Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 9 ร่างจริงที่หาไม่พบ
“เจ้ามันก็แค่ผู้ปกครองเทพแท้ตัวกระจ้อยร่อยคนหนึ่ง ยังถึงกับกล้าพูดจาโอหังเช่นนี้ด้วยหรือ” ชีวิตแห่งห้วงอากาศในร่างมนุษย์สามตาที่เต็มไปด้วยขนเอ่ยด้วยเสียงดังสนั่น “ผู้ปกครองเทพแท้กับเทพอากาศมีความแตกต่างกันอย่างมิอาจล้ำเส้น ถึงจะเป็นผู้ปกครองหลายสิบจนถึงร้อยคน ข้าก็สามารถกลืนกินลงไปในคำเดียวได้”
สัตว์ประหลาดเกล็ดสีดำที่อยู่ด้านข้างก็ดูแคลนเป็นอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะปลิดชีพชีวิตแห่งห้วงอากาศขั้นผู้ปกครองไปหนึ่งฝูงใหญ่ แต่พวกเขาหัวหน้าทั้งสามก็มิได้รู้สึกถึงภัยอันตรายเลยแม้แต่น้อยเฉกเช่นเดิม
เพราะอ้างอิงจากประสบการณ์ของพวกเขา ผู้ปกครองคิดอยากข้ามขั้นมาต่อสู้กับเทพอากาศอย่างนั้นหรือ ย่อมเป็นเรื่องน่าขันสิ้นดี!
เกรงว่าคงมีแต่ขุมอำนาจระดับสุดยอดของสุดยอดในตำนานเท่านั้นจึงจะสามารถบ่มเพาะตัวร้ายกาจจำนวนน้อยนิดจนนับนิ้วได้ ที่สามารถเป็นผู้ปกครองข้ามขั้นสังหารเทพอากาศได้ ทว่าตัวร้ายกาจเช่นนั้นหายากสักเพียงใดกัน อีกทั้งพวกเขายังมิใช่เทพอากาศเพียงหนึ่งเดียว หากแต่มีกันถึงสามตน… โดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวหน้าใหญ่ ที่บำเพ็ญมาเป็นระยะเวลายาวนาน พลังยุทธ์สูงส่งเป็นที่สุด
“พี่ใหญ่” สิ่งมีชีวิตร่างมนุษย์สามตาที่เต็มไปด้วยขนหันหน้ามองไปทางหัวหน้าใหญ่ของพวกเขา สัตว์ประหลาดเกล็ดสีดำตนนั้นก็มองไปทางหัวหน้าใหญ่เช่นเดียวกัน
หัวหน้าใหญ่ก็หรี่ตามองตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วออกคำสั่ง “ลงมือเลย สังหารเขาเสีย”
“ขอรับ”
“ฮ่าฮ่า ฆ่ามัน”
พอสัตว์ประหลาดเกล็ดสีดำและสิ่งมีชีวิตร่างมนุษย์สามตาได้รับคำอนุญาตก็ลงมือในทันใด
เห็นเพียงผิวกายของสัตว์ประหลาดเกล็ดสีดำก่อเกิดเป็นระลอกคลื่นสีดำล้อมรอบ ระลอกคลื่นสีดำซัดสาดกวาดไปทั่วทุกทิศทุกทาง สำหรับสิ่งมีชีวิตร่างมนุษย์สามตานั้น ตาดวงที่สามของเขาปลดปล่อยระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างออกมา ระลอกคลื่นกวาดไปทางร่างแปรทั้งสามของตงป๋อเสวี่ยอิง และกวาดไปทั่วทุกทิศทุกทางในเวลาเดียวกัน
ที่แปลกประหลาดก็คือ อาณาบริเวณของกฎเกณฑ์ของทั้งสองฝ่ายนั้นมิได้ถูกรบกวนเลยแม้แต่น้อย
“เฮอะ” ร่างแปรทั้งสามร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็ซ่อนอยู่ในฟ้าดินโลกเทียม ลดทอนอิทธิพลของระลอกคลื่นสีดำลงไปเป็นอย่างมาก สำหรับระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างนั้นเป็นการโจมตีของวิญญาณอันแปลกประหลาดชนิดหนึ่ง ส่วนร่างแปรทั้งสามของตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็อาศัยร่างจริงควบคุมจากระยะไกล เป็นเพียงแค่สติรับรู้ส่งมาเท่านั้น ย่อมไม่กลัวการโจมตีของวิญญาณอยู่แล้ว
“ก่อนหน้านี้การโจมตีชีวิตแห่งห้วงอากาศระดับผู้ปกครองเหล่านั้นทำให้กระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกาของข้ายกระดับขึ้นเป็นอย่างมาก ตอนนี้สามารถเหลือเพียงสิบสองรูได้ เทพอากาศทั้งสามที่อยู่ตรงหน้าพลังยุทธ์ยิ่งสูงส่ง การรับมือกับพวกเขา… ยิ่งมีส่วนช่วยในการขัดเกลาของข้ามากยิ่งขึ้น จะต้องอาศัยโอกาสนี้ในการตระหนักรู้วิชากระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ
เขาเองก็เข้าใจดี
หากไม่ตระหนักรู้วิชากระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกา การจะสังหารเทพอากาศสามท่านนั้นก็เป็นเพียงฝันลมๆ แล้งๆ
ดังนั้นตระหนักรู้ให้เร็วที่สุดก่อนดีกว่า…
สิ่งที่ตนยังขาดแคลนในกระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกาก็คือการต่อสู้สนามจริง
“ปัง…” ภายในฟ้าดินโลกเทียม หนึ่งในร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ดำย้ายร่างเคลื่อนไปใกล้กับสิ่งมีชีวิตร่างมนุษย์สามตา พร้อมกันนั้นหอกยาวในมือก็แทงออกไป หอกยาวหมุนติ้วควงสว่านออกไป ราวกับล้อรถอันไร้รูปร่างกลิ้งมา ความมั่นคงของปลายหอกนั้นมีความยากที่จะควบคุมอยู่บ้างจึงแทงไปทางศัตรูด้วยความสั่นสะท้านเล็กน้อย
ทว่าสิ่งมีชีวิตร่างมนุษย์สามตากลับยื่นมือตรงออกมา มือใหญ่ที่มีขนดกหนาก็คว้าไปทางด้ามหอกของตงป๋อเสวี่ยอิง กึง… ด้ามหอกขยับหมุนควงตลอดเวลา มือใหญ่ที่มีขนดกหนาของเขาไม่สามารถจับนิ่งๆ ได้ ปลายหอกแทงลงบนร่างของเขาเช่นเดิม แทงทะลุเส้นขนอันดกหนาและชั้นผิว ปลายหอกทิ่มแทงเข้าไปเล็กน้อย “ทำร้ายข้าได้ด้วยหรือ พี่รอง ท่านมิได้บอกว่าการโจมตีของเขาอ่อนแอมากหรอกหรือ” สิ่งมีชีวิตร่างมนุษย์สามตาเอ่ยด้วยเสียงกึกก้องดังสนั่น
ในขณะนี้บนเกล็ดเกราะบริเวณทรวงอกของสัตว์ประหลาดเกล็ดสีดำมีรูขนาดเล็กสิบเอ็ดรูปรากฏขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง รูขนาดเล็กเหล่านี้ต่างก็สมานตัวกันอย่างรวดเร็ว เขาเองก็ส่งเสียงคำราม “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรเล่า พลานุภาพของวิชาหอกของเขาเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล ถึงกับสามารถทำร้ายข้าได้แล้ว แต่การบาดเจ็บเล็กน้อยเช่นนี้มิอาจนับเป็นอะไรได้ รีบสังหารเขาเร็วเข้าสิ”
ถ้าหากกล่าวว่าร่างแปรทั้งสองประมือกับหัวหน้ารองและหัวหน้าสามแล้วยังพอมีผลการต่อสู้อยู่บ้าง
ในยามที่การโจมตีมุ่งมาทางหัวหน้าใหญ่นั้นเอง…
ปีกสีทองของหัวหน้าใหญ่ตระหง่านอยู่กลางเวหา ไม่ขยับไหวเลยแม้แต่น้อย นัยน์ตาสีทองเข้มนั้นของเขากวาดมาทางตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ดำที่โจมตีเข้ามา ทันใดนั้น “เปรี้ยง” สายฟ้าสีเขียวสายหนึ่งฟาดลงสู่ฟ้าดินโลกเทียม โจมตีลงบนร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ดำ วิชาหอกใดๆ ล้วนไม่สามารถต้านทานสายฟ้าสีเขียวอันแปลกประหลาดนี้ได้ ร่างแปรร่างหนึ่งพลันสูญสลายไปในทันใด
แต่ทันทีที่ร่างแปรร่างหนึ่งถูกทำลาย บริเวณห้วงอากาศที่อยู่ไกลออกไปก็มีตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ดำอีกร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมาในทันใด
ร่างแปรนั้นสามารถอาศัยพลังของ ‘ฟ้าดินโลกเทียม’ ใช้ศาสตร์ลับเคล็ดวิชาสามพันร่างแปร เพียงความนึกคิดเดียวก็สามารถสร้างร่างแปรใหม่ได้ เป็นเพราะพลังที่สามารถนำมาใช้ได้ไม่นับว่ามาก ระดับความแข็งแกร่งของร่างแปรที่สร้างขึ้นจึงค่อนข้างอ่อนแอ เมื่อเทียบกับผู้ปกครองธรรมดาๆ ที่ร่างกายค่อนข้างอ่อนแอแล้ว ก็ยังห่างชั้น ไม่มีทางเทียบกับร่างจริงได้เลย
……
เมื่อเห็นร่างแปรอีกร่างปรากฏขึ้น หัวหน้าใหญ่ก็หรี่ตา “เป็นผู้ปกครองเทพแท้ที่ร้ายกาจเสียจริง
ตั้งแต่ต้นจนจบเขาก็ไม่เคยเปิดเผยร่างจริงเลย ที่ออกมาต่อสู้ก็ล้วนเป็นบรรดาร่างแปรเท่านั้น นอกจากนี้เคล็ดวิชาที่เขาใช้รวบรวมร่างแปรก็สูงส่งยิ่งนัก…การรวบรวมร่างแปรโดยทั่วไป ก็ใช้พลังภายในร่างกายรวบรวมขึ้น ทว่าเขากลับดูเหมือนจะอาศัยพลังจากโลกภายนอกมาสร้าง ดังนั้นจึงย่อมมิอาจหาร่างจริงของเขาได้พบ”
เหมือนกับเทพอากาศ
ใช้พลังเทพอากาศภายในร่างกายรวบรวมร่างแปรร่างหนึ่งมาใช้ในการต่อสู้ เมื่อร่างแปรสิ้นชีพแล้ว การรวบรวมก็จำเป็นต้องใช้พลังเทพอากาศภายในร่างกายอีก…เช่นนั้นศัตรูก็สามารถอาศัยการเคลื่อนไหวของการรวบรวมร่างแปรในการตามหาที่อยู่ของร่างจริงได้โดยสมบูรณ์
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่เหมือนกัน เขาใช้พลังของฟ้าดินโลกเทียมในการรวบรวมร่างแปร ดังนั้นจึงไม่มีทางหาร่างจริงของเขาพบได้เลย
“สามารถสร้างร่างแปรได้ภายในความนึกคิดเดียว ร่างจริงของเขาจะต้องซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ที่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลนักเป็นแน่แท้” หัวหน้าใหญ่พูดพึมพำ
ถ้าหากเป็นยักษ์ใหญ่ฝ่ายหนึ่งของขั้นอลวน ก็สามารถฝืนบังคับรวบรวมเอาร่างแปรออกมาจากระยะทางที่ไกลกว่าได้ แต่ตอนนี้บุรุษอาภรณ์ดำผู้นี้เป็นเพียงผู้ปกครองเทพแท้คนหนึ่งเท่านั้น เขาสามารถรวบรวมร่างแปรได้ภายในความนึกคิดเดียว เช่นนั้นร่างจริงจะต้องอยู่ในบริเวณใกล้ๆ เป็นแน่
เรื่องราวที่แท้จริงก็เป็นเช่นนี้ ร่างจริงของตงป๋อเสวี่ยอิงก็อยู่ภายในอาณาเขตของ ‘ฟ้าดินโลกเทียม’!แต่ศัตรูกลับมิอาจหาพบมาโดยตลอด
“จะต้องหาเขาให้พบ มิฉะนั้นถึงจะสังหารร่างแปรไปมากกว่านี้ก็ไร้ประโยชน์” หัวหน้าใหญ่เองก็วุ่นวายใจยิ่งนัก
“ปัง!”
หัวหน้าใหญ่ทดลองสำแดงอาณาเขตของกฎเกณฑ์ ทันใดนั้นกลางเวหาอันกว้างใหญ่ก็มีอสนีบาตสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น แต่พลานุภาพของอสนีบาตสีดำเหล่านี้กลับมิอาจเทียบได้กับ‘สายฟ้าสีเขียว’ เพียงเส้นเดียว แต่ชนะในด้านของจำนวนที่มากกว่า และอาณาบริเวณที่กว้างกว่า กวาดไปอย่างป่าเถื่อน กระทั่งจู่โจมเข้าสู่ภายในของฟ้าดินโลกเทียม
แต่กวาดไปรอบหนึ่งแล้ว หัวหน้าใหญ่ก็ยังมิอาจค้นพบความเคลื่อนไหวใดๆ เช่นเดิม
“หาอย่างไร ที่แท้แล้วเขาไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่ใดกันแน่ เขาควรจะซ่อนตัวอยู่ไม่ไกลนักหรอก” หัวหน้าใหญ่ทวีความอมทุกข์ยิ่งขึ้น
เขามิใช่ระบบ‘ทิพย์’ ที่ศึกษาหมื่นสรรพสิ่งเหล่านั้น และมิใช่ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ที่มีวิธีการอันลึกลับเป็นที่สุด แล้วก็มิใช่ระบบที่มีความพิเศษอย่างระบบผู้ท่องอากาศ เขาบำเพ็ญระบบที่ง่ายดายที่สุด ตรงไปตรงมาที่สุด…ระบบเหล่ากลืนกิน ระบบเช่นนี้ก็จะกลืนกินอย่างต่อเนื่องแล้วทำให้ร่างของตนแข็งแกร่งขึ้น แต่เมื่อเทียบกันแล้วก็เห็นได้ชัดเจนว่าการต่อสู้ออกจะโง่เง่ากว่ามาก
อยากจะหาตัวตงป๋อเสวี่ยอิงที่เร้นกายอยู่ในความมืดนั้น ยากเย็นเกินไปเสียแล้ว!
ฟ้าดินโลกเทียม การหลบหลีกในอากาศ ผนวกกับป้ายสัญลักษณ์เร้นกายของศิษย์อาภรณ์ทอง สามวิธีการใหญ่ ไม่ต้องพูดถึงเขาเลย ต่อให้เป็นจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตที่มีความลึกลับกว่ามากมาเอง ก็ไม่สามารถหาตัวศิษย์ของตนพบได้
……
เขาหาไม่พบ ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกลับหมกมุ่นอยู่กับการตระหนักรู้วิชากระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกา ผ่านเวลาหยั่งรู้มาเนิ่นนานกว่าห้าสิบล้านปี ท่ามกลางการต่อสู้สนามจริงครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ย่อมรู้กระจ่างขึ้นอย่างต่อเนื่อง การต่อสู้สนามจริงสามารถพิสูจน์ผลสำเร็จของการต่อสู้ได้เป็นอย่างมาก! ถ้าหากหมกมุ่นกับการหยั่งรู้อย่างต่อเนื่อง ก็อาจจะกินเวลาสิบล้านปี จึงค่อยๆ หยั่งรู้ได้สำเร็จทีละน้อย แต่หากผนวกรวมการหยั่งรู้และการต่อสู้สนามจริงเข้าด้วยกัน ผลสำเร็จก็จะรวดเร็วขึ้นเป็นอย่างมาก!
“พี่ใหญ่ พลังยุทธ์ของผู้ปกครองผู้นี้กำลังยกระดับขึ้น” สิ่งมีชีวิตร่างมนุษย์สามตาคำรามด้วยเสียงดังสนั่น บนผิวกายเขามีรูขนาดใหญ่ที่เห็นได้ชัดสามรู “ท่านลงมือให้เร็วสักหน่อยเถิด”
ตงป๋อเสวี่ยอิงแทงหอกออกไปคราหนึ่งก็สามารถควบคุมทั้งสามรูนั้นได้ เห็นได้ชัดว่าจวนจะเข้าถึงกระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกาได้อย่างสมบูรณ์แล้ว
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ตอนนี้ที่เขาเผชิญหน้ากับหัวหน้ารองและหัวหน้าสาม กลับมิได้ตกเป็นรองเลยแม้แต่น้อย
“ไม่หาร่างจริงของเขาออกมา ถึงจะสังหารร่างแปรไปมากกว่านี้ก็ไร้ประโยชน์” หัวหน้าใหญ่กลับเอ่ยอย่างเย็นชา พูดแล้วสองตาของเขาก็กวาดมองปราดหนึ่ง สายฟ้าสีเขียวสายหนึ่งก็มุ่งโจมตีไปทางร่างแปรร่างนี้ในทันใด แต่คราวนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับสำแดงวิชาหอกออกมาต้านทาน
หอกยาวหมุนติ้วๆ แฝงไว้ด้วยความลึกลับแปลกประหลาด ทิศทางที่ปลายหอกมุ่งไป แฝงเอาไว้ด้วยความเร้นลับของวิถีเข่นฆ่าอันน่าหวาดหวั่นอย่างที่สุด ฝืนบังคับให้สายฟ้าสีเขียวฉีกกระจายแยกออก ถึงแม้ว่าจะมีเศษเสี้ยวจำนวนเล็กน้อยกวาดผ่านร่างแปรของตงป๋อเสวี่ยอิงเช่นเดิม แต่กลับมิอาจทำให้ร่างแปรสูญสลายได้แล้ว
“พลังยุทธ์เพิ่มพูนขึ้นจริงๆ เสียด้วย” หัวหน้าใหญ่เองก็วิตกกังวลเช่นกัน
ทว่าร่างจริงของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับกำลังใคร่ครวญถึงประสบการณ์ที่หอกทำลายอสนีบาตนั้น “วิถีเข่นฆ่าลึกล้ำขึ้นอีกหน่อยแล้ว มิอาจเผยต่อภายนอกมากเกินไปได้…” ผลลัพธ์ที่ได้รับกลับมาจากการต่อสู้นั้นทำให้เขาปรับปรุงวิชาหอกอย่างต่อเนื่อง เขารู้สึกได้ว่าอยู่ห่างจากการตระหนักรู้วิชากระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกาอีกไม่มากแล้ว
…………………………………………..