้ในแผนที่อากาศของข้า ดังนั้นข้าจึงอยากถามว่า นี่คือที่ใดกัน”
“เจ้าหนุ่มขั้นผู้ปกครองคนหนึ่งช่างทะเยอทะยานเสียจริง”
“เขมือบเขาเสีย”
“ผู้ใดสังหารเขาได้ก่อน คนนั้นก็จะได้กิน”
สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศเหล่านี้เริ่มเจรจากันขึ้นมาแล้ว แต่ละคนล้วนไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อย หากผู้มาเยือนเป็นเทพอากาศ พวกเขาก็อาจจะระมัดระวังบ้าง ส่วนขั้นผู้ปกครองคนหนึ่งน่ะหรือ พวกเขาไม่กลัวเลยจริงๆ
ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบแปลกใจ สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศทั้งหกตรงหน้านี้ เขามองออกว่าเป็นแค่เทพแท้ระดับผู้ปกครองเท่านั้น แต่กลับกล้าเมินเฉยต่อร่างแปรของเขาหรือนี่ ที่ร่างกายของเขาแสดงออกมาก็เป็นระดับผู้ปกครองเช่นเดียวกัน นอกเสียจากว่า…จะยังมีสิ่งมีชีวิตระดับเทพอากาศหลบอยู่ด้วย!
ตงป๋อเสวี่ยอิงนึกถึงหมู่วังซึ่งทอดยาวต่อเนื่องกันที่ตนมิอาจแทรกซึมเข้าไปตรวจสอบได้แห่งนั้นขึ้นมาทันที
“ฟิ้ว”
ทันใดนั้นสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศแปลกหน้าตนหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้นข้างกาย กรงเล็บคมคู่หนึ่งแผ่คลุมเข้ามาในทันใด เรื่องนี้ทำให้สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศอีกคนที่ยังกำลังปรึกษาหารือกันต่างก็ร้อนใจขึ้นมา “เจ้าถึงกับกล้าลงมือก่อนเชียวหรือนี่” “นี่มันบริเวณในความรับผิดชอบของพวกเรา” “นี่เป็นเหยื่อของพวกเรานะ”
“ใครฆ่าได้ก่อนก็เป็นของคนนั้นแหละ” สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศแปลกหน้าตนนั้นมีร่างสีดำทะมึนไปทั้งร่าง ผิวกายกึ่งโปร่งใส กรงเล็บกึ่งโปร่งใสของมันนั้นคมกริบนัก
หอกยาวเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ดำ
ปลายหอกยาวมีประกายอันดำทะมึนอยู่ด้วย แม้นี่จะเป็นเพียงร่างแปรร่างหนึ่งเท่านั้น ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้ทิ้งเกราะพลซึ่งเป็นการโจมตีที่มีพลังทำลายล้างสูงสุดในสาย ‘ผู้ท่องอากาศ’ เอาไว้ในร่างแปรด้วย! เพราะถึงอย่างไรร่างแปรก็เป็นเพียงแค่การรวมตัวกันของพลังงาน มิได้แข็งแกร่งเหมือนร่างจริง ทำได้เพียงสำแดงลูกไม้บางอย่างของความเร้นลับของกฎเกณฑ์ออกมาบ้างเท่านั้น
“ฟึ่บ” เขาแทงหอกออกไปโดยพลัน
ด้ามหอกยาวพลิกหมุนและกลิ้งไป สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศกึ่งโปร่งใสตนนี้รู้สึกว่าเมื่อหอกยาวตรงหน้าแทงเข้ามานั้นแปลกพิสดารนัก ด้ามหอกนั้นพลิกหมุนและเคลื่อนไหวไปตอลดเวลา ร่องรอยของปลายหอกเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้เขามิอาจสกัดกั้นหอกนี้ได้ทันใด
“ฟึ่บ” ปลายหอกยาวพลันแทงลงไปบนร่างของสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศจนเกิดเป็นรูถึงหนึ่งร้อยยี่สิบห้ารูในพริบตา พละกำลังทำลายล้างที่แฝงอยู่ในหอกยาวและพลังทำลายล้างในเกราะพลทำให้สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศกึ่งโปร่งใสซึ่งมีพลังชีวิตแข็งแกร่งยิ่งตนนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสทันที หากพลังชีวิตอ่อนแอ เกรงว่าคงจะต้องสังเวยชีวิตแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่หยุดมือเลย ขณะเดียวกับที่เขาถอนหอกยาวออกมานั้น ก็แทงอีกหอกหนึ่งที่เหมือนกันตามออกไปติดๆ! สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศกึ่งโปร่งใสที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสตนนั้นเพียงแค่ร้องโหยหวนว่า “ช่วยด้วย” แล้วร่างกายก็เริ่มแทรกตัวเข้าไปในอากาศ
แต่หากพูดถึงการควบคุมอากาศแล้ว…
สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศซึ่งอาศัยพรสวรรค์ล้วนๆ เหล่านี้ ไหนเลยจะสู้ผู้ท่องอากาศตงป๋อเสวี่ยอิงได้ เมื่อหอกยาวแทงเข้าไปในอากาศ แล้วแทงเข้าสู่ร่างของสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศตนนี้อีกครั้ง ก็เกิดรูขึ้นมาอีกหนึ่งร้อยยี่สิบห้ารู! ครั้งนี้สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศตนนี้ได้สังเวยชีวิตในทันที
เรื่องนี้ทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศตนอื่นๆ ที่อยู่ไกลออกไปเห็นแล้วก็ตะลึงงันไปตามกัน
ตายแล้วหรือ
สหายของพวกเขาตายไปเช่นนี้เองน่ะหรือ
“สิบสามกระบี่ผลาญโลกากระบี่ที่หนึ่ง ข้าใช้งานได้แย่เกินไปแล้ว ตามหลักแล้วควรจะเพียงแค่แทงเป็นรูเพียงรูเดียวเท่านั้น แต่ข้ากลับทำให้ปลายหอกมั่นคงไม่ได้เสียด้วยซ้ำไป เมื่ออานุภาพปะทุออกมาอย่างฉับพลัน ปลายหอกก็สั่นสะเทือนจนเกิดเป็นรูถึงหนึ่งร้อยยี่สิบห้ารูเลยทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศที่สิ้นใจไปแวบหนึ่ง มันทิ้งวัตถุต่างๆ เอาไว้จำนวนหนึ่ง “หลังจากข้าเข้าสู่อากาศอันสับสนอลหม่านแล้ว นี่ก็เป็นการต่อสู้จริงๆ ครั้งแรก”
ความรู้สึกที่ได้สำแดงสิบสามกระบี่ผลาญโลกากระบี่ที่หนึ่งออกมาสังหารศัตรูนั้น สุขสำราญกว่าการก้มหน้าก้มตาบำเพ็ญมากทีเดียว
……
บรรดาสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายของแผ่นดินอลหม่านนี้ต่างก็แหงนหน้ามองดูด้วยความวิตก พวกเขากำลังปรารถนา ปรารถนาอย่างแรงกล้า หวังว่าจะมีปาฏิหาริย์มาเยือน
……
ภายในหมู่วังที่ทอดยาวต่อเนื่องกันซึ่งตงป๋อเสวี่ยอิงยากจะตรวจสอบได้นั้น
ภายในโถงตำหนักแห่งหนึ่ง สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศเกล็ดดำที่หมอบพังพาบอยู่ตรงนั้นพ่นลมออกทางจมูก ดวงตาเย็นเยียบดุจน้ำแข็งของเขากำลังมองดูเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้านนอก เรื่องจิปาถะอย่างการเตือนภัยและการรับหน้าผู้มาจากภายนอกนั้น ล้วนเป็นหน้าที่ของผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา เขามีสถานะเช่นใดกัน ไยจึงออกหน้าง่ายๆ ด้วยเล่า
“พี่ใหญ่ เห็นทีเจ้าพวกนี้คงจะจัดการผู้ปกครองที่มาจากภายนอกคนนี้มิได้จริงๆ ข้าจะไปจัดการเขาเอง” สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศเกล็ดสีดำตนนี้เปล่งเสียงออกมา เสียงดังกึกก้องนั้นส่งถ่ายไปถึงวังอันเร้นลับแห่งหนึ่งลึกเข้าไปในหมู่วังที่ทอดยาวต่อเนื่องกัน
“ดี” เสียงต่ำลึกขานรับ
“ไม่ได้กินผู้ปกครองมาตั้งนานแล้ว จำนวนผู้ปกครองช่างน้อยเสียเหลือเกิน” สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศเกล็ดสีดำบินออกมาจากโถงตำหนักของเขาอย่างนึกสนุกนัก
…………………………