Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 10 บดขยี้
หญิงสาวหกแขนและมนุษย์น้ำแข็งต่างก็มีสีหน้าไม่น่าดู พวกเขามองบุรุษในอาภรณ์ดำปราดหนึ่งอย่างเดือดดาลอยู่บ้าง
“ฐานที่มั่นของพวกเรามีความสำคัญเป็นที่สุด ทั่วทั้งโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราก็มีฐานที่มั่นอยู่ทั้งสิ้นเก้าสิบแห่ง เป็นศูนย์กลางแห่งการสืบทอดลัทธิ” มนุษย์น้ำแข็งถ่ายเสียงพูดโดยสัญชาตญาณ “ตอนนี้ผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญมาถึงฐานที่มั่นของพวกเราแล้ว ฐานที่มั่นแห่งนี้ก็ถูกเปิดเผยแล้ว ตอนนี้สิ่งเดียวที่พวกเราสามารถทำได้ก็คือพยายามให้เกิดการสูญเสียน้อยที่สุด”
บุรุษในอาภรณ์ดำขบกรามแล้วถ่ายเสียงพูดทุ้มต่ำ “นี่ไม่เกี่ยวกับข้าเลยนะ!”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขานึกอยากปัดความรับผิดชอบทิ้ง
หญิงสาวหกแขนและมนุษย์น้ำแข็งต่างก็มองเขาปราดหนึ่งแต่ก็มิได้พูดอะไรมากเพราะการลงโทษในท้ายที่สุด…ชนชั้นสูงของสำนักทิพย์โบราณก็ต้องมีการตัดสินอย่างยุติธรรมอยู่แล้ว! บุรุษในอาภรณ์ดำ ‘ทูตทิพย์ชืออวิ๋น’ สืบทอดลัทธิอยู่ที่รัฐปีกทอง แต่กลับกระตุ้นให้ผู้อาวุโสตำหนักในตงป๋อเสวี่ยอิงแห่งวังทวีสูญมาที่นี่ ตอนนี้ทูตทิพย์ชืออวิ๋นหลบหนีมาโดยตลอด เพิ่งกลับมายังฐานที่มั่น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตามมาติดๆ!
ขอเพียงแค่มิได้โง่งมก็สามารถเดาออกได้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะต้องแอบตามหลังมาแน่นอน หรือบางทีบนร่างของทูตทิพย์ชืออวิ๋นก็อาจมีรอยประทับสะกดรอยบางอย่างอยู่ก็เป็นได้
“พวกเจ้านำทางทูตทิพย์คนอื่นๆ มุ่งหน้าไปยังตำหนักทิพย์ใต้ดินเดี๋ยวนี้” มนุษย์น้ำแข็งออกคำสั่ง “เคลื่อนย้ายรูปปั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ไปด้วยความเร็วสูงสุด เคลื่อนย้ายสำเร็จแล้วพวกเจ้าก็เคลื่อนที่ผ่านอากาศจากไปในทันทีเลยนะ”
“ได้” หญิงสาวหกแขนและทูตทิพย์ชืออวิ๋นบุรุษในอาภรณ์ดำต่างก็รับคำสั่ง
เพราะเหตุใดโลกทิพย์ทะเลสัตตดารากว้างใหญ่ไพศาลเช่นนี้ แต่ทั้งอาณาบริเวณกลับมีฐานที่มั่นเพียงแค่เก้าสิบแห่งเท่านั้นเล่า
ก็เพราะว่าฐานที่มั่นทุกแห่งล้วนจำเป็นต้องมี ‘รูปปั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ อยู่รูปหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อกับโลกทิพย์โบราณอันแสนห่างไกล ก็ยังควบคุมผู้บำเพ็ญมากมาย ล้วนจำเป็นต้องอาศัย ‘รูปปั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ จึงจะสามารถทำได้
เหมือนกับที่รัฐปีกทอง การควบคุมผู้บำเพ็ญเหล่านั้นเป็นวิธีการที่ค่อนข้างระดับต่ำ ควบคุมได้เพียงแค่ผู้บำเพ็ญที่ค่อนข้างอ่อนแอ กระทั่งผู้ปกครองเทพแท้จำนวนมากก็สามารถควบคุมได้! ผู้บำเพ็ญจิตใจอ่อนแอจำนวนน้อยเท่านั้นจึงจะคุมไว้ไม่อยู่
แต่พออยู่ต่อหน้ารูปปั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว…
อาศัยรูปปั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์
ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้ปกครองเทพแท้จำนวนหนึ่งมีจิตวิญญาณแข็งแกร่ง ถึงแม้ว่าจะเป็นขั้นกำเนิด หรือแม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตขั้นรวมเป็นเอกภาพที่มีจิตวิญญาณอ่อนแอสักหน่อย โดยทั่วไปแล้วต่างก็สามารถฝืนบังคับควบคุมได้! ตีตราลงรอยประทับบนดวงวิญญาณของพวกเขา ทำให้พวกเขาสวามิภักดิ์ต่อจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน
“ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะมาถึงที่นี่ แต่เกรงว่าเขาคงยังมิกล้ามั่นใจอย่างแน่นอนได้ว่าที่นี่คือฐานที่มั่นสำคัญของสำนักทิพย์โบราณของพวกเรา” มนุษย์น้ำแข็งพูด “ข้าจะไปจัดการเขา ยืดเวลาออกไปให้ได้อย่างสุดกำลัง”
“ถ้าหากสามารถสังหารเขาได้ เช่นนั้นก็จะเป็นความดีความชอบอันยิ่งใหญ่เลยทีเดียว” ทูตทิพย์ชืออวิ๋น บุรุษในอาภรณ์ดำพูด
“สังหารผู้อาวุโสตำหนักในคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ วิธีการคุ้มกันชีวิตของพวกเขาจะต้องร้ายกาจมากเป็นแน่” ในใจของมนุษย์น้ำแข็งค่อนข้างเดือดดาล ถึงแม้ว่าจะเคลื่อนย้ายรูปปั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ได้สำเร็จ แต่ก็ต้องละทิ้งฐานที่มั่นแห่งนี้ ทางฝั่งสำนักทิพย์โบราณนั้นจะต้องกำหนดบทลงโทษบางอย่างลงมาเช่นเคย! ถ้าหากแม้แต่รูปปั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ปกป้องเอาไว้ไม่ได้ เช่นนั้นบทลงโทษก็จะต้องน่าหวาดหวั่นมากเป็นแน่แท้
พรึ่บ!
มนุษย์น้ำแข็งเหินบินออกจากโถงตำหนักอันอึมครึมในทันที
ส่วนหญิงสาวหกแขนและทูตทิพย์ชืออวิ๋นในอาภรณ์ดำก็ดำเนินการทันที ถึงขนาดที่ต่างก็ถ่ายเสียงไปยังเหล่าทูตทิพย์คนอื่นๆ ให้มุ่งหน้าไปยังตำหนักทิพย์ใต้ดินโดยเร็ว ทั้งยังต้องเคลื่อนย้ายรูปปั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ออกไปโดยเร็วที่สุด
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวบนเวหาเบื้องบนมองดูคูเมืองสีดำตรงหน้าแห่งนี้ เขาสำแดงแผนภาพคลื่นจานออกมาโดยตรง ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างผ่านทะลุออกไป แต่ว่าคูเมืองสีดำมีค่ายกลทำงานอยู่ ขัดขวางการแทรกผ่านเอาไว้ได้
“ผู้ใดมารุกรานเมืองภูผาดำของข้ากัน” เงาร่างสายหนึ่งทะยานออกมา ซึ่งก็คือมนุษย์น้ำแข็งผู้นั้นนั่นเอง เขาแผ่กลิ่นอายอันยิ่งใหญ่ออกมา ห้วงอากาศโดยรอบล้วนมีเกล็ดหิมะและเกล็ดน้ำแข็งปลิวว่อน มนุษย์น้ำแข็งผู้นี้ขมวดคิ้วตะโกนว่า “เจ้าเป็นใครกัน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวคร้านจะถ่วงเวลา
เขารู้กระจ่างดียิ่งว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในฐานที่มั่นของสำนักทิพย์โบราณก็คือรูปปั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ถึงแม้ว่าการเคลื่อนย้ายรูปปั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์จะใช้เวลาน้อย แต่ก็มิอาจใช้เวลาเนิ่นนานเกินไปได้
“ปัง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยื่นมือขวาออกไป ในมือก็มีป้ายคำสั่งอันหนึ่งปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือป้ายคำสั่งแสดงตัวตนของผู้อาวุโสตำหนักใน ป้ายคำสั่งแผ่กลิ่นอายน่าหวาดหวั่นอันยิ่งใหญ่ออกมา แม้กระทั่งด้านหลังของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีเงารางของวังอันยิ่งใหญ่สูงตระหง่านตระการตาแห่งหนึ่งปรากฏขึ้น กลิ่นอายของเงารางเต็มไปด้วยแรงกดดันที่เพียงพอจะเทียบเทียมกับกลิ่นอายของผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนได้
นี่ก็คือเงารางของวังทวีสูญ! มิอาจปลอมแปลงได้!
“ข้าคือผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตะโกนก้อง “จงถอนค่ายกลเมืองภูผาดำของเจ้าออกไปโดยเร็ว ถ้าหากขัดขืนก็เท่ากับต่อต้านวังทวีสูญของข้า เป็นสาวกของสำนักทิพย์โบราณ ฆ่าอย่างไร้ปรานี!”
“ผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญหรือ” มนุษย์น้ำแข็งเห็นเช่นนี้ก็ตื่นตระหนกจนหน้าถอดสีแล้วลุกลี้ลุกลนพูดอย่างเคารพว่า “ท่านใต้เท้าผู้อาวุโสขอรับ ข้าเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญอย่างสันโดษอยู่ที่นี่ เหตุใดใต้เท้าผู้อาวุโส…”
“อย่าเปลืองน้ำลายอีกเลย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วมุ่นราวกับปลายกระบี่ ย่อมมิปล่อยให้มนุษย์น้ำแข็งผู้นี้ประวิงเวลา “ถอนค่ายกลเร็วเข้าสิ”
“ข้ากำลังหลอมสมบัติล้ำค่าอยู่น่ะขอรับ เวลาและเลือดเนื้อมากมายทั้งหมดล้วนรวมอยู่ในเตาเดียว ไม่สามารถ…” มนุษย์น้ำแข็งยังต้องการถ่วงเวลาอีก
“ฆ่ามัน!”
นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงมีลำแสงหนาวเหน็บสายหนึ่งวาบผ่าน
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีความมั่นใจเต็มที่ว่าคูเมืองสีดำแห่งนี้จะต้องเป็นฐานที่มั่นสำคัญของสำนักทิพย์โบราณอย่างแน่นอน แต่ก็มั่นใจถึงเจ็ดแปดส่วนแล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าก่อนหน้านี้บุรุษในอาภรณ์ดำผู้นั้นก็เข้าไปด้วย ตอนนี้ตัวเองแสดงตนอย่างชัดเจนว่าจะตรวจสอบก็ไม่ยอม! จะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน
“สวบๆๆ” ตามเสียงตะโกนอย่างเดือดดาลของตงป๋อเสวี่ยอิง ปลาสีม่วงเข้มแน่นขนัดสามร้อยตัวก็เหินลอยออกมาจากผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิง ทั้งหมดบุกสังหารไปทางมนุษย์น้ำแข็ง ในขณะเดียวกันเส้นใยพลิ้วไหวที่โปร่งแสงจำนวนนับไม่ถ้วนก็เกี่ยวกระหวัดพันไปทางมนุษย์น้ำแข็งผู้นั้น มนุษย์น้ำแข็งก็ตะโกนว่า “ใต้เท้าผู้อาวุโสขอรับ ข้าหลอมสมบัติล้ำค่าอยู่ ตอนนี้ร่างแปรกำลังอยู่หน้าเตา มิอาจถูกกระทบได้นะขอรับ”
ปากตะโกนไปมนุษย์น้ำแข็งก็ต่อต้านในทันที ผิวกายของเขามีชุดเกราะแก้วผลึกโปร่งแสงรวมตัวกันขึ้นมา ขณะเดียวกันในมือก็มีกระบี่น้ำแข็งเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น
ถึงแม้ว่าร่างกายจะถูกเส้นใยพลิ้วไหวจำนวนนับไม่ถ้วนเกี่ยวกระหวัดรัดเอาไว้ แต่เขาก็กวัดแกว่งกระบี่อย่างฉับพลันเฉกเช่นเดิม
“แกรก”
ห้วงมิติเริ่มเยือกแข็ง ก่อให้เกิดพันธนาการที่ส่งผลกระทบต่อเส้นใยที่กระเพื่อมไหวในบริเวณรอบๆ ทั้งยังส่งผลกระทบต่อเกราะพลที่ลอยมาเหล่านั้นด้วย ทำให้ความเร็วของบรรดาเกราะพลเหล่านั้นลดลงอย่างมหาศาล ในขณะเดียวกันประกายกระบี่อันเจิดจรัสก็ออกรับเกราะพลเหล่านั้นเอาไว้
ปลาสีม่วงเข้มสามร้อยตัวพลันปะทะเข้ากับประกายกระบี่น้ำแข็งในทันใด ราวกับปลาฝูงหนึ่งกรูเข้ามาพร้อมกัน เกราะพลที่เดิมทีลดความเร็วลงอย่างมากอยู่แล้วก็ถูกกระบี่ทำลายไปเป็นจำนวนมาก
แต่ว่ามีปลาสีม่วงเข้มอยู่สี่ตัวที่กลับมีพลังพุ่งสูงขึ้นโดยฉับพลัน
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
พวกมันราวกับมังกรเทพสี่ตัวเคลื่อนผ่านเวหา บุกสังหารไปทางมนุษย์น้ำแข็งโดยตรง ถึงแม้ว่ามนุษย์น้ำแข็งจะถูกระลอกเส้นใยเกี่ยวรัดจนความเร็วได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก แต่พลังอันน่าหวาดหวั่นของเขาก็ยังคงกวัดแกว่งกระบี่น้ำแข็งในมืออย่างอุกอาจเช่นเดิม ปัดป้องไปทางเกราะพลที่ราวกับมังกรเทพสี่สายที่ดุร้ายอย่างที่สุดนั้น สิ่งที่เกราะพลทั้งสี่สายนี้สำแดงก็คือกระบี่ที่สามของวิชาสิบสามกระบี่ผลาญโลกานั่นเอง!
นี่ก็คือเหตุผลที่เพราะเหตุใดจึงมีปลาทั้งหมดสามร้อยตัว ก็เพราะสำแดงเกราะพลมากเกินไป เป็นภาระใหญ่หลวงต่อพลังจิตมากเกินไป ก็มิอาจสำแดงกระบี่ที่สามผลาญโลกาอย่างสบายใจได้อีกแล้ว
“ฟิ้วๆๆๆ”
ประกายกระบี่อันเย็นเยียบดุจน้ำแข็งสาดออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า
ประกายกระบี่ของมนุษย์น้ำแข็งน่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง ถึงกับสามารถต้านรับการจู่โจมของเกราะพลสี่สายเอาไว้พร้อมๆ กันได้ ถึงแม้ว่ามัจฉาเกราะพลตัวอื่นๆ ก็ล้อมโจมตีเข้ามาเช่นกัน แต่ก็ไม่สามารถทำลายเกราะน้ำแข็งของเขาได้เลย เพียงแค่ส่งผลกระทบต่อความเร็วของเขาเท่านั้น ทำให้ ‘กระบี่ที่สามผลาญโลกา’ ที่มาถูกเขาเป็นครั้งคราว ได้แต่ทำให้บนร่างของเขามีรูหนึ่งปรากฏขึ้นเท่านั้น
ทันใดนั้นฝูงปลาแน่นขนัดก็เลือนหายไปจนสิ้น
เหลือเอาไว้เพียงเกราะพลที่ราวกับมังกรเทพสี่สายที่กระหน่ำล้อมโจมตี และตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ไกลๆ ก็หายวับไปในอากาศ
พรึ่บ!
ทันใดนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ปรากฏตัวขึ้นที่ข้างกายของมนุษย์น้ำแข็ง หอกอันดุดันแทงมาคราหนึ่ง
“การเคลื่อนที่ในพริบตาหรือ” มนุษย์น้ำแข็งลอบยิ้มเย็น ไม่มีผลกระทบจากฝูงปลาจำนวนมากเหล่านั้นแล้ว ภายใต้สถานการณ์การต้านทานเกราะพลสี่สาย ประกายกระบี่กะพริบวาบคราหนึ่งก็ต้านรับหอกของตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ได้เช่นเดิม
“ปัง…”
ในขณะที่เขาต้านรับเอาไว้นั้นเอง
ก็มีหอกยาวอีกเล่มหนึ่งแทงออกมาจากกลางอากาศ! ฉับพลันเกินไปแล้ว เพราะว่าก่อนหน้านี้ก็กำลังรับมือกับเกราะพลสี่สาย ทั้งยังต้านรับหอกหนึ่งเอาไว้อย่างสุดกำลัง ตอนนี้ในท้ายที่สุดก็มีหอกหนึ่งแทงมาในระยะประชิด เขาก็รับไม่ทันเสียแล้ว แต่ร่างกายของมนุษย์น้ำแข็งก็ต้านรับเอาไว้อย่างสงบเช่นเคย เพราะก่อนหน้านี้เขาก็เคยต้านรับเกราะพลของกระบี่ที่สามผลาญโลกามาก่อนแล้ว
“ปัง…” หอกยาวแทงเข้ามาในร่างกายของมนุษย์น้ำแข็ง ทำให้สีหน้าของมนุษย์น้ำแข็งแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวงในทันที
ผิดแล้ว
เขาผิดอย่างมหันต์ทีเดียว!
หอกนี้ก็คืออาวุธเทพอากาศชั้นสูง! ปลายหอกห่อหุ้มด้วยเกราะพล! อีกทั้งพลังอันน่าหวาดหวั่นที่วิชาลับผู้ท่องขั้นที่ยี่สิบแปดรวบรวมเข้ามายังประกอบอยู่ในหอกนี้ด้วย พลังคุกคามของกระบี่ที่สามผลาญโลกาที่สำแดงออกมานั้น…แข็งแกร่งกว่ากระบี่ที่สามผลาญโลกาที่เกราะพลสำแดงออกมาอย่างมหาศาล ร่างกายของเขาพลันถูกฉีกทึ้งในทันใด พลังทำลายล้างกวาดโอบล้อมร่างของเขาในทันที
“เปรี้ยงๆๆ” เพราะว่าร่างกายถูกฉีกทึ้ง ทันใดนั้นบนหอกยาวของตงป๋อเสวี่ยอิงก็สำแดงเกราะพลสายหนึ่งออกมา มัจฉาเกราะพลจำนวนนับไม่ถ้วนทำลายร่างกายของเขาอย่างบ้าคลั่ง หอกยาวของตงป๋อเสวี่ยอิงแทงออกมาสามครั้งติดต่อกันราวกับสายฟ้าฟาด
หลังจากแทงหอกไปเพียงสามครั้ง ร่างกายอันแหลกสลายของมนุษย์น้ำแข็งสูญสลายไปเสียแล้ว เขายังมีความยากที่จะเชื่อและความสิ้นหวังอยู่
เขาไม่เชื่อว่าตนเองจะพ่ายแพ้ให้กับเทพอากาศขั้นกำเนิดคนหนึ่ง แม้ว่าเขาจะเป็นผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญ แต่ก็ยังเป็นเพียงขั้นกำเนิดเท่านั้น
“เฮอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้อย่างเย็นชา มิได้บำเพ็ญแผนภาพคลื่นจาน ตนก็บุกผ่านชั้นที่สามของเจดีย์ดาวได้แล้ว ตอนนี้ยามต่อสู้ยังมีแผนภาพคลื่นจานพันธนาการคู่ต่อสู้ ทำให้คู่ต่อสู้สำแดงพลังยุทธ์ได้เพียงบางส่วน ถูกฆ่าตายก็เป็นเรื่องปกติยิ่งนัก
……
พูดไปก็เนิ่นช้า อันที่จริงการต่อสู้ระหว่างตงป๋อเสวี่ยอิงกับมนุษย์น้ำแข็งรวดเร็วเป็นที่สุด ตอนแรกก็เป็นการโจมตีแบบหมู่ ตามด้วยการต่อสู้ประชิดตัว เพียงไม่ถึงอึดใจ อีกฝ่ายก็ตายในการต่อสู้เสียแล้ว
“แย่แล้ว” สีหน้าของหญิงสาวหกแขนที่อยู่ภายในตำหนักทิพย์ใต้พื้นคูเมืองสีดำแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง นางอาศัยค่ายกลเตือนภัยก็เห็นได้ว่ามนุษย์น้ำแข็งตายในการต่อสู้ไปเสียแล้ว!
………………………………………………..