Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 4 ความดำมืดอันไร้ที่สิ้นสุด
บัดนี้สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศหกตนซึ่งเดิมที่จะเข้าล้อมโจมตีตงป๋อเสวี่ยอิงล้วนตกอยู่ท่ามกลางความตื่นตระหนก เพราะผู้แกร่งกล้าชายหนุ่มชุดดำผู้เร้นลับนั้นหายวับไปต่อหน้าต่อตาพวกเขาจากนั้นก็พลันเข้าประชิดแล้วลอบโจมตีได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งอานุภาพของวิถีหอกก็ยิ่งใหญ่อย่างน่าประหลาด แม้พวกมันจะพยายามสกัดกั้นอย่างสุดกำลัง แต่กลับมิใช่คู่ต่อสู้ของเขาอยู่ดี
“ฟึ่บๆๆ…” ด้ามหอกยาวพลิกหมุนแล้วกลิ้งออกไป ปลายหอกพลันแทงลงบนเกราะกระดูกเหนืออกของสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศตนหนึ่ง บนเกราะกระดูกมีอักขระลับโดยกำเนิด ทำให้หอกยาวแทงทะลุไปได้อย่างทุลักทุเล แต่ครั้งนี้กลับแทงออกมาทั้งหมดหนึ่งร้อยเก้าสิบเก้ารู
“ก้าวหน้าขึ้นจริงๆ ด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบยินดีในใจ “อานุภาพอย่างฉับพลันของหอกนี้แข็งแกร่งเกินไป ปลายหอกจึงมั่วซั่วไปหมด มิอาจรวมสายพลังต่างๆ ให้เป็นระลอกเดียวกันอย่างสมบูรณ์แบบได้”
สายพลังที่กระจัดกระจายกันบวกกับ ‘เกราะพล’ ซึ่งแฝงอยู่ที่ปลายหอกจึงสามารถทำให้สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศบาดเจ็บสาหัสได้ หากสามารถรวมกันเป็นหนึ่งได้อย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ แล้ว ต่อให้ไม่อาศัยเกราะพล ลำพังแค่อานุภาพของวิถีหอกเพียงอย่างเดียวก็สามารถปะทุขึ้นจนบรรลุถึงอีกระดับขั้นหนึ่งได้ เพียงพอให้ข้ามขั้นไปต่อสู้กับเทพอากาศได้
“มาอีกสิ”
ร่างแปรร่างนี้ของตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้สำแดงบริเวณออกมา เพราะเขาต้องการที่จะขัดเกลาวิถีหอกของตนเอง คิดจะพยายามศึกษากระบี่ที่หนึ่งของสิบสามกระบี่ผลาญโลกาแห่งศาสตร์ลับประจำวังทวีสูญให้สำเร็จโดยเร็วที่สุด ถึงตอนนั้นเมื่อรวมกับข้อได้เปรียมอย่างมหาศาลของระบบผู้ท่องอากาศ ก็คงจะสามารถสังหารเทพอากาศทั่วไปได้สบายมาก
ก่อนอื่นก็คือต้องศึกษากระบี่ที่หนึ่งให้สำเร็จ!
“ไม่ดีแล้ว” ทันใดนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตกใจขึ้นมา การสัมผัสอากาศของร่างจริงของเขาพบสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นตนหนึ่งออกมาจากหมู่วังที่ตนยากจะตรวจสอบได้เหล่านั้น จากนั้นก็ทะลุอากาศมาถึงที่นี่ในทันที กลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นระลอกนั้นย่อมเป็นเทพอากาศอย่างไร้ข้อกังขา!
“พวกเศษสวะกลุ่มหนึ่ง” เสียงหนึ่งสะท้อนก้องไปทั่วอากาศรอบด้าน สิ่งมีชีวิตเกล็ดสีดำขนาดมหึมาที่คดเคี้ยวขดเลื้อยอยู่ปรากฏกายขึ้น
สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศห้าตนที่หลงเหลืออยู่ทั้งตกใจและยินดี หัวหน้าคนหนึ่งในหมู่พวกเขามาถึงแล้ว มีคนมาช่วยแล้ว!
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ดำถือหอกยาวเอาไว้ในมือพลางยืนอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็มองสิ่งมีชีวิตเกล็ดสีดำที่หมอบพังพาบอยู่ตรงหน้า “ดูจากลักษณะของมันแล้ว ในรายงานของข้าไม่มีบันทึกเกี่ยวกับมันเลย คงจะเป็นสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศจำพวกที่ระดับขั้นค่อนข้างต่ำกระมัง”
สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศมีนับพันนับหมื่นชนิด และมีแบ่งแยกทั้งสูงและต่ำ
เช่นผู้บุกเบิกของผู้ท่องอากาศ…ก็คือผู้ที่เรียกได้ว่าอยู่ในระดับยอดสุดในจำนวนนั้น จึงเป็นผู้นำของสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศจำนวนนับไม่ถ้วนโดยธรรมชาติ!
ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่กล้าประมาท เพราะต่อให้เป็นระดับต่ำกว่านี้ สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศก็ยังมีข้อได้เปรียบทางด้านร่างกายมากกว่าสิ่งมีชีวิตในจักรวาล อีกทั้งผู้ที่บรรลุขีดจำกัดและก้าวเข้าสู่ขั้น ‘เทพอากาศ’ ได้ ก็มิได้รังแกได้ง่ายๆ สักตน
“ผู้ปกครองหรือ” สายตาเย็นเยียบดุจน้ำแข็งของสิ่งมีชีวิตเกล็ดสีดำแฝงไว้ด้วยความสนใจ มันอ้าปากแล้วเปล่งเสียงดังกึกก้องออกมา “พลังของเจ้าไม่เลวเลย แข็งแกร่งกว่าพวกตัวโง่งมทั้งหลายในแผ่นดินอลหม่านมากทีเดียว ข้าจะให้โอกาสเจ้า ปลดปล่อยพลังที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาโจมตีข้าเสียเถอะ หากเจ้าสามารถทำให้ข้าประหลาดใจได้ ข้าอาจจะไว้ชีวิตเจ้าสักครั้ง”
“ทำให้สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วทั้งแผ่นดินอลหม่านต้องตกเป็นทาส แล้วกลืนกินตามอำเภอใจ ที่พวกเจ้าทำเป็นการฝ่าฝืนข้อห้าม” ตงป๋อเสวี่ยอิงแค่นเสียงเฮอะเย็นชา “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าหากถูกผู้บำเพ็ญที่แข็งแกร่งล่วงรู้เข้า สิ่งที่รอพวกเจ้าอยู่คืออะไร”
“ฮ่าฮ่า บริเวณต่างๆ รอบด้านล้วนถูกพวกเราปกครองหมดแล้ว ยังจะไปกลัวผู้บำเพ็ญอย่างพวกเจ้าอีกหรือ” สิ่งมีชีวิตเกล็ดสีดำยิ้มหยัน
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็ตกใจ
มีขุมอำนาจหลายแห่งที่ยอมรับกันว่า การกลืนกินสิ่งมีชีวิตผู้บริสุทธิ์นั้นเป็นข้อห้าม หากถูกพบเข้าก็ต้องสังหารโดยไม่ละเว้น! ทว่าแม้แต่ในหมู่ ‘เทพจักรวาล’ ผู้สูงส่งเหนือใครก็ยังมีคนที่โหดร้ายอย่างยิ่ง อีกทั้งระหว่างพวกเขาก็มิได้นับว่าสามัคคีกันสักเท่าใดนัก หากสามัคคีแล้ว โลกทิพย์โบราณเริ่มแรกสุดก็คงจะไม่ระเบิดเพราะศึกใหญ่เป็นแน่
ดังนั้นสำหรับการจัดการผู้ที่ฝ่าฝืนข้อห้าม ว่าจะสังหารทั้งหมดโดยไม่ละเว้นนั้นก็มีเพียงขุมอำนาจบางส่วนที่กระทำเท่านั้น! และมีผู้แกร่งกล้าบางส่วนที่เกลียดชังดั่งมีความแค้นก็ปฏิบัติตามด้วย
แต่ตอนนี้บริเวณหลายแห่งรอบด้านกลับถูกยึดครอง แสดงให้เห็นว่า…มิใช่ว่าสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศจำนวนน้อยนิดคลุ้มคลั่งเกินไป หากแต่สร้างขุมอำนาจขึ้นมา เบื้องหลังอาจถึงขั้นมีขุนเขาใหญ่ให้พึ่งพิงอยู่
“หนุ่มน้อย ลงมือเถิด หากยังไม่ลงมืออีกเจ้าก็จะไม่มีโอกาสแล้วนะ” สิ่งมีชีวิตเกล็ดสีดำกล่าว
“ตู้ม”
สีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ดำเคร่งขรึมลง ทันใดนั้น ‘บริเวณการเข่นฆ่า’ ซึ่งเป็นการผสานกันของวิถีระลอกคลื่นและวิถีเข่นฆ่าก็โหมซัดออกไปทุกสารทิศโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง แม้ร่างแปรจะมิอาจควบคุมอากาศได้ แต่อานุภาพของบริเวณการเข่นฆ่าก็เพียงพอจะทำให้สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศทั้งหลายที่หลงเหลืออยู่ซึ่งอยู่ห่างออกไปสีหน้าแปรเปลี่ยน
“ปัง…” ทันใดนั้นเหนือผิวกายของสิ่งมีชีวิตเกล็ดสีดำก็มีระลอกคลื่นสีดำโหมซัดออกมาวงแล้ววงเล่า ระลอกคลื่นสีดำกดดันบริเวณการเข่นฆ่าเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย
“อ่อนแอเกินไปแล้วๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าเทพอากาศก็ยังอ่อนแอเกินไปอยู่ดี” สิ่งมีชีวิตเกล็ดสีดำยิ้มหยัน
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับลอบตกใจ
เป็นบริเวณกฎเกณฑ์ที่แข็งแกร่งนัก!
ตนเคยต่อกรกับ ‘ร้อยกัณฐ์คำรน’ มาก่อน ไม่เสียทีที่ร้อยกัณฐ์คำรนเป็นเทพอากาศที่ค่อนข้างอ่อนแอซึ่งบรรพชนเทียนอวี๋จงใจคัดเลือกมา แม้ตนจะมิอาจควบคุมอากาศได้ แต่ลำพังแค่ ‘บริเวณการเข่นฆ่า’ ก็ไม่มีแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย หากมิใช่เพราะฝายตรงข้ามเก็บงำพลังเอาไว้ เกรงว่าแค่บริเวณอย่างเดียวก็คงกดดันตนจนตายไปแล้ว
“พลังของเขายังแข็งแกร่งกว่าร้อยกัณฐ์คำรนเสียอีก นี่สินะจึงจะนับได้ว่าเป็นพลังของเทพอากาศทั่วไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพูด
ตงป๋อเสวี่ยอิงหายวับไปกลางอากาศแล้วเข้าไปในฟ้าดินโลกเทียม ทันใดนั้นฟ้าดินโลกเทียมก็พลันบีบเข้าไปใกล้สิ่งมีชีวิตเกล็ดสีดำ
“อยู่ที่นี่หรือ” สิ่งมีชีวิตเกล็ดสีดำสนอกสนใจเป็นอย่างมาก ด้วยบริเวณกฎเกณฑ์ เขาพบว่าท่ามกลางฟ้าดินอีกระดับขั้นหนึ่ง ผู้บำเพ็ญคนนั้นกำลังเข้ามาใกล้ “วิธีการซ่อนเร้นพรรค์นี้ร้ายกาจมากทีเดียว”
หอกยาวแทงออกมาจากอากาศ
ด้ามหอกพลิกหมุนแล้วแทงออกไป ปลายหอกยังมีประกายสีดำเรืองรอง สิ่งมีชีวิตเกล็ดสีดำเห็นเข้าก็มิได้สกัดกั้น ปล่อยให้ปลายหอกทิ่มแทงลงบนร่างของมัน ฟึ่บๆๆ…ปลายหอกยาวแทงออกมาต่อเนื่องกันถึงหนึ่งร้อยสิบเก้าครั้งอย่างมิอาจควบคุม แต่เหนือผิวกายของสิ่งมีชีวิตเกล็ดสีดำกลับไม่มีแม้แต่รอยถากสีขาวเสียด้วยซ้ำ
“ร่างกายของเขาก็แข็งแกร่งกว่าร้อยกัณฐ์คำรนด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงวิเคราะห์
“เจ้าอ่อนแอเกินไปแล้ว” สิ่งมีชีวิตเกล็ดสีดำส่ายหน้า
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับแทงหอกออกไปอีกอย่างไม่ท้อถอย
หนึ่งร้อยสิบแปดครั้ง หนึ่งร้อยสิบสามครั้ง…แผ่นเกล็ดที่เปี่ยมไปด้วยความยืดหยุ่นและมีอักขระลับจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่เหนือผิวนั้นแทงให้ทะลุได้ยากมาก แต่กลับทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงปรับเปลี่ยนวิถีหอกของตนอย่างไม่หยุดหย่อนเช่นเดียวกัน
สิ่งมีชีวิตเกล็ดสีดำสัมผัสคราหนึ่งแต่กลับส่ายหน้า “อ่อนแอจริงๆ”
ฟิ้ว
มันยื่นกรงเล็บออกไปโดยพลัน
เล็บคมกริบแต่ละอันบนกรงเล็บนั้นราวกับมีดโค้ง เหนือผิวมีหมอกดำรายล้อม จากนั้นก็ตะปบออกมาแล้วทะลุเข้าไปในฟ้าดินโลกเทียม แม้เมื่อเข้าไปในฟ้าดินโลกเทียมแล้วอานุภาพจะถดถอยลง แต่กรงเล็บหนึ่งก็ยังคงตะปบลงบนร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ดำจนได้ แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะสำแดงวิถีหอกออกมาสกัดกั้นเอาไว้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพละกำลังอันมหาศาล นี่เป็นพละกำลังที่น่าหวาดหวั่นกว่าวิชาลับผู้ท่องชั้นที่ยี่สิบของร่างจริงของเขาตั้งมากมาย ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็แหลกสลายกลายเป็นผุยผงไปจนสิ้น ทว่าพละกำลังอันน่าหวาดหวั่นระลอกนี้ควบคุมได้อย่างสมบูรณ์แบบนัก มันหมายจะรักษาวิญญาณภายในกายของตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ให้ดีเพื่อจะจับเป็น
“เจ้าฝันไปเถอะ” สติรับรู้สายหนึ่งภายในร่างแปรส่งสารออกไป จากนั้นก็แหลกสลายกลายเป็นผุยผงด้วยตนเอง! ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเพียงร่างแปรเท่านั้น หากไม่สลายตัวเอง ฝ่ายตรงข้ามก็จะล่วงรู้แล้ว
เมื่อร่างแปรตายไป สมบัติล้ำค่าเช่นอาวุธและอื่นๆ ก็พลันถูกผลักไสออกมาจากฟ้าดินโลกเทียมกลับสู่โลกจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงยอมสละทิ้งเอง
สิ่งมีชีวิตเกล็ดสีดำส่ายหน้าพลางยิ้มหยัน “ช่างอ่อนแอเสียจริง ทำร้ายข้ามิได้แม้แต่ปลายเส้นขนเลย”
“หัวหน้ารองขอรับ ท่านก้าวเข้าสู่ขั้นเทพอากาศแล้ว ผู้ปกครองตัวเล็กๆ คนหนึ่งไหนเลยจะสามารถเทียบเทียมได้” สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศระดับผู้ปกครองเทพแท้อีกห้าตนรีบยกย่อง สำหรับสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศแล้ว การก้าวเข้าสู่ขั้นเทพอากาศนั้นเป็นด่านที่ยากยิ่งนัก เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็สามารถบรรลุถึงขั้นผู้ปกครองได้อยู่แล้วโดยกำเนิด จะบรรลุถึงระดับขั้นเทพอากาศนั้นต้องอาศัยการบำเพ็ญ!
“เดิมทีคิดจะกินวิญญาณของเขาเสีย ผู้ใดจะไปคิดเล่าว่าเขาจะชิงฆ่าตัวตายเองเสียก่อน” สิ่งมีชีวิตเกล็ดสีดำแค่นเสียงเฮอะคราหนึ่ง จากนั้นก็ทะลุอากาศจากไปเสียงดังฟิ้ว ผู้บำเพ็ญที่อ่อนแอพรรค์นี้ สิ่งเดียวที่สามารถดึงดูดเขาได้ก็คือวิญญาณนั่นเอง
“เร็วๆๆ พวกเราแบ่งสมบัติล้ำค่ากันเถอะ”
สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศห้าตนนั้นกลับเริ่มแบ่งสิ่งต่างๆ ที่ร่างแปรของตงป๋อเสวี่ยอิงทิ้งเอาไว้ทันที ในบรรดาวัตถุเหล่านั้น บางส่วนก็เป็นสิ่งที่ได้จากการสังหารสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศสองตนก่อนหน้านั้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้สนใจวัตถุเหล่านี้เลย เขาแสร้งทำเป็นตายไปแล้วก่อนชั่วคราวเพื่อหลอกให้ศัตรูตายใจ
……
แต่บรรดาชนพื้นเมืองของแผ่นดินอลหม่านแห่งนี้ บรรดาสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งหลุดพ้นแล้วเหล่านั้นล้วนจับตามองการต่อสู้ครั้งนี้อยู่ห่างๆ แม้พวกเขาจะรู้สึกว่าความหวังที่จะได้รับความช่วยเหลือในครั้งนี้ริบหรี่มาก แต่พวกเขาก็ยังคงตั้งตารอคอยอยู่นั่นเอง! เพราะพวกเขารอคอยอยู่ในความมืดมานานเกินไปแล้ว นั่นเต็มไปด้วยความมืดมน ไร้ซึ่งความหวังชั่วนิรันดร์
“หมดกัน”
“ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเพียงผู้ปกครองคนหนึ่งเท่านั้น ยังห่างไกลจากคำว่าคู่ต่อสู้ของสัตว์ประหลาดเทพอากาศตนนั้นอยู่มากโข” หัวใจของบรรดาสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นต่างก็ดิ่งลงสู่หุบเหวลึกไร้ก้น ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขาก็เป็นเพียงขั้นผู้เคารพเท่านั้น! ส่วนผู้ปกครองในหมู่พวกเขานั้นได้ถูกผนึกพลังและถูกจองจำไปตั้งนานแล้ว
เมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศซึ่งมาจากกลางอากาศอันสับสนอลหม่านเหล่านี้ก็มิอาจต้านทานได้เลย! สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่มนี้ก็ยังเป็นถึงเทพแท้ขั้นผู้ปกครอง ส่วนผู้ที่แข็งแกร่งก็เป็นถึงเทพอากาศ! การปฏิบัติของเทพอากาศต่อเทพแท้…นั่นก็คือการล้างสังหารอย่างแท้จริง!
ต้องรู้ไว้ว่าต่อให้บำเพ็ญมรดกตกทอดของผู้ท่องอากาศที่ล้ำค่าอย่างยิ่ง ‘ชั้นที่ยี่สิบ’ จนถึงขั้นผู้ปกครองซึ่งเป็นขั้นสุดแล้ว ก็ยังมิอาจเอาชนะเทพอากาศได้อยู่ดี ยังต้องฝึกระบบอื่นไปควบคู่กันด้วยจึงจะพอมีหวัง
‘วังทวีสูญ’ สถานที่สำคัญของระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ ก็มีเพียงศิษย์อาภรณ์ทองซึ่งมีพรสวรรค์สูงส่งโดดเด่นสะดุดตาที่สุดเท่านั้นจึงจะสามารถข้ามขั้นมาสังหารเทพอากาศได้!
ข้ามขั้นมาสังหารเทพอากาศ…หาได้ยากยิ่งนัก ไม่มีแม้แต่หนึ่งในหมื่น สถานที่สำคัญอย่างวังทวีสูญจึงพอจะมีผู้ไร้เทียมทานพรรค์นี้ถือกำเนิดขึ้นมาได้สักสิบกว่าคน
“ผู้บำเพ็ญซึ่งมาจากอากาศอันสับสนอลหม่านคนนี้อ่อนแอเกินไป”
“น่าเสียดายที่เขาก็ตายไปแล้วเช่นกัน”
“ไม่มีหวัง ไม่มีหวังไปตลอดกาลแล้ว”
บรรดาสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ต่างก็อดสูใจและรู้สึกไม่ยินยอม ทว่าพวกเขาก็ยังคงข่มกลั้นเอาไว้ ส่วนพวกที่มิอาจทนได้ก็ฆ่าตัวตายหรือไม่ก็เอาตัวเองไปตายตั้งนานแล้ว ส่วนพวกที่ถูกบังคับจับมาทั้งเป็นเหล่านี้ล้วนลอบข่มกลั้นเอาไว้ และตั้งตารอคอยว่ากลางราตรีอันมืดมิดไร้ที่สิ้นสุดนี้จะมีความหวังมาเยือนเสียที
……
ในฟ้าดินโลกเทียม
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวยืนอยู่ ณ ที่นี้ เขามั่นใจในลูกไม้การซ่อนตัวของตนเป็นอย่างมาก นอกจาก ‘ฟ้าดินโลกเทียม’ และ ‘การควบคุมอากาศ’ แล้ว ที่สำคัญกว่าก็คือในฐานะศิษย์อาภรณ์ทอง เขาจึงมีป้ายอักขระรักษาชีวิตอยู่สามอัน ซึ่งหนึ่งในป้ายอักขระเหล่านั้นก็มีอยู่ก้อนหนึ่งที่ช่วยเก็บซ่อนกลิ่นอาย! เมื่อเก็บซ่อนกลิ่นอายแล้ว ในบรรดาเทพอากาศ ตามปกติแล้วก็มีเพียง ‘ขั้นอลวน’ เท่านั้นจึงจะสามารถพบได้ ผู้แกร่งกล้า ‘ขั้นรวมเป็นหนึ่ง’ ซึ่งเชี่ยวชาญทางด้านการตรวจตราและการสอดส่องที่มีจำนวนเพียงน้อยนิดนั้นก็อาจจะสามารถพบได้เช่นกัน
แต่เทพอากาศทั่วไปกลับแทบมิอาจพบได้เลย นอกเสียจากจะมีสมบัติล้ำค่าลับอยู่! อันที่จริงสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศซึ่งไม่เชี่ยวชาญทางด้านระดับขั้นเหล่านี้ ลำพังแค่ ‘ฟ้าดินโลกเทียม’ และ ‘การควบคุมอากาศ’ ก็สามารถปกปิดได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายังมีป้ายอักขระด้วยเลย
“พลังของเขาแข็งแกร่งมาก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “แข็งแกร่งกว่าร้อยกัณฐ์คำรนเสียอีก”
“ร่างกายของร่างแปรของข้าเปราะบางเกินไปแล้ว หากใช้ร่างจริงต่อสู้ ด้วยข้อได้เปรียบทางด้านระดับขั้นบวกกับอาวุธเทพอากาศ พละกำลังก็คงไม่แตกต่างกับเขามากเสียจนเกินจริงเช่นนั้นแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “คงจะเทียบเคียงได้อย่างไร้ปัญหา ความเป็นไปได้ที่จะสังหารก็ค่อนข้างต่ำ”
“นอกจากนี้ข้ายังรู้เกี่ยวกับพวกเขาน้อยเกินไปแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองออกไปยังอีกทิศหนึ่ง เมื่อมองผ่านอากาศ เขาก็เห็นหมู่วังที่ทอดยาวต่อเนื่องกันเหล่านั้น หมู่วังนี้ เป็นสิ่งที่เขามิอาจแทรกเข้าไปตรวจสอบได้
“วิญญาณอาวุธ ต้องอาศัยเจ้าไปตรวจสอบเสียหน่อยแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด
“เจ้านาย แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น มอบให้เป็นหน้าที่ข้าเถิดขอรับ” วิญญาณอาวุธน้ำเต้าสีดำพูดอย่างมั่นใจในตนเอง “ทว่าท่านต้องเข้าใกล้หมู่วังนั่นให้มากขึ้นอีกหน่อย ขอเพียงอยู่ในขอบเขตการตรวจสอบของข้า แม้แต่พลังของพวกเขา ข้าก็สามารถตรวจสอบได้อย่างชัดเจน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มออกมา ประเสริฐนัก
………………………………